จื้อรุ่ยหาใช่คนประเภทนินทาว่าร้ายผู้อื่น ย่อมไม่กล่าวอันใด เขาชี้ไปที่สนามม้า "อยากให้ข้าช่วยหรือไม่?"
เฉียวเยว่เชิดหน้า "ข้าคือเฉียวเยว่ผู้ชาญฉลาด ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้"
พอเห็นสายตาคลางแคลงของิ่จื้อรุ่ย นางก็หัวเราะออกมา แล้วพูดอย่างจริงจัง "ก่อนข้าจะออกไปท่องเที่ยว เคยเรียนมาพักหนึ่งแล้ว ย่อมขี่ม้าเป็ แต่ก็เพียงขี่เป็เท่านั้น ปีหน้าต้องสอบเข้าสำนักศึกษาสตรี ข้าจึงต้องขยันฝึกฝนให้มากหน่อย"
นางเป็คนตรงไปตรงมาเสมอ แม้ไม่ได้พบกันมาสองปี แต่เฉียวเยว่ก็ไม่รู้สึกว่าิ่จื้อรุ่ยเป็คนแปลกหน้า ยังเห็นเขาเป็พี่ชายอยู่เหมือนเดิม
ิ่จื้อรุ่ย "ไปเถอะ ข้าจะฝึกเป็เพื่อนเอง"
"เหมือนที่ท่านตาพูดไม่มีผิด หญิงงามมักได้รับสิทธิ์พิเศษง่ายกว่าเสมอ ดูอย่างเื่นี้สิ ข้ายืนอยู่ทนโท่ แต่ไม่มีใครสนใจสักคน พี่ชายแสนดีอันใด ข้าว่าตอนนี้คงลืมหมดแล้ว" ฉีอันพูดเหน็บแนม
เฉียวเยว่หัวเราะอย่างจนปัญญา ในความเห็นของนาง ตนเองเป็แค่เด็กยังไม่ถึงสิบขวบ แต่คนเหล่านี้กลับเห็นนางเป็ผู้ใหญ่กันหมด แม้แต่น้องชายยังเป็เช่นนี้ ชอบทำตัวเป็ผู้ใหญ่ ไม่ดูตนเองเสียบ้างว่าอายุแค่เก้าขวบ เพิ่งจะเก้าขวบเท่านั้นเอง!
นางเท้าสะเอว “ต่อให้สวยแค่ไหน ก็อายุแค่เก้าขวบ พวกเราทำตัวปรกติหน่อยมิได้หรือ?"
แต่พอมาไตร่ตรองดีๆ ดูเหมือนว่าคนที่ไม่ปรกติจะเป็นางเอง ถึงอย่างไรคนสมัยนี้อายุสิบห้าสิบหกก็แต่งงานกันแล้ว
"ตกลงพวกเ้าจะขี่ม้ากันหรือไม่" นางถอนหายใจ
นึกถึงอาชาเหงื่อโลหิตในตำนานตัวนั้น หัวใจก็เหมือนจะละลายเป็น้ำ นางเอานิ้วชนกันถามว่า "ข้าขี่ม้าตัวนั้นได้หรือไม่?"
ก่อนจะชี้ไปที่อาชาเหงื่อโลหิตตัวนั้น
จื้อรุ่ยยิ้มเล็กน้อย "เ้าคิดว่าเป็ไปได้ไหมล่ะ?"
เฉียวเยว่ "แต่ที่นี่เลือกม้าเองได้มิใช่หรือ? ข้าก็อยากเลือกตัวนั้น"
ิ่จื้อส่ายหน้า "เ้าเลือกได้เฉพาะม้าที่อยู่ในขอบเขตที่เ้าสามารถเลือกได้ ในเมื่อเ้าไม่เคยมา ก็ต้องเลือกม้าของระดับต้นก่อน อยู่ทางนั้น ข้าจะพาไป" เขานึกดู แล้วพูดอีกว่า "อาชาเหงื่อโลหิตมักเ้าอารมณ์ ไม่เหมาะกับผู้เรียนระดับเริ่มต้น สนามม้าหาใช่ที่ที่พวกเ้าจะล้อเล่นกันได้ เ้าเองก็อย่าวางตัวเป็คุณหนูใหญ่ด้วย"
เฉียวเยว่ "..."
ขอบังอาจถามพี่ชายผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาข้าทำตัวติดดินมาโดยตลอด เคยทำตัวติดหรูไร้สมองเช่นนั้นั้แ่เมื่อไร ผู้อื่นดีต่อข้า นึกว่าข้าไม่รู้หรือ?
นางกลอกตา พลางกวักมือ "ไปเถอะ ไปขี่ม้า ถึงจะระดับเริ่มต้นข้าก็จะทำให้ท่านรู้ความสามารถแท้จริงของข้า"
ิ่จื้อรุ่ยอึ้งไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะ "ความสามารถแท้จริง ฮ่าๆๆ"
อันที่จริงเฉียวเยว่ก็เลือกม้าไม่ค่อยเป็ เห็นแล้วถูกชะตาเป็ใช้ได้ นางเลือกอาชาตัวหนึ่งไม่ใหญ่มาก แล้วผงกศีรษะ "ข้าเลือกมัน"
ฉีอันหัวเราะ "พี่จื้อรุ่ย ท่านช่วยข้าเลือกสักตัวสิ"
พูดตามตรง ตอนแรกฉีอันชอบรัชทายาทมากกว่าคนอุปนิสัยอย่างิ่จื้อรุ่ย แต่การเดินทางครานี้ทำให้เขาโตขึ้น การปฏิบัติตัวก็แตกต่างจากเมื่อก่อน
"เฉียวเยว่ เ้านั่งให้มั่นคงหน่อย อื้ม ถูกต้อง" แม้จะเลือกม้าให้ฉีอัน แต่สายตากลับคอยจ้องเฉียวเยว่ เห็นท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนางไม่ถูกต้อง เขาก็รีบชี้แนะ
แม้เฉียวเยว่จะมั่นใจในตนเองมาก แต่นางก็ยังฟังคำพูดของผู้อื่น ถึงอย่างไรนางก็เคยมีประสบการณ์ขี่ม้ามาก่อน ไม่ช้าก็สามารถทำได้ และทำได้ไม่เลวด้วย
"เ้าช้าหน่อย อย่าใจร้อนเกินไป มิเช่นนั้นจะไม่มั่นคง หากท่วงท่าการขี่ม้าไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน อาจาเ็ได้ง่าย ดังนั้นต้องระวัง"
เมื่อฉีอันขึ้นม้าแล้ว ิ่จื้อรุ่ยก็พูดอย่างจริงจัง "เ้าขี่ได้ดีกว่าพี่สาวของเ้า"
ฉีอันหันไปคุยข่มเฉียวเยว่อย่างลำพองใจ "ได้ยินหรือไม่ ข้าเก่งกว่าเ้า"
เฉียวเยว่เชิดหน้า ข้าด้อยกว่าตรงไหนมิทราบ
สองพี่น้องฝึกขี่ม้า ิ่จื้อรุ่ยก็ขี่ม้าตามอยู่ไม่ห่างจากพวกเขา คล้ายว่า้าดูแล
เฉียวเยว่ถอนหายใจ "พี่จื้อรุ่ย ท่านไปขี่ม้าเล่นเองเถอะ ไม่เป็ไร ไม่ต้องสนใจพวกเรา"
ิ่จื้อรุ่ยไม่ตอบ แต่ก็ไม่ขยับเช่นกัน
เมื่อผู้อื่นมีความหวังดี เฉียวเยว่ก็ไม่ปฏิเสธ
นางหันมายิ้มพูดกับฉีอัน "ไม่นึกว่าเขาโตแล้วจะรู้ความเช่นนี้ คนเราต้องมีประสบการณ์"
นี่คือนางคิดว่า "เสียงกระซิบ" ของตนเอง ผู้อื่นจะไม่ได้ยิน
ิ่จื้อรุ่ยเม้มปาก ยังคงไม่เปล่งวาจา
ฉีอันหัวเราะ "เ้านึกว่าทุกคนล้วนเหมือนเ้าหรือ โตแต่หัว สมองไม่โต"
"ซูฉีอัน ข้าว่าเ้าคงเบื่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่ เดี๋ยวกลับไปก่อนเถอะ น่าดู!"
"เก่งจริงก็มาตอนนี้เลยซี่! ฮ่าๆๆ ทักษะของเ้าสู้ผู้อื่นไม่ได้เอง" แม้จะโต้กันด้วยฝีปาก แต่สองพี่น้องก็ยังรู้ความ รู้จักตระหนักว่านี่คือสนามม้า ไม่อาจทำตามอำเภอใจ นับได้ว่าเจียมตัวดีมาก แต่เมื่อเทียบกับคนที่ขี่ม้างกๆ เงิ่นๆ อีกมากมาย ทั้งสองก็ยังตกเป็ที่สังเกตของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีิ่จื้อรุ่ยติดตามอยู่ข้างกาย
บัดนี้ิ่จื้อรุ่ยอายุสิบสี่แล้ว ให้ความรู้สึกเป็ชายหนุ่มที่องอาจห้าวหาญ
"ม่านหนิง นั่นใครน่ะ ไฉนไม่เคยเห็นมาก่อน?" ดรุณีน้อยสวมชุดผ้าไหมนั่งอยู่ในพื้นที่พักผ่อน แต่ยังสามารถมองเห็นสถานการณ์ในสนามม้า สาวน้อยที่ถูกเรียกว่าม่านหนิงก็ส่ายหน้าไม่รู้จัก แต่กลับเอ่ยว่า "แต่ผู้ที่ติดตามข้างกายพวกเขาคือคุณชายิ่จื้อรุ่ยแห่งจวนแม่ทัพิ่"
หลังจากนึกอยู่สักพัก ก็เอ่ยขึ้นว่า "ท่านหญิง ข้าคะเนว่าเด็กน้อยชายหญิงคู่นั้นน่าจะเป็พี่น้องฝาแฝดของจวนซู่เฉิงโหว หากมิใช่พี่น้องร่วมอุทร ก็ต้องเว้นระยะห่างชายหญิง ไม่สนิทสนมกันเช่นนี้ แต่พวกเขาอายุเท่าๆ กัน ดวงตาและหว่างคิ้วก็คล้ายคลึงกัน ต้องเป็พี่น้องคู่นั้นแน่ๆ"
ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านหญิงคือหรงฉางเกอ ธิดาคนเล็กของฉีอ๋องนาม
หรงฉางเกอเป็ท่านหญิงขั้นหนึ่ง [1] มีทินนามว่าฉางเล่อ แม้ว่าปีนี้จะอายุเพียงสิบขวบ แต่นับว่าเป็สตรียโสโอหังเอาแต่ใจ และค่อนข้างมีอิทธิพลในเมืองหลวง ส่วนคุณหนูที่ถูกเรียนว่าม่านหนิงนางชื่อสวี่ม่านหนิงเป็บุตรีของใต้เท้าสกุลสวี่ สหายคนสนิทของท่านหญิงฉางเล่อ
หรงฉางเกอพิจารณาอาชาของสองพี่น้อง "พวกเขาเลือกอาชาระดับเริ่มต้น"
ก่อนจะหัวเราะเหยียดหยัน "คุณชายิ่ผู้นั้น ข้าเคยสนทนากับเขา แต่เขาทำเ็าไม่สนใจข้า ตอนนี้กลับมาเดินตามสองพี่น้องคู่นั้นต้อยๆ ดูเป็มิตรอย่างยิ่ง เห็นแล้วน่าโมโห ไป พวกเราไปขี่ม้ากันเถอะ ข้าอยากเห็นนัก พวกเขาไหนเลยจะสู้ข้าได้"
สวี่ม่านหนิงยิ้มพลางลุกขึ้น "ดียิ่ง แต่ท่านหญิงเ้าคะ พวกเราขี่ม้าช่ำชองกว่าพวกเขา ต่อให้ชนะก็ไม่สง่างาม"
คำกล่าวเช่นนี้ทำให้หรงฉางเกอหยุดฝีเท้า มองออกไปพลางนิ่วหน้า "ที่เ้าพูดก็มีเหตุผล"
หลังจากนั้นก็กระทืบเท้า "เ้าดูเขาสิ ดูท่าทางของิ่จื้อรุ่ยผู้นั้น หึๆ น่าโมโหจริงๆ ข้าไม่สนใจแล้ว ต่อให้ชนะอย่างไม่สมเกียรติ ข้าก็จะทำให้พวกเขารู้ว่าข้าเก่งกาจแค่ไหน"
ไม่ช้าหรงฉางเกอก็ไปเลือกอาชาที่อยู่ระดับสูง แท้จริงแล้วนางชอบอาชาเหงื่อโลหิตตัวนั้นที่สุด แต่นั่นเป็เขตพิเศษที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าง่ายๆ นางเพิ่งเลื่อนขึ้นเป็ระดับสูงได้ไม่นาน อีกอย่างราชสำนักก็ค่อนข้างเคร่งในกฎเกณฑ์ ต้องอยู่ในระดับสูงครบห้าปีถึงจะได้เป็ขั้นพิเศษ
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เพราะก่อนหน้านี้เกิดความหละหลวมจนเกิดช่องโหว่มากเกินไป เป็เหตุให้ตอนนี้ต้องเข้มงวดเป็พิเศษ
หรงฉางเกอกับสวี่ม่านหนิงขี่ม้ามาถึงสนาม นางบังคับม้ามาถึงข้างกายเฉียวเยว่ เนื่องจากม้าของเฉียวเยว่เป็ม้าเล็ก จึงเหมือนว่านางมองเหยียดลงมาจากที่สูง ก่อนจะแค่นเสียงเยาะ "จะแข่งกันดูหรือไม่?"
เฉียวเยว่กำลังหยอกล้อกับฉีอันอยู่ เห็นดรุณีน้อยคนหนึ่งบังคับม้าตรงมาหานาง สีหน้าเต็มไปด้วยการยั่วยุ
เฉียวเยว่มองอาชาของนาง แล้วย้อนกลับมามองอาชาของตนเอง ก่อนจะเอียงคอถาม "เ้าจะแข่งกับข้าหรือ?"
หรงฉางเกอเชิดหน้า "ใช่ เ้ากับข้ามาแข่งกัน"
"ท่านหญิง เฉียวเยว่เพิ่งมาขี่ม้าในสนามเป็ครั้งแรก อาชาที่นางเลือกก็เป็ระดับต้น จะแข่งกับท่านที่ขี่อาชาระดับสูง และผ่านการฝึกฝนมาหลายปีได้อย่างไร หรือท่านหญิงเพียง้าแสดงตัวตนกับคนที่เพิ่งฝึกใหม่ๆ เมื่อเป็เช่นนี้ ไม่สู้ท่านหญิงมาแข่งกับข้าเป็อย่างไร?" ิ่จื้อรุ่ยเอ่ยปากทันควัน เขาปกป้องเฉียวเยว่อย่างชัดเจนเช่นนี้ หรงฉางเกอเห็นแล้วก็ยิ่งโมโห
นางยิ้มเยาะเอ่ยว่า "ทักษะขี่ม้าของท่านดีกว่าข้าเยอะ ทั้งยังเป็บุรุษ แข่งกับข้าไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีกระนั้นหรือ?"
"เช่นนั้นท่านหญิงท้าแข่งกับเฉียวเยว่ซึ่งไม่ช่ำชองการขี่ม้า ไม่รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีบ้างหรือ?" ิ่จื้อรุ่ยย้อนถามกลับบ้าง
"คุณชายิ่ล้อเล่นแล้ว ท่านหญิงไม่ทราบว่าคุณหนูผู้นี้เป็เพียงผู้เริ่มฝึกหัด หากทราบ ก็คงไม่แสดงความประสงค์เช่นนี้ คุณชายอย่าได้ถือสาเกินไปนัก" สวี่ม่านหนิงหาทางลงให้หรงฉางเกอ จากนั้นก็พูดอีกว่า "ได้ยินว่าคุณชายิ่มักไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้ใด ตอนนี้ดูท่าจะเล่าลือกันมาผิดๆ ท่านก็มีสหายที่คบหากันดีอยู่มิใช่หรือ ไม่ทราบว่าคุณหนูผู้นี้มีนามว่าอันใด?"
เพียงคำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เฉียวเยว่ก็รู้สึกได้ว่าสวี่ม่านหนิงผู้นี้ไม่ใช่แม่นางน้อยธรรมดา เป็คนที่มีเล่ห์กลพอตัว
นางยิ้มพลางเอ่ยเสียงเบา "เฉียวเยว่เรือนสามจวนซู่เฉิงโหว นี่คือฉีอันน้องชายของข้า"
หรงฉางเกอแค่นเสียงหัวเราะ ม่านหนิงเดาถูกเผง
สวี่ม่านหนิงพยักหน้า "บิดาข้าคือใต้เท้าสวี่ สวี่ผิงอัน ข้าชื่อม่านหนิง ดูจากอายุเ้าคงจะอ่อนกว่าข้าหนึ่งปี เรียกข้าว่าพี่ม่านหนิงก็ได้ ท่านนี้คือท่านหญิงฉางเล่อ"
เฉียวเยว่กับฉีอันทำความเคารพ แล้ววางท่าทีเฉยเมย
"เมื่อท่านหญิงไม่แข่งแล้ว พวกเราก็ขอตัวก่อน ข้าห่างเหินมานาน ต้องฝึกฝนให้มากจะได้ไม่เกิดปัญหาตอนสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีปีหน้า" เฉียวเยว่หัวเราะเบาๆ แลดูไร้เดียงสา
หรงฉางเกอนิ่วหน้า แค่นเสียงหึ "คนตระกูลพวกเ้ามักรู้สึกว่าตนเองเก่งกาจนักมิใช่หรือ คนเฉลียวฉลาดแต่กำเนิด ต้องกลัวสอบไม่ผ่านด้วยหรือ?"
เฉียวเยว่ยิ้มอ่อนจาง "ไม่มีใครเก่งแต่กำเนิด ล้วนเกิดจากการฝึกฝนทั้งสิ้น ท่านหญิง เอาไว้ภายหน้าข้าฝึกฝนดีแล้ว ค่อยมาแข่งกับท่าน"
รอยยิ้มของเฉียวเยว่ดุจดวงตะวันเจิดจรัส เพียงแต่เม้มริมฝีปากให้ดูเหมือนทอยิ้มแค่อ่อนจาง เผยให้เห็นลักยิ้มน้อยๆ รำไรบนมุมปาก
แต่แม้จะเป็เช่นนี้ นางก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสดใสเริงร่า
หรงฉางเกอชิงชังสตรีที่ดูเสแสร้งเช่นนี้เป็ที่สุด นางสะบัดแส้อาชา "เช่นนั้นเ้าก็ต้องมุมานะหน่อย ข้าจะรอ"
หลังจากนั้นก็ถลึงตาใส่ิ่จื้อรุ่ยไม่กล่าวอันใด แล้วบังคับม้าออกไป
สวี่ม่านหนิงผงกศีรษะยิ้มน้อยๆ แล้วขี่ตามไป
ิ่จื้อรุ่ยเงียบไปสักพักก็เอ่ยว่า "เ้ายิ้มเช่นนี้ ดูเสแสร้งมาก"
เฉียวเยว่แสร้งทำไม่รู้เื่ กล่าวเสียงเบา "พี่จื้อรุ่ย ท่านกล่าวอันใด" หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย "สายตาที่นางมองท่านมันยังไง ยังไงอยู่นะ..."
...
[1] ท่านหญิง เป็บรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์หญิง รองลงมาจาก องค์หญิงหรือ กงจู่ มีสองลำดับได้แก่ ท่านหญิงขั้นหนึ่ง เรียกว่า จวิ้นจู่ และท่านหญิงขั้นสอง เรียกว่า เซี่ยนจู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้