ในเวลาต่อมา ซูจิ่นซีจึงพบว่าไม่มีสตรีใดในจวนโยวอ๋องนี้สักคน ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่นางกำนัลสักคนก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ
สตรีวัยกลางคนที่รับใช้นางเมื่อคืนนี้มีเพียงสตรีแซ่ฮวา นางเคยเป็นางกำนัลในตำหนักหลวงของเยี่ยโยวเหยามาก่อน เดิมทีนางเกษียณอายุแล้วกลับไปอยู่บ้านเกิด ทว่าพ่อบ้านเฒ่ากลัวว่าซูจิ่นซีจะไม่ได้รับความสะดวกสบายเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ เพราะไม่มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติ พ่อบ้านเฒ่าจึงขอให้เยี่ยโยวเหยาพาแม่นมฮวามาที่จวนโดยเฉพาะ
นับจากวันอภิเษกสมรสที่โยวอ๋องพาซูจิ่นซีมายังจวนด้วยตนเองและนางก็ถูกดูดเืนั้น ซูจิ่นซีก็ไม่เคยได้เห็นเยี่ยโยวเหยากลับมาอีกเลย ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านมาสองวันเต็มๆ แล้ว
ซูจิ่นซีนอนอยู่บนเตียงที่ว่างเปล่ารู้สึกอิดหนาระอาใจจนต้องพลิกตัวไปมา นางจึงนึกถึงเื่ระบบถอนพิษและศึกษาค้นคว้าพิษทั้งสองที่ตรวจพบในร่างกายของเยี่ยโยวเหยา
จู่ๆ แม่นมฮวาก็รีบเดินตรงผ่านประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
“พระชายา คุณหนูเหม่ยเจียมาหาเพคะ! ”
ั้แ่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีได้พบกับแม่นมฮวา ซูจิ่นซีก็มั่นใจได้ในทันทีว่าแม่นมฮวาเป็นางกำนัลที่ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดก็ไม่แสดงสีหน้าจนเกินงาม ผู้ที่ทำให้นางแสดงอารมณ์บนใบหน้าได้ถึงเพียงนี้แสดงว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“คุณหนูเหม่ยเจียหรือ? ”
แม่นมฮวาเล่าเื่ฐานะและที่มาของคุณหนูเหม่ยเจียคร่าวๆ
ปรากฏว่าบุคคลที่มาเยี่ยมคือเว่ยเหม่ยเจีย นางเป็หลานสาวของเฉินไท่เฟย [1] ผู้เป็พระมารดาของเยี่ยโยวเหยา จึงถือเป็ลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยโยวเหยา ด้วยบุคลิกที่น่ารักของเหม่ยเจีย นางจึงเป็ที่รักของเฉินไท่เฟยเป็อย่างยิ่ง นางเติบโตมากับเฉินไท่เฟยจึงถือว่าเป็ผู้มีหน้ามีตาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็เพียงข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับข้อมูลที่ลึกกว่านี้นั้น......
ซูจิ่นซีเคยอ่านนิยายจีนโบราณที่มีเครื่องแต่งกายจีนสมัยอดีต การแต่งงานของญาติสนิทไม่เข้มงวดเหมือนในสมัยปัจจุบันเท่าไรนัก จากประสบการณ์ของนางที่ผ่านการดูละครและอ่านหนังสือมาแล้วนั้น หญิงสาวประเภทที่มักถูกเลี้ยงมาในจวนด้วยฐานะญาติ ‘ในนาม’ จะต้องมีความชื่นชอบในบุรุษจากจวนเดียวกันอยู่บ้าง
ตอนนี้ซูจิ่นซีเข้ามาในจวนของโยวอ๋องได้สองวันแล้ว ทว่านี่เป็ครั้งแรกที่สตรีนางนี้มาเยือนจวน มาเวลาไหนไม่มา กลับมาตอนที่เยี่ยโยวเหยาไม่อยู่
ราวกับเป็การมาเยี่ยมในฐานะคู่แข่งทางความรัก ต้องไม่ได้มาดีเป็แน่!
แม้ว่าซูจิ่นซีจะคิดว่าตนเองไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ กับเยี่ยโยวเหยา ทว่าั้แ่วันอภิเษกสมรสที่ซูจิ่นซีจำเป็ต้องเข้ามาอาศัยยังจวนโยวอ๋อง และยังคงอาศัยอยู่ที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะในสายตาของคนนอกหรือในสายตาของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ อย่างไรเสียนางก็เป็พระชายาของโยวอ๋องแล้ว
นี่ไม่นับว่าเป็คู่ต่อสู้ในศึกแห่งความรักหรอกหรือ?
ซูจิ่นซียิ้มเบาๆ ที่มุมปาก
“เชิญนางเข้ามา! ”
แม่นมฮวาไม่พูดอันใดมาก นางรีบเปิดประตูเพื่อเชิญผู้นั้นเข้ามา
เว่ยเหม่ยเจีย ชื่อแซ่ก็คงแสดงธาตุแท้ในตัวตน
ชุดเครื่องแต่งกายโปร่งแสงสีเหลืองที่ดูสง่างามและสูงส่ง ทว่าไม่สูญเสียจิติญญาแห่งความเยาว์วัย เมื่อนางก้าวผ่านประตูห้องเข้ามา ก็ส่งเสียงราวกับเสียงของระฆังทองแดง
“พี่สะใภ้ ท่านอย่าพึ่งลุกขึ้นขยับตัวเลยนะเ้าคะ ถือว่าข้าเป็คนกันเองอย่าได้มากพิธีกับข้านักเลย เดิมทีท่านก็ได้รับาเ็อยู่แล้ว หากการต้อนรับน้องสาวเช่นข้าจะทำให้ท่านต้องเจ็บตัวอีก เช่นนั้นข้าคงจะต้องละอายใจมากเป็แน่! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วขณะที่นางมองดูเสื้อผ้าสีเหลืองลอยอยู่ด้านหน้าของตน เดิมทีนางก็ไม่นึกที่จะขยับตัวอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องนึกถึงเื่ที่ว่าจะลุกขึ้นไปต้อนรับด้วย!
อีกอย่างได้รับาเ็ที่กระดูกเช่นนี้ นางจะสามารถขยับได้อย่างไร?
เว่ยเหม่ยเจียเห็นว่าซูจิ่นซีนอนนิ่งขมวดคิ้วอยู่บนเตียง นางก็ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินหรืออึดอัดใจอันใด อีกทั้งยังเดินไปเปิดหน้าต่างด้วยตนเอง
“เอ๋ ข้ารับใช้พวกนี้ไม่รู้วิธีปรนนิบัติหรืออย่างไร อากาศร้อนเช่นนี้ยังไม่รู้จักเปิดหน้าต่างรับลมให้พี่สะใภ้อีก หากทำให้พี่สะใภ้อึดอึดขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า กลับไปข้าจะต้องอบรมคนพวกนี้เสียหน่อย”
ด้วยการกระทำและคำพูดของเว่ยเหม่ยเจียที่ราวกับจะถือตนว่าเป็นายหญิงของจวนโยวอ๋อง อีกทั้งยังทำตัวราวกับว่านางคุ้นเคยดี พูดสิ่งใดก็ราวกับจะมีผลไปเสียหมด
แม่นมฮวามองลูกพี่ลูกน้องหญิงของท่านอ๋องผู้นี้ด้วยสายตาเบื่อหน่าย สีหน้ายิ่งนานเข้าก็ยิ่งไม่ดีเท่าที่ควร
ปากของซูจิ่นซีกระตุกก่อนพูด
“วันนี้อากาศไม่ดีนัก เพราะเมื่อวานตอนกลางคืนฝนตกหนัก ข้าเกรงว่าตนเองจะเป็หวัด”
เว่ยเหม่ยเจียชะงักไปพักหนึ่งอย่างไม่เก้อเขินใดๆ นางเดินไปปิดหน้าต่างแล้วกลับไปที่เตียงของซูจิ่นซี
“พี่สะใภ้ ท่านทานอะไรแล้วหรือยังเ้าคะ? พี่ชายข้าไม่อยู่ ท่านก็อย่าคิดว่าข้าเป็คนแปลกหน้า มองว่าที่นี่เป็เสมือนจวนท่านเสีย ท่านอยากทานอันใดก็บอกเหม่ยเจียได้เลย เหม่ยเจียจะไปบอกให้คนรับใช้รีบไปทำมาให้เ้าค่ะ! ”
เวลาก็เหมือนกับน้ำอุ่นกำลังค่อยๆ ต้มกบที่อยู่ในหม้อ [2] คล้ายเป็การบังคับทางอ้อมเงียบๆ
คำพูดนี้หากพูดกับคนขี้ขลาดใจน้อยให้ได้ยินแล้วละก็จะต้องยิ่งโกรธเสียกระมัง
“น้องหญิงมาเยี่ยมถึงเรือนข้า ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่เล่า? ”
ซูจิ่นซียิ้มอ่อนโยนคล้ายหมูตายที่ลอยในน้ำแกง เน้นน้ำเสียงคำว่า ‘น้อง’ เป็พิเศษ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียราวกับมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทว่าก็เพียงไม่นาน นางลูบศีรษะตนเองแล้วกล่าวว่า
“โอย ท่านดูสิ! คอยดูแลเป็ห่วงเป็ใยพี่สะใภ้จนลืมเื่สำคัญที่เสด็จป้าฝากมาเสียนี่ เสด็จป้าให้ข้าเหม่ยเจียมาเอาผ้าเปื้อนเืพรหมจรรย์จากพี่สะใภ้เ้าค่ะ”
ตอนสุดท้ายนางกล่าวเสริมว่า “พี่สะใภ้ ข้ารู้ว่าท่านอาจขัดเขินไปบ้าง ทว่าในเมื่ออภิเษกสมรมเข้ามาเป็สตรีในครอบครัวฮ่องเต้แล้ว ท่านต้องผ่านเื่นี้ไปให้ได้ ท่านนำมาให้ข้าก็พอ เมื่อเสด็จป้าได้ทอดพระเนตรแล้วก็จะส่งไปในวังให้ไทเฮาทอดพระเนตรอีกครั้ง เป็พิธีของในวังมาช้านานเ้าค่ะ”
เฉินไท่เฟย้าผ้าเปื้อนเืพรหมจรรย์อย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงให้เว่ยเหม่ยเจียผู้นี้ออกจากวังมาเอาที่พี่สะใภ้ด้วยตนเอง?
ซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อนางเห็นดวงตาของเว่ยเหม่ยเจียสบผ่านดวงตาของนาง แก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างงดงามของหญิงสาวทำให้ชั่วพริบตาเดียวนางก็เข้าใจในทันที
เฉินไท่เฟยให้มาเอาอันใดกันเล่า?
เห็นได้ชัดว่าเว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านนอกได้ยินข่าวลือบางอย่างเข้า บวกกับการที่นางคอยทุ่มเทความรักให้กับเยี่ยโยวเหยามาเป็เวลานาน จึงทำท่าทีมาเยี่ยมเยือนในนามของเฉินไท่เฟยที่กำลังสืบถามหาผ้าเปื้อนเืพรหมจรรย์ เว่ยเหม่ยเจียเลยถือโอกาสนี้มาตรวจสอบว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้มีการร่วมหอกันแล้วจริงหรือไม่!
ยังจะแสร้งทำเป็ไม่รู้ ริอ่านมาเล่นบนหัวของซูจิ่นซีผู้นี้เชียวหรือนี่
นางเกือบตายในมือของเยี่ยโยวเหยาและยังซี่โครงหักอีกสองซี่ หลังจากนี้อีกสามเดือนนางไม่สามารถลุกจากเตียงไปไหนได้เลย มันช่างน่าอึดอัดเสียจนหายใจไม่ออก!
ที่ระบายอารมณ์มาหาถึงที่โดยไม่ได้รับเชิญ หากไม่โกรธนางเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าแผนการที่น้องสามีแสร้งทำออกมานั้นจะเสียงแรงเปล่าหรอกหรือ?
ซูจิ่นซีตั้งใจทำคิ้วขมวด แสร้งไม่ทราบเื่อันใดเลย นางมองไปยังแม่นมฮวา
“ผ้าเปื้อนเืพรหมจรรย์หรือ? แม่นมฮวาได้เก็บไปหรือไม่? ”
แม่นมฮวาอยู่ในวังมานาน เคยเห็นการชิงดีชิงเด่นมาทุกรูปแบบ นางจะไม่รู้ถึงความคิดของซูจิ่นซีได้อย่างไร?
อีกทั้งนางเองก็ไม่ค่อยชอบลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ของโยวอ๋องเสียเท่าไร จึงฉวยโอกาสนี้ทำให้เว่ยเหม่ยเจียโมโห
“ไท่เฟย้าผ้าเปื้อนเืพรหมจรรย์หรือเ้าคะ? ทว่าคืนวันนั้นท่านอ๋องกับพระชายาเดิมก็ไม่ได้... อยู่บนเตียงนะเ้าคะ! ”
เมื่อเว่ยเหม่ยเจียได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็ตกตะลึงในทันที
ที่แท้ข่าวลือว่าเสด็จพี่โปรดปรานพระชายาคนใหม่นี้เสียจนฟ้าลั่นสั่นะเื กระดูกซี่โครงหักนู่นนี่ก็เป็เื่โกหก? อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ร่วมเรือนหอกันเสียด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นแสงสว่างแห่งชัยชนะก็แวบเข้ามาในดวงตาของนาง เว่ยเหม่ยเจียแสร้งทำเป็แปลกใจ
“อันใดนะ? แสดงว่าคืนนั้นทั้งคืนพระชายาคนใหม่กับเสด็จพี่ไม่ได้ร่วมหอกันหรือ? เหตุใดจึงเป็เช่นนั้นเล่า? หากอภิเษกเข้าครอบครัวของสวามีแล้วไม่ได้รับความรักจากสวามี เช่นนั้นอาจจะต้องหย่าร้างและกลับไปหาครอบครัวเดิมนะ”
แม่นมฮวาขมวดคิ้ว “คุณหนู ท่านอย่าพึ่งพูดจาเหลวไหลเลยเ้าค่ะ ผู้ใดบอกท่านว่าคืนนั้นพระชายากับท่านอ๋องไม่ได้มอบความรักซึ่งกันและกัน?”
เว่ยเหม่ยเจียสงสัย “ก็เ้าพูดเองนี่! คืนนั้นพวกเขาไม่ได้ร่วมนอนบนเตียงมงคลนั่น”
“ผู้ใดบอกว่าท่านอ๋องโปรดปรานพระชายาแล้วต้องอยู่เพียงบนเตียงกันเล่าเ้าคะ? ครานั้นพระชายาโลหิตไหลจนเปรอะพื้นไปทั่ว กระทั่งบัดนี้ร่างกายยังไม่ทันได้ฟื้นตัวขึ้นมาเลย ข้าน้อยกำลังจะทำน้ำแกงไก่บำรุงเ้าค่ะ หากทราบเร็วกว่านี้ว่าไท่เฟย้าผ้าผืนนั้น ตอนที่ข้าน้อยเก็บห้องจะได้ใช้ผ้านั้นเช็ดเืที่พื้น เช่นนั้นคงไม่ทำให้พระชายากับท่านอ๋องต้องเดือดร้อน”
อันใดนะ?
เสด็จพี่มีอะไรกับหญิงสารเลวนี่บนพื้น?
ถึงขนาดที่ว่าจะพากันไปที่เตียงมงคล เสด็จพี่ก็ไม่สามารถอดทนรอได้อย่างนั้นหรือ?
เืยังไหลลงพื้น...
จะต้องรุนแรงถึงเพียงใด???
เว่ยเหม่ยเจียสาวน้อยผู้น่าสงสาร ในเวลานี้ก็เหมือนมะเขือยาวที่ถูกน้ำค้างแข็ง [3] ไม่สามารถเสแสร้งและหยิ่งผยองได้อีกต่อไปแล้ว
ใบหน้าเว่ยเหม่ยเจียซีดเผือด
ในหัวของนางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเื่ราวที่นางแอบรักเสด็จพี่มานานหลายปี ทว่าเสด็จพี่กลับไปชอบคนอย่างซูจิ่นซีผู้นี้
ปวดใจ อิจฉา เกลียดชัง ฟั่นเฟือน แทบจะอยากให้ตนเองเสียสติให้รู้แล้วรู้รอด
…...
เชิงอรรถ
[1] ไท่เฟย คือ ตำแหน่งพระมเหสีหรือพระชายาขั้นกลาง
[2] ต้มกบที่อยู่ในหม้อ เป็สำนวนจีน ความหมายคือ เมื่อวันเวลาผ่านไปกว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว
[3] มะเขือยาวที่ถูกน้ำค้างแข็ง เป็สำนวนของชาวจีน ความหมายคือ เมื่อมะเขือยาวถูกแช่แข็งปลายก็จะเหี่ยวคล้ายกับมนุษย์ที่หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร