บทที่ ๑ : ผุดขึ้นมาจากสระบัว (พร้อมความเข้าใจผิดระดับชาติ)
“จับมัน! จับปีศาจน้ำตนนี้เดี๋ยวนี้!”
สิ้นเสียงตวาดแหลมสูงของขันทีเฒ่า เหล่าองครักษ์เสื้อแพรนับสิบคนก็กระโจนลงสู่สระบัวตูมตามราวกับฝูงกบตื่นน้ำ เสียงน้ำแตกกระจายเป็วงกว้างทำเอาความเงียบสงบในอุทยานหลวงพังทลายลงไม่มีชิ้นดี
แม่หญิงบัวสะดุ้งโหยง ถอยกรูดไปจนหลังชนกอกอบัว
“ว้าย! อะไรกันนักกันหนาพวกเอ็ง! ข้าบอกแล้วไงว่าข้ามิใช่ปีศาจ!”
นางะโสวนกลับเป็ภาษาไทยอยุธยาด้วยความโมโห มือข้างหนึ่งปัดป้องปลายหอกที่ทิ่มแทงเข้ามา อีกมือหนึ่งกอดตะกร้าเชี่ยนหมากและครกหินไว้แน่นยิ่งกว่าชีวิต
“อย่าเข้ามานะ! ประเดี๋ยวแม่จะฟาดด้วยสากกะเบือ!”
นางง้างสากหินในมือขึ้นขู่ ท่าทางทะมัดทะแมงราวกับกำลังจะตำน้ำพริกแข่งกับเวลา ทว่าในสายตาของเหล่าทหารจีน... นั่นมันดูเหมือน ‘อาวุธศิลาโบราณ’ ที่ใช้ทุบหัวคนเสียมากกว่า!
“ระวัง! นางมีอาวุธรูปร่างประหลาด!” หัวหน้าองครักษ์ะโเตือนลูกน้อง
ทหารสองนายพุ่งเข้าชาร์จตัวบัวจากด้านหลัง บัวไหวตัวทันด้วยสัญชาตญาณลูกสาวคหบดีที่เคยผ่านการฝึกมวยคาดเชือกมาบ้าง (ตามประสาพ่อหวงลูกสาว) นางเอี้ยวตัวหลบ แล้วใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ลิ้นปี่ของทหารนายหนึ่งอย่างแม่นยำ
อั้ก!
ทหารจีนตัวใหญ่งอตัวเป็กุ้งด้วยความจุก บัวอาศัยจังหวะนั้นถีบตัวพุ่งขึ้นจากน้ำมายืนบนขอบสระด้วยสภาพเปียกมะลอกมะแลก
“บังอาจนัก! พวกเอ็งเป็ใครถึงกล้ามาแตะต้องตัวข้า รู้หรือไม่ว่าพ่อข้าเป็ใคร! พ่อข้าคือนายห้างใหญ่แห่งตลาดน้อยเชียวนะโว้ย!”
บัวเท้าสะเอววีนแตก ผมเปียกน้ำลู่ปรกหน้า สไบเฉียงหลุดลุ่ยเผยให้เห็นไหล่นวลเนียนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ผิวกายสีน้ำผึ้งต้องแสงแดดเป็ประกายระยิบระยับ
ภาพเบื้องหน้าทำให้ ฮ่องเต้หลี่เฉิน ที่ประทับยืนดูสถานการณ์อยู่ถึงกับชะงัก
สตรีผู้นี้... ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
นางนุ่งผ้าที่มีลักษณะคล้ายกางเกงแต่จับจีบตรงกลางดูรุ่มร่าม (โจงกระเบน) ท่อนบนมีเพียงผ้าผืนบางๆ (สไบ) พันรอบอกแล้วพาดเฉียงไปด้านหลัง เปิดเผยเนื้อหนังมังสา่ไหล่และเนินอกอย่างหน้าไม่อาย
ทว่า... แววตาของนางกลับมิมีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตดำขลับจ้องมองมาที่พระองค์อย่างท้าทาย ราวกับแม่ค้าที่กำลังจะเปิดศึกต่อราคาสินค้า
“หยุดก่อน!”
ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นห้าม เหล่าองครักษ์หยุดชะงักทันที
พระองค์ค่อยๆ ก้าวพระบาทเข้าไปใกล้สตรีลึกลับผู้นั้นอย่างระมัดระวัง สายพระเนตรจับจ้องไปที่ ‘ริมฝีปาก’ ของนาง
“เ้าเป็ตัวอะไรกันแน่?” ฮ่องเต้ตรัสถามเสียงทุ้มลึก
บัวมองบุรุษตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน เขาเป็ชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวจัดราวกับหยกแกะสลัก คิ้วเข้มพาดเฉียงดั่งกระบี่ สวมชุดคลุมยาวสีทองปักลายัห้าเล็บวิจิตรบรรจง บนศีรษะสวมมงกุฎทองคำประดับพลอยสีแดง
‘ลิเกโรงใหญ่หรือนี่? แต่งตัวเต็มยศเชียว’ บัวคิดในใจ
นางเห็นเขามองมา นางจึงพยายามปรับท่าทีให้ดูเป็มิตรขึ้นตามวิถีชาวสยามเมืองยิ้ม นางฉีกยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อผูกมิตร
“สวัสดีเ้าค่ะคุณพี่”
รอยยิ้มนั้นกว้างจนเห็นฟันทุกซี่... ที่ดำสนิทราวกับนิลกาฬ!
แถมด้วยคราบน้ำหมากสีแดงฉานที่ยังติดอยู่ตามไรฟัน ยิ่งนางยิ้มกว้าง น้ำสีแดงๆ ก็ยิ่งดูเหมือนกำลังจะไหลย้อยออกมาจากมุมปาก
ฮ่องเต้หลี่เฉินผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว ความรู้สึกชื่นชมเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความขยะแขยงระคนหวาดหวั่น
“นาง... นางกินคน!” ขันทีเฒ่ากรีดร้องเสียงหลง ชี้มือสั่นๆ มาที่หน้าบัว “ฝ่าา! ดูปากนางสิพะยะค่ะ! เื! นางเพิ่งกินเืสดๆ มาแน่นอน! ฟันนางถึงได้ดำปึดเยี่ยงนั้น!”
บัวขมวดคิ้วยุ่ง นางฟังภาษาจีนไม่ออกสักคำ ได้ยินแต่เสียง “หว่อๆ หนี่ๆ” ที่ฟังแล้วปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ดูจากปฏิกิริยาที่ถอยหนีเหมือนเห็นผีของคนพวกนี้ นางก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“โว๊ะ! คนพวกนี้นี่มันบ้านนอกเสียจริง!”
บัวบ่นอุบอิบ นางล้วงมือเข้าไปในปาก ดึงเอากากหมากที่เคี้ยวจืดแล้วออกมา แล้วสะบัดมือทิ้งลงพื้นดัง แปะ!
ก้อนหมากสีแดงคล้ำกองอยู่บนพื้นหินอ่อนสีขาวสะอาดของวังหลวง ดูราวกับก้อนเนื้อที่ถูกคายออกมา
“แหวะ!” ขันทีน้อยคนหนึ่งถึงกับโก่งคออาเจียนออกมาทันที
“นี่มัน ‘หมาก’ เ้าค่ะ! หมากพลู! รู้จักไหม?”
บัวพยายามอธิบาย นางหยิบใบพลูสีเขียวสดจากตะกร้าขึ้นมาโบกไปมาประกอบท่าทาง
“เอาปูนแดงทา... เอาหมากใส่... แล้วก็เคี้ยว... หยับๆๆ แบบนี้! อร่อย! ฟันแข็งแรง! กันแมงกินฟัน!”
นางทำท่าเคี้ยวโชว์อีกรอบเพื่อความสมจริง
แต่ดูเหมือนการสื่อสารจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ฮ่องเต้มองการกระทำนั้นแล้วตีความไปอีกทาง พระองค์เห็นนางหยิบใบไม้ประหลาดขึ้นมา แล้วทำท่าขย้ำกินอย่างดุร้าย
‘นางมิใช่เพียงปีศาจดูดเื... แต่นางยังวิปลาส กินใบไม้ใบหญ้าดิบๆ อีกด้วย’
“พอที! ข้าไม่อยากเห็นภาพอุจาดตาเช่นนี้อีก”
ฮ่องเต้สะบัดชายแขนเสื้อ หันหลังกลับทันที
“จับนางไปขังไว้ที่ ‘ตำหนักเย็น’ ท้ายวัง! ให้หมอหลวงไปตรวจดูว่านางเป็ตัวอะไร หากเป็มนุษย์ก็ดีไป แต่หากเป็ปีศาจ... พรุ่งนี้ค่อยเอาไปเผาไฟ!”
“พะยะค่ะ!”
เหล่าองครักษ์กรูกันเข้ามาคราวนี้ไม่ปรานีปราศรัย พวกเขาใช้เชือกเส้นหนามัดมือมัดเท้าแม่หญิงบัวอย่างแ่า
“ว้าย! ปล่อยนะ! ไอ้พวกเจ๊กฏ! มาจับข้าทำไม!”
บัวดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่แรงหญิงสาวหรือจะสู้แรงชายฉกรรจ์นับสิบ นางถูกหิ้วปีกขึ้นจากพื้น ตัวลอยละลิ่ว
“ตะกร้าข้า! อย่าเอาตะกร้าข้าไป!”
นางร้องโวยวายเมื่อเห็นทหารคนหนึ่งกำลังจะเตะตะกร้าเชี่ยนหมากของนางทิ้ง
ฮ่องเต้ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงร้องที่ดูเ็ปร้อนรน พระองค์หันกลับมามอง
“เอามันไปด้วย” พระองค์ชี้ไปที่ตะกร้าและครกหิน “ข้าอยากรู้ว่า ‘อาวุธ’ และ ‘เครื่องราง’ ของนางคือสิ่งใดกันแน่”
ทหารจึงเก็บตะกร้าใบนั้นขึ้นมา แล้วลากตัวแม่หญิงบัวที่ยังคงะโด่าทอเป็ภาษาอยุธยาไม่หยุดปากออกไปจากอุทยาน
...ทิ้งไว้เพียงรอยน้ำเปียกเป็ทาง และรอยเปื้อนสีแดงของน้ำหมาก ที่ยังคงติดตรึงอยู่บนพื้นหินอ่อน ราวกับลางบอกเหตุว่า
นับจากวันนี้ไป... วังหลวงแห่งต้าถัง จะไม่มีวันสงบสุขเหมือนเดิมอีกต่อไป!
