หั่วอี้พาหลิ่วจิ้งเดินไปบนถนนสายหลักของเมืองต้าอี้ซึ่งเป็เมืองหลวงของแคว้นชางอี้ท่ามกลางเสียงหัวร่อต่อกระซิก
เดิมทีจวนแม่ทัพก็อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของเมืองต้าอี้ แต่เพราะเรือนหลังของจวนแม่ทัพห่างจากเรือนหน้าค่อนข้างไกลจึงอยู่อย่างสงบท่ามกลางความจอแจของเมืองเสียงจ้อกแจ้กที่หน้าถนนกลับไม่ส่งผลกระทบใดต่อความเป็อยู่ของทุกคนในเรือนหลังของจวนแม่ทัพ
เมื่อต้องมาอยู่เมืองหลวงในต่างแคว้น หลิ่วจิ้งรู้สึกราวกับฝันไปมิใช่ความจริง นี่ก็คือที่ที่นางต้องยึดเอาเป็หลักตั้งต้นและต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป
นางทอดสายตามองไปเมืองต้าอี้มีจวนส่วนตัวมากมายและมีถนนหนทางที่ตัดเชื่อมถึงกันไปหมด
ถนนทอดตัวออกไปตามแนวตะวันตกและตะวันออกร้านรวงสองข้างทางมีรูปแบบเดียวกัน มีเพียงป้ายชื่อร้านกับการจัดวางภายในร้านเท่านั้นที่แตกต่างกันออกไป
ร้านต่างๆ มากมายทั้งหอน้ำชา เหลาสุรา ร้านค้า สำนักแพทย์ และโรงผลิตสินค้ามีคนเข้าออกเต็มไปหมด แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขของเมืองต้าอี้แห่งนี้
บนถนนมีหาบเร่ขายของต่างๆ นานา มีรถบรรทุกสินค้าที่ใช้ลาลากรถม้าของขุนนางและคนใหญ่คนโตแล่นผ่านผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา…
หลิ่วจิ้งอุทานชมอยู่ในใจไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าท้องถนนในเมืองหลวงของแคว้นชางอี้ที่เล็กกว่าแคว้นต้าเว่ยจะเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้เมืองหลวงของแคว้นต้าเว่ยเลย
แต่ทันใดนั้นเองข้างหน้าก็มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งซึ่งมีรูปแบบเป็เอกลักษณ์แตกต่างจากที่อื่นๆดึงดูดสายตาของหลิ่วจิ้ยิ่งนัก ที่แห่งนี้ไม่มีผู้คนเข้าออกมากมายเช่นร้านรวงสองข้างทางอื่นตรงประตูเข้าร้านเป็บันไดสูงนับสิบขั้นจึงจะเข้าไปภายในได้
ยามยืนอยู่บนท้องถนน ต้องเงยหน้าขึ้นจึงจะมองเห็นแผ่นกระเบื้องลอนหลิวหลีสีทองส่องประกายระยับตาใต้แสงอาทิตย์ป้ายชื่อขนาดใหญ่สลักเป็รูปัห้าตัวม้วนอยู่โดยรอบ ที่ป้ายเขียนตัวอักษรสีทองบนพื้นแดงขนาดใหญ่สามตัวว่า ‘หอหรงซิน [1] ’
“นั่นคือ…” หลิ่วจิ้งหันไปถามหั่วอี้
“นั่นคือร้านค้าของราชสำนักที่สร้างขึ้นเพื่อให้เหล่าสนมนำเครื่องประดับเครื่องทอง หรือเครื่องเงินที่ไม่ได้ใช้มาวางขายแลกเปลี่ยนกันมีเพียงราชนิกุลจึงจะเข้าไปซื้อขายได้”
อาเหมิ่งต๋าเดินตามพวกเขาไปทั่วจนหมดความอดทนนานแล้ว นายผู้ชายเดินเที่ยวบนท้องถนนกับสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งเป็เื่ที่คนเช่นเขาจะทำที่ใดกัน เกรงว่าจะโดนพวกทหารที่อยู่เต็มเมืองซึ่งมองเห็นมาแต่ไกลแอบหัวเราะในใจเอาน่ะสิ
ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาเห็นหลิ่วจิ้งสอบถาม จึงเอ่ยปากตอบไปก่อนหั่วอี้เพราะในความนึกคิดของเขานั้นหลิ่วจิ้งไม่คู่ควรจะเข้าไปในหอหรงซิน
หั่วอี้ได้ยินคำพลันหันไปถลึงตาดุใส่อาเหมิ่งต๋า ส่งแววตาเตือนให้อีกฝ่ายระวังตัวเอาไว้อย่างชัดเจน
“หึ…” อาเหมิ่งต๋าถลึงตากลับโดยไม่หลบเลี่ยงแต่อย่างใด
“ไป ข้าจะพาท่านเข้าไปดู ว่ามีของใดต้องใจท่านหรือไม่”
หั่วอี้พูดพลางนำหลิ่วจิ้งเดินขึ้นไปตามทาง
“มิใช่บอกว่ามีเพียงราชนิกุลจึงเข้าไปได้หรอกหรือพวกเราเข้าไปจะเหมาะสมหรือเ้าคะ?”
“ไม่เป็ไร มีข้าอยู่” หั่วอี้ตอบไปสองประโยคอย่างไม่ยี่หระใดๆความจริงแล้วเขายังไว้หน้าอาเหมิ่งต๋าอยู่ไม่อยากให้หลิ่วจิ้งรู้ว่าเมื่อครู่เป็อาเหมิ่งต๋า้าค่อนแคะนางเพราะไม่ว่าอย่างไรอาเหมิ่งต๋าก็ทำไปเพราะหวังดีต่อเขา พี่น้องที่เดินร่วมทางกันมาตั้งหลายปีเขาจะไม่รู้สิ่งที่อาเหมิ่งต๋าคิดอยู่ในใจได้อย่างไร
อาเหมิ่งต๋าพูดไว้ไม่ผิดสิ่งของที่หอหรงซินขายนั้นล้วนเป็ของที่มาจากเหล่าสนมในวังหลวงจริงๆ
ในวังหลวงมีสนมอยู่มากสิ่งของที่กษัตริย์แห่งชางอี้พระราชทานให้ย่อมมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่กลับเป็เพราะเหตุนี้จึงมีของมากมายที่ไม่ได้ใช้หรือเป็สิ่งของที่เหล่าสนมไม่ถูกใจ แต่ก็ไม่อยากยกให้ใครด้วยเหตุนี้ราชสำนักจึงสร้างหอหรงซินขึ้นมาเพื่อใช้เป็ที่ให้เหล่าสนมนำสิ่งของมาซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนกัน
อาเหมิ่งต๋าเล่าความเป็มาของหอหรงซินถูกต้องแล้ว แต่กลับมิได้พูดความจริงทั้งหมดหอหรงซินไม่ปฏิเสธผู้มาเยือน ขอเพียงเป็ของที่หอหรงซินต้องตาก็สามารถนำมาวางขายได้และในทางกลับกันขอเพียงสามารถจ่ายได้ตามราคาเช่นนั้นก็สามารถนำสิ่งของที่ต้องตากลับไปได้
สรุปก็คือ สิ่งของในหอหรงซินไม่ได้มาจากผู้สูงศักดิ์เท่านั้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะเข้าไปซื้อขายได้
เมื่อหลิ่วจิ้งเดินเข้าไปภายในหอหรงซิน นางต้องแอบสูดหายใจลึกคราหนึ่งนี่เป็ร้านค้าหรือ? นางยังนึกว่าเป็คลังสมบัติของราชสำนักเสียอีก
ทุกสิ่งที่ใช้ประดับตกแต่งภายในหอล้วนเป็ทองคำทั้งหมดใช่หรือไม่นี่ต่อให้มิใช่ก็จะต้องเป็ของที่ผสมทองหรือเงินคำว่าสีทองอร่ามยังไม่พอจะอธิบายความหรูหราในหอแห่งนี้เลย
พื้นปูด้วยหยกขาวชั้นเลิศโคมไฟผลึกแก้วฝังไข่มุกประดับอยู่เต็มผนัง สิ่งที่ทำให้หลิ่วจิ้งละสายตาไม่ได้เป็ที่สุดกลับคือเครื่องประดับวับวามละลานตานานาชนิดที่จัดวางอยู่บนชั้นกระจก
แค่กวาดตามองหลิ่วจิ้งก็ถูกใจสร้อยข้อมือหยกเส้นหนึ่งที่ร้อยติดอยู่กับแหวน เนื้อหยกเขียวสดใสสะดุดตาสีสันเสมอกันทั้งชิ้น ทำให้ตัวเครื่องประดับชิ้นนี้ดึงดูดสายตานัก อัญมณีที่ฝังอยู่บนแหวนซึ่งร้อยเชื่อมต่อกับสร้อยข้อมือด้วยสร้อยทองลายโซ่เม็ดนั้นยามต้องแสงโคมผลึกแก้วมองเห็นเป็แสงสีแดงแต่ยามต้องแสงตะวันนอกหน้าต่างอัญมณีเม็ดนั้นกลับทอประกายเป็แสงสีเขียว
“องค์หญิงต้องใจอัญมณีนี้หรือ?” หั่วอี้ดาดเดาความคิดของหลิ่วจิ้ง
หลิ่วจิ้งก้มตัวลงดูราคาของเครื่องประดับชิ้นนี้ แล้วทำคล้ายว่ามิได้สนใจมันอีก
หั่วอี้เรียกคนงานในร้านคนหนึ่งมา ชี้ไปที่เครื่องประดับชิ้นนั้น“ข้าซื้อ”
“โอ้โห พี่ใหญ่ เครื่องประดับนี้งามไม่เลวเลย เอาเช่นนี้คืนนี้เราไปหาความสำราญกันที่หอเยี่ยนเฟิ่ง [2] จะได้มอบให้จื่ออิงพอดี อาจเข้าตานาง จากนั้นก็ไม่แน่ว่า…”
“หุบปาก อาเหมิ่งต๋า หากยังพูดจาส่งเดชอีกเ้าก็กลับไปเสีย”หั่วอี้เห็นว่าดวงตาของหลิ่วจิ้งเต็มไปด้วยแววอยากรู้รวมทั้งความว้าวุ่นด้วยความคับข้องใจ
เวลานั้นเอง คนงานในร้านก็นำเครื่องประดับนี้ออกมาให้พอดี หั่วอี้รีบรับมา จับมือซ้ายของหลิ่วจิ้งขึ้นและช่วยสวมให้นาง
หลิ่วจิ้งตื่นใใหญ่ “ท่านแม่ทัพ ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมังเ้าคะ”
แม้นางจะต้องตาเครื่องประดับนี้ในทันทีที่เห็นแต่เมื่อราคาของมันเข้าสู่ม่านตา นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้จวนราชครูมิได้ถูกขุนนางชั่วทำลายแล้วนำเงินทองทั้งหมดในจวนราชครูออกมาก็ยังไม่อาจซื้อเครื่องประดับชิ้นนี้ได้เลย
แต่เวลานี้หั่วอี้กลับนำมันมาสวมใส่มือให้นางทันใดนั้นเมื่อเครื่องประดับชิ้นนี้อยู่ใต้แสงโคมและแสงตะวันก็พลันสาดส่องแสงจ้าระยับตา
ดวงตาของหั่วอี้มืดมนลง มือนวลขาวไร้ตำหนิดั่งยอดดอกหญ้าของหลิ่วจิ้งช่างอ่อนนุ่มเสมือนไร้กระดูก ยามได้เครื่องประดับนี้ขับผิวขึ้นมา ทำให้บางสิ่งพลุ่งพล่านในกายจนหั่วอี้ต้องแอบกลืนน้ำลาย
“เครื่องประดับนี้อยู่กับท่านจึงจะคู่ควรเป็ที่สุด”หั่วอี้บีบมืองามดั่งหยกของหลิ่วจิ้งอย่างไม่อาจตัดใจปล่อยมือลงได้
“องค์หญิงลองเดินชมไปรอบๆ อีกเถิดดูซิว่ามีเครื่องประดับชิ้นใดต้องตาอีกหรือไม่” หั่วอี้จ้องตาหลิ่วจิ้งมองจนใจนางวิ่งวุ่นดั่งกวางน้อย “ขอบคุณท่านแม่ทัพ ไม่ต้องแล้วเ้าค่ะอยู่ที่นี่นานแล้ว พวกเราไปดูที่อื่นต่อเถิด คราหน้ามีเวลาจึงค่อยมาใหม่”
หลิ่วจิ้งพูดไปพลันดึงมือที่ถูกหั่วอี้กุมเอาไว้กลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบก่อนรีบเดินออกประตูไปเพื่อปกปิดอาการใจเต้นตูมตามของตน เมื่อนางออกมานอกประตูจึงค่อยสะกดใจที่เต้นเร่าเมื่อครู่ลงได้และหันมาดูเครื่องประดับชิ้นนี้อย่างละเอียด
“พี่ใหญ่ ท่าน…เฮ้อ…” อาเหมิ่งต๋าหน้าตาไม่พอใจ เดือดดาลที่หั่วอี้มิได้ความจึงไม่ไปสนใจหั่วอี้อีก ว่าแล้วก็หันหน้าหนีเดินจากไปด้วยความโมโห
หั่วอี้หัวเราะแต่กลับไม่ได้ใส่ใจเขาเขียนชื่อลงในใบจ่ายเงินที่คนงานในร้านยื่นมาให้ ก่อนจะเอ่ยไปคำหนึ่ง“จะมีคนนำเงินมาส่งให้ภายหลังเอง” แล้วเดินออกจากหอหรงซินไป
เมื่อออกมาจากหอหรงซิน หั่วอี้ยืนอยู่บนบันไดเห็นหลิ่วจิ้งเดินออกไปถึงถนนแล้วเขามองนางอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานไม่วางตา
ยามนี้ร่างของหลิ่วจิ้งอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์นางเอื้อมมือออกไปรับแสงแดด เมื่ออัญมณีบนเครื่องประดับที่เพิ่งได้มาสะท้อนอยู่ใต้แสงตะวันทำให้เกิดเป็แสงห้าสีระยิบระยับจับตานัก และทำให้ผู้คนมากมายบนท้องถนนหันมามอง
นางชอบใจเอาแต่แย้มยิ้มไม่หุบ คงเพราะนางรออยู่ข้างล่างนานแล้วจึงหันหน้ากลับมาที่หอหรงซิน แต่กลับเห็นว่าหั่วอี้กำลังยืนมองนางจากข้างบนนางส่งยิ้มให้หั่วอี้คราหนึ่ง รอยยิ้มนี้ดั่งความงามนับร้อยเบ่งบาน อุ่นอวลหัวใจของหั่วอี้นัก เขาเคลิ้มมองจนลืมตัวหากบอกว่าเป็หนึ่งยิ้มล่มเมืองก็มิเกินเลยแต่อย่างใด ชายหนุ่มคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] หรงซิน แปลว่า รุ่งเรืองมั่งคั่ง
[2] เยี่ยนเฟิ่ง แปลว่า นกนางแอ่น หงส์
