“งานของต้าหลางจะเสร็จสิ้นเมื่อไร?” ต้ายาถามหลินฟู่อิน
เด็กสาวส่ายหัวเป็คำตอบ “ข้าไม่รู้เช่นกัน ไม่สำคัญว่าเขาจะจัดเมื่อไร รู้เพียงถึงเวลานั้นข้าจะขอให้ภัตตาคารหลิวจี้ช่วยอีกแรง”
หลินฟู่อินคิดอย่างถี่ถ้วน นางจะไม่เป็ผู้จัดงานนี้เพียงคนเดียว ทั้งค่าใช้จ่ายจะถูกขึ้นอีกหากมีคนมาช่วยแบ่งเบา นั่นคือสาเหตุที่นางตกลงรับคำอย่างมีความสุข
ต้ายาพยักหน้าหงึกหงัก “ความคิดดี แต่พอคิดถึงมันข้าก็ไม่สบายใจอยู่ดี”
หลินฟู่อินเหลือบมองต้ายาทันทีที่นางพูดจบ เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนเป็คนไม่ค่อยคิดมากอะไร แต่เนื้อแท้นางเป็คนมีเหตุผลมากทีเดียว
หลินฟางที่เคยถูกหลอกจากบ้านใหญ่เพราะบิดาแท้ๆ เป็เื่ยากที่นางจะคิดยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวกับทั้งบ้านสองและบ้านสาม
หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามคำหลินฟู่อินก็จ่ายเงินค่าอาหาร ก่อนแวะไปตลาดผักเพื่อซื้อเต้าหู้สดสองสามชิ้น รวมถึงหัวไชเท้าสีขาวอวบสองหัว ไข่ไก่หนึ่งโหล กระดูกชิ้นใหญ่สองชิ้น ตบท้ายด้วยเนื้อหมูอีกหนึ่งจินก่อนเดินทางกลับบ้านในตัวเมือง
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งวันแล้ว ได้เวลาทำอาหารกลางวันให้หวงฝู่จินผู้ป่วยของนางสักที
แม้ว่านางจะประชดประชันให้หวงฝู่จินพาสาวงามนามหลี่เซวียนมาดูแลแทน แต่ใจจริงนั้นนางไม่อยากให้สตรีคนไหนก้าวเข้ามาในบ้านของนางสักคนเดียว
ไม่มีอะไรมาก แค่อารมณ์เสียก็เท่านั้น
หลินฟู่อินกลับบ้านมาไม่เจอหวงฝู่จิน ในห้องพักของเขาก็ว่างเปล่าไม่เหลือแม้แต่เงา นางเดาว่าชายหนุ่มอาจจะออกไปทำอะไรสักอย่าง นางแอบผิดหวังอยู่ในใจลึกๆ
อารมณ์กระตือรือร้นพร้อมทำอาหารหายไปในพริบตา หลินฟู่อินคว้าผักที่ซื้อเตรียมไว้ออกมาจากครัว ตัดสินใจเดินทางกลับหมู่บ้านหูลู่ทันที
รุ่งเช้าวันถัดมา ทันทีที่หลินฟู่อินถึงที่หมายนางก็ได้พบกับเฟิงซื่อที่กำลังจะเปิดถังถั่วงอก นางหัวเราะทันทีที่เห็นหลินฟู่อิน “เ้ามาถึงพอดีเลยฟู่อิน ข้าตื่นเต้นจนไม่กล้าเปิดผ้าคลุมนี่เลย เ้ารีบมานี่ให้ไว!”
เฟิงซื่อสละตำแหน่งให้หลินฟู่อิน นางประหม่ามากเพราะกลัวว่าแรงที่ทุ่มทำงานหนักกว่าเจ็ดแปดวันมานี้จะเสียเปล่า หากวัตุดิบล้ำค่าในถังเหล่านี้ไม่สำเร็จผล
หลินฟู่อินรู้ดีว่าควรทำเช่นไรเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าน่ารักเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะแกะเชือกที่ผูกติดกับขอบถังคลุมหนังวัวหนาออก จากนั้นก็เปิดผ้าขาวบางที่วางปิดบรรดาต้นถั่วออก
ภายในถังเหล่านี้คือถั่วเหลือง หลังจากเห็นหัวถั่วงอกมีสีเหลืองสดใส เหล่าคนงานที่ยืนลุ้นกันกลุ่มใหญ่ก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาอย่างดีใจ
“โอ้ สำเร็จแล้ว! มันสำเร็จแล้ว!” เฟิงซื่อเอื้อมมื้อไปหยิบถั่วงอกเต็มสองมืออย่างระมัดระวัง “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าถั่วเหลืองจะหน้าตาชวนน้ำลายสอเช่นนี้”
หลินฟู่อินยิ้มแป้น “ไม่ใช่แค่หน้าตาน่ากิน แต่รสชาติยังดีมากอีกด้วย ประเดี๋ยวข้าจะแบ่งมาผัดเป็มื้อเที่ยงให้พวกท่านได้ลิ้มรสกันวันนี้!”
เสียงโห่ร้องดีใจดังขึ้นเป็ครั้งที่สอง
ทุกคนยังคงทึ่งในผลลัพธ์ที่ได้ แค่เพียงลงแรงทำงานหนักไม่กี่วัน ถั่วแห้งๆ ก็สามารถเปลี่ยนเป็ถั่วงอก และนำมาปรุงอาหารได้เช่นนี้จริงหรือ?
“ไปดูถั่วงอกอีกฝั่งกันเถิด” หลินฟู่อินเริ่มสนุก นางอยากให้คนเหล่านี้ได้เห็นถึงเสน่ห์ที่แท้จริงของถั่วงอก
เด็กสาวยิ้มขอบคุณก่อนเดินไปเปิดถังอีกครั้ง
ถั่วงอกภายในถังฝั่งนี้ก็หน้าตาดูดีไม่แพ้กัน ก้านถั่วงอกดูสูงยาวและอ่อนนุ่มชุ่มชื้นขนาดบีบน้ำออกมาได้ บางส่วนมีหัวสีเหลืองแกมเขียว บางส่วนมีหัวสีเขียวอ่อนสวย รวมๆ แล้วดูน่ากินไม่น้อย
หลินฟู่อินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลาบปลื้มอยู่ในใจ สมัยโบราณเช่นนี้ไม่ว่าจะปลูกอะไรก็เป็การเกษตรแบบอินทรีย์ ทุกอย่างไร้สารเคมี ฟ้าฝนเป็ใจ ปุ๋ยก็ทำมาจากพืชสด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็ถั่วหรือผักก็ออกมาน่าพอใจยิ่งนัก
ถั่วงอกเหล่านี้ต้องอร่อยแน่นอน!
ความสำเร็จของการปลูกถั่วงอกเรียกเสียงร้องอย่างดีใจของคนงานอีกครั้ง แม้ว่าจะยังไม่เคยได้ลิ้มรสแต่พวกเขาก็มั่นใจว่าถั่วเหล่านี้คือวัตถุดิบชั้นเลิศอย่างแน่นอน เพราะมาจากการทุ่มเททำงานหนักของพวกเขาล้วนๆ
“รีบเก็บกันเถิด ภัตตาคารหลิวจี้จะส่งรถม้ามาวันนี้” หลินฟู่อินออกคำสั่ง คนงานส่งเสียงตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่จำเป็ต้องเร่งให้เสียเวลา คนงานที่นี่ทุกคนขยันขันแข็งแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองทันที
ภาพตรงหน้าแตกต่างจากสองสามวันก่อนที่ทุกคนดูสับสนงุนงงกันมาก คาดว่าค่าตอบแทนรวมสิบและสามอีแปะในวันนั้น ทำให้ทุกคนมีแรงกายแรงใจมากขึ้น
พวกเขารู้ว่าหากถั่วงอกเหล่านี้ได้หลินฟู่อินและบุตรชายคนโตของตระกูลหลิวเป็ผู้ค้าขาย พวกเขาก็จะได้รับค่าตอบแทนไม่ต่างจากผู้เป็นายทั้งสอง นอกจากนี้พวกเขายังอยู่ทำงานให้หลินฟู่อินต่อไปได้อีกนาน
พวกเขาคิดว่าถั่วงอกเหล่านี้จะขายได้ตลอดทั้งปี แต่ความจริงแล้วหลินฟู่อินตั้งใจจะใช้มันเก็งกำไรเมื่อผักสดขาดตลาดเท่านั้น
เมื่อร่วมแรงร่วมใจทำงานด้วยกันบวกกับพละกำลังที่เหลือล้น ไม่นานกระสอบผ้าก็เต็มไปด้วยถั่วงอกที่ทุกคนบรรจุใส่อย่างเบามือที่สุด เพราะกลัวว่าวัตถุดิบสำคัญของพวกเขาจะเสียหาย
“ฟู่อิน ถั่วงอกมากขนาดนี้ รถม้าพอใส่ใช่หรือไม่?” หลินฟางเอ่ยถาม
“พวกท่านเก็บได้กี่ถุงแล้ว?” หลินฟู่อินถามกลับ
หลินฟางขมวดคิ้วตอบ “ทั้งหมดสามสิบห้าถุง อีกอย่างถั่วงอกไม่สามารถวางซ้อนกันได้ และข้าอยากได้ถุงผ้าขาวบางเพิ่ม แม่ข้าบอกว่าถุงใส่ถั่วมีไม่พอ เรายังมีถั่วงอกรอเก็บอยู่อีกห้าถึงหกถังด้วยกัน”
“เช่นนั้นให้ป้ารองรีบตัดเย็บถุงผ้าเผื่อไว้ก่อน แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังมีถุงผ้าขาวบางเหลืออยู่ที่บ้าน” หลินฟู่อินกวาตตามองถั่วงอกที่อยู่เต็มพื้นที่ “มั่วซั่วไปหมดแล้วตอนนี้ ไม่สิ ตอนนี้ข้าแยกไม่ออกแล้วว่าถุงไหนคือถั่วงอกจากถั่วเหลือง และถุงไหนคือถั่วงอกจากถั่วเขียว ครั้งหน้าเราต้องทำเครื่องหมายระบุแยกอย่างชัดเจน”
หลินฟางพยักหน้าเห็นด้วย
เื่ละเอียดอ่อนเช่นนี้หลินฟู่อินมักเรียกหาหลินฟางมารับ่ต่อเสมอ ถือว่านางได้ปลูกฝังหลินฟางไปในตัว
่สายๆ รถม้าของภัตตาคารหลิวจี้ก็เดินทางมาถึง หลินฟู่อินยังไม่พร้อมส่งผักสดทั้งหมดให้ตอนนี้ ส่วนเถ้าแก่หลิวไม่อาจนั่งรออยู่กับที่เฉยๆ ได้ เขาจึงเดินทางมากับรถม้ามายังร้านค้าของหลินฟู่อินด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงเขาก็เห็นร้านค้าเต็มไปด้วยถุงผ้าขาวบาง แต่ละถุงได้รับการบรรจุเป็อย่างดี ยิ่งกระตุ้นต่อมความสุขและต่อมความอยากรู้อยากเห็นของเถ้าแก่หลิว
เมื่อหลินฟู่อินเห็นชายชรามาเยือนถึงถิ่น นางก็ยิ้มต้อนรับอย่างดี “ลุงหลิวเ้าคะ ข้าพลาดไปแล้วเมื่อวานนี้ รถม้าคันเดียวเกรงว่าจะขนของทั้งหมดไม่พอ ท่านส่งรถม้าอีกสักคันมารับไปด้วยได้หรือไม่”
เถ้าแก่หลิวเอาแต่พูดวนไปวนมาว่าถุงผ้าแห่งความสุขเหล่านี้มองข้างในไม่เห็น ถึงจะยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี แต่เขาไม่อาจเดาได้เลยว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
ในที่สุดเถ้าแก่หลิวก็ไม่อาจเก็บความสงสัยของตนไว้ได้อีกต่อไป “ฟู่อิน เ้าบอกข้าก่อนได้หรือไม่ว่าถุงผ้าเหล่านี้มีสิ่งใดอยู่?”
หลินฟู่อินตั้งใจหยอกอีกฝ่ายเล่นจึงทำเพียงส่งรอยยิ้มหวาน “เมื่อกลับถึงภัตตาคารหลิวจี้ ท่านจะได้รู้เอง”
เถ้าแก่หลิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอดทนรออย่างใจเย็น เพื่อให้คนงานของหลินฟู่อินยกถุงผ้าทั้งหมดนี้ไปที่รถม้า
รถม้าคันเดียวไม่พออย่างที่ว่า หลังจากรถม้าอีกคันเดินทางมาถึงก็เต็มไปด้วยถุงผ้าวิเศษเหล่านี้ทันที หลินฟู่อินพาหลินฟางไปที่รถม้าของเถ้าแก่หลิว
เมื่อเดินทางกลับมาถึงภัตตาคารหลิวจี้ เถ้าแก่หลิวรีบลงจากรถม้า ก่อนหลินฟู่อินและหลินฟางจะตามลงมา
จากนั้นเถ้าแก่หลิวก็เรียกเด็กรับใช้สองคนในภัตตาคารมาช่วยลำเลียงถุงผ้าเข้าไปไว้ข้างใน เวลานี้ลูกค้าในร้านยังไม่มากเท่าไรนัก ปรมาจารย์เถี่ยจึงเรียกคนออกมาช่วยขนของเพิ่ม
ทุกคนใช้แรงงานหนักมากเพราะต้องลำเลียงของหนักกว่าสามสิบถึงสี่สิบจินด้วยกัน สีหน้าของพวกเขาดูประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา
เหตุใดพวกมันจึงหนักเช่นนี้?
เมื่อมาถึงครัวใหญ่ของภัตตาคารหลิวจี้ หลินฟู่อินให้หลินฟางเปิดถุงผ้าเผยรูปร่างหน้าตาของถั่วงอกจากถั่วเขียว และถั่วงอกจากถั่วเหลืองให้ทุกคนได้เห็น
แน่นอนว่าเถ้าแก่หลิวไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน
ปรมาจารย์เถี่ยเองก็ไม่รู้จักเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างสงสัยว่าสมบัติล้ำค่าเหล่านี้คืออะไร
จากนั้นปรมาจารย์เถี่ยจึงคว้าถั่วงอกจากถั่วเขียวมากำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งหยิบถั่วงอกจากถั่วเหลืองขึ้นมาพิจารณาอย่างใกล้ชิด เขาจ้องแล้วจ้องอีก ดมแล้วดมอีก ก่อนมองหน้าหลินฟู่อินด้วยความประหลาดใจแล้วถามว่า “แม่นางหลิน นี่คือถั่วเขียวกับถั่วเหลืองอย่างนั้นหรือ?”
พ่อครัวก็คือพ่อครัววันยังค่ำ
แม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สายตาที่เฉียบแหลมและประสบการณ์การเข้าครัวทำให้ปรมาจารย์เถี่ยเดาออก
“ถูกต้อง นี่คือถั่วงอกที่ทำจากถั่วเหลืองและถั่วงอกที่ทำจากถั่วเขียว เรียกรวมๆ ว่าถั่วงอก” หลินฟู่อินอธิบายด้วยรอยยิ้ม
ปรมาจารย์เถี่ยรู้สึกตื่นเต้นและรีบถามอีกครั้ง “ถั่วงอกนี้ปลูกได้ตลอดทั้งปีหรือไม่?”
หลินฟู่อินพยักหน้า “ตราบใดที่ท่านมีเมล็ดถั่วแห้ง ท่านย่อมปลูกเมื่อใดก็ได้”
“ยอดเยี่ยม!” ปรมาจารย์เถี่ยตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เขาหันกลับไปพูดกับเถ้าแก่หลิว “นายท่าน ถั่วงอกหาได้ทุกฤดูกาลเช่นนี้ กิจการในฤดูหนาวของเราจะยิ่งดีขึ้นไปอีก!”
เถ้าแก่หลิวยิ้มรับอย่างเบิกบาน
เขามีผักหายากในฤดูหนาวอยู่ในมือรวมสามชนิดด้วยกัน
“ตอนถั่วงอกออกมาใหม่ๆ พยายามใช้พวกมันปรุงอาหารให้หมดภายในวันนั้น หากปล่อยไว้นานมันจะเน่า” หลินฟู่อินเตือน “ลุงหลิว ข้าส่งถั่วงอกให้ท่านร่วมหนึ่งพันจินวันนี้ แน่นอนว่าภัตตาคารหลิวจี้ไม่อาจใช้ได้หมดในวันเดียวแน่นอน ต่อให้ส่งให้ภัตตาคารทั่วชิงหยางเองก็ยังไม่หมด ท่านมีความคิดดีๆ บ้างหรือไม่เ้าคะ?”
เถ้าแก่หลิวฟังคำของหลินฟู่อินแล้วชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบรับทันทีว่า “โชคดีไป หลิวฉินจดรายชื่อเ้าของร้านอาหารทั้งในและนอกเมืองที่เขาติดต่อค้าขายทั้งหมดเอาไว้ให้แล้ว ข้าจะให้คนส่งถั่วงอกเหล่านี้ไปให้พวกเขา”
หลินฟู่อินเห็นด้วย เป็เื่ดีที่หลิวฉินรู้จักจัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นถั่วงอกทั้งหมดคงกองอยู่ที่ภัตตาคารหลิวจี้แห่งนี้
เถ้าแก่หลิวไม่อาจหยุดความสุขที่เอ่อล้นในใจ เขาเริ่มออกคำสั่งเด็กในภัตตาคารอย่างรวดเร็ว “เร็วเข้า ไปหยิบตาชั่งมาชั่งถั่วงอกที่แม่นางหลินนำมา”
หลินฟู่อินไม่ได้ชั่งน้ำหนักมาก่อนหน้านี้ เถ้าแก่หลิวจึงต้องจัดการให้แทน
หลังใช้เวลาชั่งน้ำหนักกันอย่างทุลักทุเล น้ำหนักทั้งหมดของถั่วงอกรวมกันได้หนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบหกจิน
ราคากลางของถั่วงอกจากถั่วเหลืองและถั่วงอกจากถั่วเขียวเขียวตั้งไว้ที่สามสิบอีแปะต่อจิน
แน่นอนว่าเป็ราคาที่ตั้งไว้เบื้องต้นเท่านั้น
สุดท้ายถั่วงอกเหล่านี้ก็สามารถทำรายได้ได้มากถึงห้าร้อยห้าสิบหกตำลึงเงินกับอีกแปดสิบอีแปะด้วยกัน
ในใจหลินฟู่อินรู้ว่าต้องทำเงินได้มากมาย แต่หลินฟางชะงักนิ่งด้วยความตะลึง
นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าถั่วงอกจะมีมูลค่ามากขนาดนี้
ถามว่าเมล็ดถั่วแห้งราคาต่ำขนาดไหน? คำตอบคือจ่ายเพียงหนึ่งอีแปะก็สามารถซื้อได้หลายจิน ส่วนเมล็ดถั่วหนึ่งจินใช้ปลูกเป็ถั่วงอกได้สองถึงสามจิน ส่วนถั่วงอกหนึ่งจินขายได้อีกสามสิบอีแปะ
หัวของหลินฟางเริ่มหมุนติ้ว และยังคงหมุนไม่หยุดขณะเดินทางกลับ
“ฟู่อิน เ้ารู้ได้อย่างไรว่าถั่วงอกมีค่ามากขนาดนี้? นี่มันแพงกว่าเนื้อสัตว์อีก!” หลินฟางนึกอย่างไรก็หาเหตุผลไม่ได้
หลินฟู่อินยิ้มอีกครั้ง “เราโชคดีที่ได้พบกับเถ้าแก่หลิวและบุตรชายของเขานามหลิวฉิน นอกจากพวกเขาจะจิตใจดีแล้ว พวกเขายังสามารถตั้งให้ทั้งถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกมีราคาสูงขนาดนี้ในตอนแรก หากผู้คนเริ่มรู้วิธีการปลูกพวกมันจนมีขายล้นตลาด ประเดี่ยวราคาก็ตกลง”
สิ่งนี้เรียกว่าของหายาก และนางขายแต่ของหายากเช่นนี้
หลินฟางเข้าใจในที่สุด
“ฟู่อิน หากเราขายได้ราคาสามสิบอีแปะตลอดไปล่ะ?”
หลินฟู่อินเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแล้วพูดอย่างสดใส “เราเร่งหาเงินตอนที่เรามีโอกาส แต่การทำธุรกิจมีกฎและกลไกของมัน ท่านไม่ควรโลภมากเกินไป มิเช่นนั้นไม่ช้าหรือเร็วท่านอาจสูญเสียครั้งใหญ่”
หลินฟางพยักหน้าแม้ไม่เข้าใจสิ่งที่หลินฟู่อิน้าจะสื่อ นางรู้เพียงว่านางไม่ควรโลภมากหากคิดทำมาค้าขาย
ณ ภัตตาคารหลิวจี้ หลิวฉินก้าวลงมาจากรถม้า
ทันทีที่เห็นหน้าเขา เสี่ยวเอ้อร์ก็ทักทายอย่างอบอุ่น “คุณชาย! ท่านกลับมาแล้ว! นายท่านเอาแต่พูดถึงท่านไม่หยุดตลอดหลายวันมานี้ วันนี้นายท่านทำเงินได้เป็กอบเป็กำอีกด้วย รวมแล้วก็…”
“เอาละ เอาละ เ้าพูดถึงอะไรอยู่หรือตัวยุ่ง?” หลิวฉินจับแขนพร้อมลากคนรับใช้ตัวน้อยเข้าไปในภัตตาคาร
คนรับใช้หนุ่มน้อยที่ตั้งใจออกมายืนต้อนรับกลับต้องเกาหัวด้วยความสงสัย “เหตุใดคุณชายดูไม่มีความสุขเช่นนี้?”
หลิวฉินไม่มีความสุขอย่างแท้จริง
หากเมื่อวานผู้เป็พ่อไม่เขียนจดหมายส่งไปหาเขาว่าหลินฟู่อินกลับเมืองชิงหยางแล้วเรียบร้อย เขาคงรอนางอยู่ที่ชิงเหลียนอย่างโง่งมต่อไป
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่สามารถรับข่าวสารอะไรเกี่ยวกับสกุลโจวได้เลย ได้ยินก็แค่ข่าวลือหนาหูเท่านั้น
เขาใช้เวลาอยู่ในชิงเหลียนเพื่อรอหลินฟู่อินติดต่อกลับไปอยู่นานโดยไม่คาดคิดว่าเด็กสาวจะชิงกลับมาโดยพลการ ไม่คิดส่งข่าวบอกเขาสักนิด
ไม่ใช่เื่แปลกที่หลิวฉินจะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ
เถ้าแก่หลิวที่กำลังทำบัญชีอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสามเห็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมา ในที่สุดรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นอย่างโล่งใจ
“ลูกชาย ในที่สุดเ้าก็กลับมาแล้ว!” เถ้าแก่หลิวกล่าวต้อนรับอย่างมีความสุข “อดทนได้ดีมาก ก่อนหน้านี้เ้าพูดว่าเ้าร่วมค้าขายกับฟู่อินมิใช่หรือ? สงสัยข้าจะมองผิดไป ข้าว่าเ้า…” ชายชราวางลูกคิดในมือลง หวังพูดคุยกับบุตรชายสักพักก่อนเ้าตัวจะอาละวาดไปมากกว่านี้
“เอาละ ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงพูดเหมือนกับเสี่ยวเอ้อร์ข้างล่างนั่นเล่า? มีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย ข้าปวดหัวมากพอแล้ว!” หลิวฉินนั่งบนเก้าอี้โดยไม่มีมาดขรึมแต่อย่างใด เข้าทิ้งตัวลงสบายๆ ก่อนเอื้อมไปหยิบถ้วยชา
“เ็าเกินไปแล้วไอ้ลูกชาย!” เถ้าแก่หลิวมองบุตรชายดื่มชาเย็นชืด เขาคว้ามือหนาของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามขณะขมวดคิ้วแน่น “ดูเ้าสิ นั่งรถม้านานทำให้เครียดหรืออย่างไร?”
หลิวฉินพ่นลมออกจมูก
เขาหัวเสียก็จริง แต่ไม่ใช่เพราะนั่งรถม้าเป็เวลานาน เขาไม่อยากพูดเื่นี้กับผู้เป็บิดา “เกิดอะไรขึ้น ท่านพ่อ? ไม่ค่อยเห็นท่านอารมณ์ดีเช่นนี้”
เถ้าแก่หลิวอยากแบ่งปันความปลื้มใจในครั้งนี้ไม่ว่าบุตรชายจะรู้สึกอย่างไร เขายื่นถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกที่หลินฟู่อินนำมาวันนี้ให้บุตรชายดู
“โอ้! นางทำได้!” หลิวฉินะโโหยงจากเก้าอี้ ก่อนคว้าแขนผู้เป็บิดาแล้วถามว่า “ส่งถั่วงอกพวกนี้ไปที่ใดแล้วบ้าง?”
“จากรายชื่อที่เ้าส่งมา ข้าส่งคนไปยังร้านต่างๆ แล้ว” เถ้าแก่หลิวตอบพลางดึงมือลูกชายลง
“ท่านส่งคนไปชิงเหลียนด้วยหรือไม่?” หลิวฉินสงสัย
ชายชรานั่งเกาหัวอีกครั้ง “โอ้ ข้าลืมไปเลย”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็บิดาลืมเขาก็ได้แต่ทำใจ แม้สัญญากับนายน้อยฉางเอาไว้แล้วว่าเขาจะรีบส่งวัตถุดิบชั้นยอดไปให้โดยเร็วที่สุด
คงได้แค่รอเท่านั้น
“ท่านพ่อ ท่านให้ราคาถั่วปากอ้าและถั่วงอกของหลินฟู่อินเท่าไรต่อจิน?” หลิวฉินถามสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุด เขาจะได้รู้ว่าราคาขายของตนนั้นสามารถเก็งให้สูงขึ้นได้เท่าไร
แต่ตอนนี้เขาจะปล่อยให้เด็กสาวทำกำไรได้มากกว่าไปก่อน
“โอ ปกติพ่อของเ้าก็ไม่อาจทำให้ฟู่อินลำบากอยู่แล้วจริงหรือไม่? ข้าให้นางสามสิบอีแปะต่อจิน เ้าว่าดีแล้วหรือไม่?”
ได้ยินว่าผู้เป็บิดาไม่คิดเอาเปรียบหลินฟู่อินเขาก็สบายใจ ชายหนุ่มยื่นแขนโอบไหล่เถ้าแก่หลิว “ท่านพ่อ ดูเหมือนว่าท่านจะไม่โลภมากเหมือนคนอื่น ท่านยินดีจ่ายราคาที่สูงเช่นนั้นให้ฟู่อินหรือ?”
เถ้าแก่หลิวถูกบุตรชายเอ่ยวาจายกย่องโดยไม่ทันตั้งตัว เขาเอี้ยวศีรษะหันมามองหลิวฉินแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เ้าคิดว่าข้าเป็ใคร? ฟู่อินช่วยเหลือครอบครัวหลิวของเรามามาก ต่อให้รักเงินแค่ไหน ตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้อยู่ดี ถูกหรือไม่?”
เขาชะงักแล้วกล่าวต่อ “นั่นเป็เด็กสาวแห่งความโชคดี หากเ้าคิดทำร้ายนาง ไม่เท่ากับว่าเ้าทำร้ายเทพเ้าแห่งความมั่งคั่งไปด้วยหรือ? พ่อของเ้าไม่ใช่คนเขลา!”
หลังจากฟังคำของชายชรา หลิวฉินก็อารมณ์ดีมากขึ้นเท่าตัว เขาหยักหน้าอย่างแรงพร้อมกล่าวเยินยออีกครั้ง “ท่านพ่อ ท่านช่างปราดเปรื่องอะไรเช่นนี้ สมกับเป็บุรุษแท้ๆ ทั้งแท่ง!”
“แน่นอน! เ้ากล้าดูถูกพ่ออย่างข้าเช่นนั้นหรือ?” เถ้าแก่หลิวยืดอกตอบอย่างร่าเริง “ฟู่อินบอกว่าถั่วงอกไม่ควรเก็บไว้ข้ามวัน ข้าเลยส่งถั่วงอกเ่าั้ไปร้านรวงต่างๆ ในเมืองนี้ ไหนๆ เ้าก็กลับมาแล้ว กิจการนี้จะตกทอดสู่เ้าในอนาคต เ้าต้องทำงานหนัก เ้าอาจทำให้กิจการใหญ่โตได้มากกว่านี้ก็เป็ได้”
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไป นี่คือการร่วมมือของข้ากับฟู่อิน ข้าไม่มีวันถูกทิ้งแน่นอน ถึงอย่างไรข้าย่อมสานต่อกิจการนี้ให้ใหญ่โตได้!” หลิวฉินยิ้มร่า ต่างกับเถ้าแก่หลิวที่จู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรชายอย่างจริงจังแล้วถามว่า “อาฉิน พ่อขอถามตามตรง เ้าคิดอะไรกับฟู่อินหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้