เสี่ยวหมี่เดินดูนั่นดูนี่อยู่ครู่หนึ่งกลับไม่เห็นว่าเฝิงเจี่ยนจะตามมา ก็เดินกลับไป พอเห็นเฉินซิ่นจึงเอ่ยทักทาย “อ้าว พี่ใหญ่เฉินท่านก็มาด้วยหรือ เดิมคิดว่าท่านจะกลับมาไม่ทันงานมงคลเสียแล้ว”
“เื่ใหญ่เช่นนี้ อย่างไรข้าก็ไม่กล้าพลาด วันหน้าเมื่อเยว่เซียนแต่งมาอยู่ที่นี่แล้ว ขอแม่นางลู่ช่วยดูแลด้วย”
เฉินซิ่นค้อมกายคารวะอย่างจริงจัง ทำเอาเสี่ยวหมี่รีบเบี่ยงตัวหลบ “พี่ใหญ่เฉินพูดอะไรเช่นนั้น ล้วนเป็คนบ้านเดียวกัน วันหน้าข้ายังคาดหวังให้พี่สะใภ้ดูแลพวกเราอยู่นะเ้าคะ”
คนทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่งเสี่ยวหมี่ก็พูดถึงเื่ตุ๊กตาขึ้นมา “ข้าจัดลงกล่องไว้เรียบร้อยแล้ว หากว่าพี่ใหญ่เฉินไม่กลับมา ข้ายังคิดจะให้ท่านลุงเฉินจ้างรถไปส่งที่เมืองหลวงอยู่เลยเ้าค่ะ”
“ข้าเองก็เป็ห่วงเื่นี้ถึงได้กลับมา บังเอิญมาทันงานสำคัญของบ้านพอดี”
ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน คนของสกุลเฉินก็จัดวางเตียงในบ้านเรียบร้อยแล้ว ซีผอ [1] นำคนช่วยกันปูเตียง โรยธัญพืชแล้วจึงปล่อยม่านลง
ทุกคนถอยออกไปจากเรือน มีเพียงสาวใช้สองคนของสกุลเฉินคอยเฝ้าประตูหน้าห้องเอาไว้ จนกว่าจะถึงการกราบไหว้ฟ้าดินพรุ่งนี้จะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปแม้แต่คนเดียว
เฉินซิ่นเองก็ไม่ได้อยู่ทานข้าวต่อ แต่รีบร้อนกลับบ้านไป
เสี่ยวหมี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางถามเฝิงเจี่ยนว่า “พี่ใหญ่เฝิง พี่ใหญ่เฉินซิ่นที่จริงแล้วมีอะไรจะพูดหรือเปล่าเ้าคะ ท่าทางเขาดูแปลกๆ”
เฝิงเจี่ยนเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไร เสี่ยวหมี่เคาะศีรษะตนเอง “สงสัยข้าคงยุ่งจนเลอะเลือนไปแล้ว รีบจัดการเื่มงคลของพี่ใหญ่ให้แล้วเสร็จดีกว่า มีพี่สะใภ้เข้ามาแบ่งเบาภาระ ข้าจะได้พักเสียที”
“ยายเฒ่าเ้าเล่ห์”
เฝิงเจี่ยนเอ่ยล้อเล่นออกมาประโยคหนึ่ง แต่สายตากลับไม่สดใสนัก น่าเสียดายที่เสี่ยวหมี่ไม่ทันสังเกต
…
เสียงดนตรีครื้นเครง นกการ่ำร้องเสนาะหู สกุลเฉินแต่งบุตรสาวออก สกุลลู่แต่งสะใภ้เข้า
จากหมู่บ้านเข้าไปถึงในเมืองเป็ระยะทางเพียงแค่ยี่สิบลี้เท่านั้น
รอจนพระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยไปทางทิศตะวันตก พี่ใหญ่ลู่ก็นำพรานหนุ่มจำนวนหนึ่งแบกเกี้ยวเข้าไปรับเ้าสาวในเมือง
ทหารยามได้รับขนมมงคลและเงินจากสกุลลู่ไปก่อนหน้านี้แล้ว แน่นอนว่าไม่คิดจะขัดขวาง ขบวนรับเ้าสาวจึงเข้าเมืองไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ดองกัน สองตระกูลก็ไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยมีความขัดแย้งใด ยามนี้ยิ่งแต่งเป็ดองกัน สกุลเฉินนอกจากเสียใจที่บุตรสาวต้องไปจากอ้อมอกตัวเองแล้วก็ไม่มีความไม่พอใจเื่อื่นใดอีก จึงไม่มีใครคิดจะหาเื่ให้บุตรเขยลำบากมากนักในวันนี้
เพียงไม่นาน เฉินเยว่เซียนที่สวมอาภรณ์สีแดง เครื่องประดับทองระย้าก็เดินออกมาคารวะลาสองสามีภรรยาสกุลเฉิน จากนั้นก็ขึ้นหลังเฉินซิ่น เฉินซิ่นค่อยๆ แบกน้องสาวของตนออกจากเรือนสกุลเฉินขึ้นเกี้ยวเ้าสาวสกุลลู่
พี่ใหญ่ลู่คารวะเฉินซิ่นอย่างจริงจัง ครั้งนี้เขาเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “พี่ใหญ่วางใจ ข้าจะต้องดีกับเยว่เซียนอย่างแน่นอน”
เฉินซิ่นรู้สึกปวดใจนัก เขาอายุมากกว่าน้องหญิงห้าหกปี เขารักใคร่เอ็นดูและตามอกตามใจน้องหญิงคนนี้มาั้แ่เล็ก เดิมทีเขาคิดจะหาบ้านเ้าบ่าวดีๆ ที่เมืองหลวงให้น้องหญิง คิดไม่ถึงว่าน้องหญิงจะพอใจบุตรชายคนโตสกุลลู่
กล่าวได้เพียงว่า ต่างคนต่างก็มีวาสนาเป็ของตนเอง เขาขวางไม่ได้ แต่ก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้
เขาคิดจะเอ่ยกำชับอย่างเข้มงวดไปสองสามประโยคเพื่อแสดงให้เห็นว่าน้องหญิงของเขาก็มีคนหนุนหลังเช่นกัน แต่เมื่อเห็นดวงตากลมโตใสซื่อของบุตรชายคนโตสกุลลู่ ก็พลันรู้สึกว่าแบบนั้นจะดูพูดมากเกินไปแล้ว สุดท้ายจึงทำเพียงตบไหล่น้องเขยเบาๆ แล้วถอยออกมา
พี่ใหญ่ลู่ยิ้มกว้างก่อนจะพลิกกายขึ้นไปบนหลังม้า นำขบวนรับเ้าสาวออกนอกเมืองไปอย่างราบรื่น
คนในหมู่บ้านเขาหมีเตรียมตัวกันั้แ่เช้า พวกเขาฆ่าหมูฆ่าแพะ เลาะเนื้อเอากระดูกไปตุ๋น ถอนขนไก่ตุ๋นน้ำแกงเห็ดป่า ยุ่งกันจนเหล่าสตรีหัวหมุน ส่วนเด็กๆ ต่างน้ำลายสอกันมาทั้งวันแล้วเพราะกลิ่นอาหารอบอวลพวกนั้น
บิดาลู่โกนหนวดเครา สวมหมวกสูงทรงสี่เหลี่ยมและอาภรณ์ชั้นนอกตัวยาว แลดูสง่างามมีชีวิตชีวา
สหายร่วมเรียนของเขาที่ได้รับเทียบเชิญต่างก็เร่งรุดมาเพื่อแสดงความยินดี พวกเขานั่งกันอยู่ในโถงรับรองของเรือนคุณธรรม จิบชาไปพลางสนทนากันไปพลาง เสี่ยวหมี่นำเด็กสาวรับใช้ถือขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นน้อยที่เพิ่งอบเสร็จส่งเข้ามา
บังเอิญได้ยินคนผู้หนึ่งตัดพ้อกับบิดาลู่ว่า “เหวินเฉิงเอ๋ย ตอนนั้นเ้านับว่าเป็อัจฉริยะที่หาตัวจับยากในสำนักศึกษาของเรา หากเ้ามีโอกาสสอบเข้ารับราชการต่อไป ยามนี้เกรงว่าคงได้เป็ขุนนางระดับสามไปแล้ว เหตุใดจู่ๆ ถึงลาออกกลับมาอยู่บ้านเดิมเช่นนี้ น่าเสียดายจริงๆ น่าเสียดายนัก”
“นั่นสิ สามเดือนหลังจากพี่เหวินเฉิงกลับบ้านเดิม ท่านอาจารย์ก็ยังบ่นถึงไม่เคยขาด เอาแต่รำพันว่าความงามของสตรีทำให้คนหลงผิด หากว่าท่านไม่...”
ชายอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าแสนเสียดาย บิดาลู่มีสีหน้าเรียบเฉยแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าบุตรสาวกำลังเดินเข้ามา ก็รีบตัดบทคำพูดของสหายทันที ยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือบุตรสาวคนเล็กของข้า นางเชี่ยวชาญการทำอาหาร ของว่างที่นางทำร้านอาหารในเมืองหลายร้านยังไม่อาจสู้ได้ ตอนกลับไปพวกเ้าก็อย่าลืมถือติดไม้ติดมือกันไปคนละกล่องด้วยเล่า จะได้ลองชิมของแปลกใหม่ดูบ้าง”
ถึงแม้เทศกาลไหว้พระจันทร์จะผ่านไปนานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ร้านขนมในเมืองเพิ่งได้รับสูตรขนมไหว้พระจันทร์มาใหม่จึงตื่นเต้นและนำออกขายกันอยู่เป็นานทั่วทั้งเมือง ทำให้แทบทุกคนรู้จัก ‘ขนมไหว้พพระจันทร์แบบใหม่’ กันหมด เพียงแต่ที่ทำขายกันนั้นไม่ได้มีรูปลักษณ์งดงามเท่ากับของที่สกุลลู่ทำก็เท่านั้น
หนึ่งในสหายเขาถามขึ้นมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าขนมไหว้พระจันทร์นี้มาจากสกุลลู่ หรือว่าสกุลลู่ที่เขาพูดถึงก็คือ...”
สีหน้าของบิดาลู่ดูภาคภูมิใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่แล้ว บุตรสาวข้าห่วงเื่กินเป็ที่สุด นางคิดทำขนมชนิดนี้ขึ้นมาโดยบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าจะเป็ที่ชื่นชอบไปทั่ว”
เสี่ยวหมี่รีบยอบกายคารวะทุกคน ถึงแม้ตลอดหนึ่งปีมานี้นางจะยุ่งอยู่กับการจัดการเื่ในบ้าน แต่นางก็ไม่ขาดแคลนอาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อบอุ่น ทั้งยังเป็ที่รักใคร่ของคนมากมาย สีหน้าจึงดูดีกว่าเมื่อก่อนที่ผอมแห้งและซีดเซียวมากนัก ดวงหน้ากลมน่ารักอิ่มเอิบเป็สีแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตมีชีวิตชีวา ท่าทางเฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู อีกทั้งกิริยาการแสดงความเคารพก็ทำได้งดงามอ่อนช้อย เป็ธรรมชาติแลดูไม่ขัดตา จึงได้รับความเอ็นดูจากทุกคนในทันที
บางคนถึงกลับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อีกทั้งตอนนี้สกุลลู่เองก็มีชื่อเสียงอันดีงามกระจายไปทั่ว ระหว่างที่เสี่ยวหมี่ยกขนมน้ำชาขึ้นมาวางก็ทำเป็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจว่า “พี่เหวินเฉิง บุตรสาวของท่านมีพันธะหมั้นหมายแล้วหรือไม่ ได้ยินว่าบุตรชายคนที่สามของท่านร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา เขาไม่ได้ช่วยน้องหญิงเลือกหาบุรุษดีๆ บ้างเลยหรือ”
บิดาลู่คงจะไร้เดียงสามากจนเกินไป เขาจึงไม่คิดถึงความหมายอื่น เพียงส่ายศีรษะ ในตอนที่คิดจะเอ่ยตอบอะไรนั้น เฝิงเจี่ยนกลับเดินเข้ามา
วันนี้เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงิน ปักลายเรียบๆ ที่คอเสื้อและชายแขนเสื้อ บนศีรษะปักปิ่นไม้แลดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง แต่ตัวเขาเองกลับแผ่รังสีน่าเกรงขามออกมา
ทุกคนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นเขาแล้วจึงพากันรู้สึกหวั่นเกรงอย่างยิ่ง พวกเขาต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนกับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่นี้และไม่รู้ว่าควรเรียกขานเขาอย่างไร ตอนนั้นเองบิดาลู่ก็ช่วยแนะนำ
“หลานชายท่านนี้แซ่เฝิงนามเจี่ยน เขาศึกษาทัศนาจรอยู่ด้านนอก ่นี้มาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว”
เขาอธิบายได้อย่างคลุมเครือยิ่งนัก แต่ทุกคนก็ไม่กล้าถามอะไรมาก เมื่อเห็นว่าเฝิงเจี่ยนเพียงแค่ประสานมือคารวะง่ายๆ แล้วนั่งลง ก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
เฝิงเจี่ยนกลับยิ้มแล้วเอ่ยถามบิดาลู่ว่า “ท่านลุงกำลังสนทนากับทุกท่านเื่งานสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหรือไม่ขอรับ หลานเหมือนจะได้ยินข่าวอะไรมาบ้าง ได้ยินมาว่าคำถามจะเกี่ยวข้องกับอักษร ‘หลี่ [2]’...”
“หา จริงหรือ?”
“คุณชายเฝิงได้ยินข่าวมาจากที่ใดหรือ?”
ทุกคนต่างก็เป็ซิ่วไฉชรา หากจะเข้าร่วมการสอบก็เหมือนจะอายุมากเกินไปหน่อย แต่หากจะไม่เข้าร่วมสอบก็ยังรู้สึกตัดใจไม่ได้ สถานะค่อนข้างกระอักกระอ่วน ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในประตู ส่วนขาอีกข้างยังรั้งอยู่หน้าประตู
จู่ๆ ได้ยินสิ่งที่เฝิงเจี่ยนพูดจึงพากันใ ต่างถามขึ้นมาอย่างสนใจอยากให้เขาพูดให้ละเอียดกว่านี้
น่าเสียดายเฝิงเจี่ยนเพียงก้มหน้าจิบชาอย่างอย่างช้าๆ ไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่าคนที่จุดประเด็นขึ้นมาไม่ใช่เขาก็ไม่ปาน
ทุกคนต่างไม่ใช่คนโง่ เพียงครู่เดียวก็คาดเดาเื่ราวทั้งหมดได้ จึงพากันมองไปยังคนที่พูดเื่แต่งงานของเสี่ยวหมี่เมื่อครู่
คนผู้นั้นพลันรู้สึกพิพักพิพ่วน ทั้งยังหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยังอดทนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พูดก็พูดเถอะ เื่งานมงคลของลูกๆ น่ะ อันที่จริงแล้วต้องระมัดระวังให้มาก พวกบัณฑิตในสำนักศึกษาถึงแม้จะมีความรู้มีการศึกษา แต่เื่นิสัยก็ยังจำเป็ต้องพิจารณาดูให้ดี พี่เหวินเฉิง บุตรสาวของท่านน่ารักและเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ยิ่งต้องเลือกนาน เก็บนางไว้กับตัวสักหลายปีหน่อยค่อยให้แต่งออกไป”
บิดาลู่นั้นไม่รู้ว่าเข้าใจทุกอย่างแต่แสร้งทำเป็ไม่รู้ หรือว่าไม่รู้เื่จริงๆ เขาพยักหน้าเออออ “พูดมีเหตุผล”
คนที่พูดคนนั้นทำได้เพียงดื่มชาดับความโมโหภายในใจ
เฝิงเจี่ยนสายตาเ็า เขาหลุบตาลงดื่มชาเช่นกัน ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ั้แ่หลังเดือนเจ็ดเป็ต้นมา ท่านหัวหน้าราชครูแห่งสำนักศึกษาหลวงก็ทยอยออกบทความเื่หลี่ออกมาทุกๆ ครึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับเื่นี้เป็อย่างยิ่ง งานสอบครั้งใหญ่ในปีหน้า มีท่านผู้นี้เป็หัวหน้าผู้คุมสอบ...”
“อา ที่แท้เป็เช่นนี้ ยังมีข่าววงในเช่นนี้ด้วย”
“เหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ หากคุณชายเฝิงไม่เอ่ยขึ้นมา เกรงว่าคงไม่มีใครสังเกตถึงเื่นี้”
ทุกคนตาสว่างราวกับดวงตาเห็นธรรมกันขึ้นมาทันที ต่างพากันตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก บางคนแทบอยากจะกลับบ้านเสียประเดี๋ยวนี้ จะได้ไปพลิกอ่านตำราหลี่ให้รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ เผื่อจะมีโอกาสขึ้นสู่จุดสูงสุดกับเขาบ้าง
เวลานี้เองก็มีคนเข้ามาเชิญบิดาลู่ ขบวนรับเ้าสาวอีกประมาณสองลี้ก็จะมาถึงแล้ว เขาในฐานะบิดาย่อมต้องออกไปต้อนรับ
บิดาลู่ประสานมือเอ่ยขอตัวกับทุกคน แล้วจึงลุกขึ้นยืน เฝิงเจี่ยนเองก็พยักหน้าให้ทุกคนและเดินตามออกไปเช่นกัน
หนึ่งหนุ่มหนึ่งแก่เดินออกไป จู่ๆ บิดาลู่ก็หันกลับมาถามว่า “หลานชาย การสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหัวข้อจะเกี่ยวข้องกับหลี่จริงๆ หรือ?”
เฝิงเจี่ยนทำสีหน้าราวกับผู้บริสุทธิ์ ตอบว่า “ข้าไม่เคยพูดเื่นี้กับลู่เชียน”
บิดาลู่อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา สะบัดชายแขนเสื้อกว้างเดินนำไปยังเรือนถิ่นสราญโดยมีพระอาทิตย์สีส้มที่ใกล้ลับขอบฟ้าสาดแสงไล่หลัง ส่วนอีกด้านพวกเด็กๆ ที่ตื่นเต้นดีใจต่างวิ่งไปอออยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว
เสี่ยวหมี่ยุ่งมากจนอยากจะมีสามเศียรหกกร เห็นบิดาของตนหัวเราะเสียงดัง จึงเข้าไปดึงตัวเฝิงเจี่ยนไว้ ถามว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านพูดอะไรกับท่านพ่อหรือ เขาถึงได้อารมณ์ดีเช่นนั้น”
เฝิงเจี่ยนยิ้มอย่างลึกลับ เอ่ยกลบเกลื่อนว่า “อาจจะดีใจที่วันนี้ได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านกระมัง?”
เสี่ยวหมี่ย่อมทายได้ว่าเขาตอบปัดอย่างขอไปที แต่ก็ทำได้เพียงถลึงตาใส่เขาและใช้ศอกแทงสีข้างเขาไปทีหนึ่ง ไม่ถามอะไรอีก เวลากระชั้นชิดเข้ามามากแล้ว นางยกชายกระโปรงรีบวิ่งไปออกไปจัดการงานต่อ
เฝิงเจี่ยนมองแม่นางน้อยที่ยกชายกระโปรงวิ่งออกไปด้วยหัวใจเ็ปยากจะบรรยาย
เขาไม่อาจยืดเวลากลับออกไปได้อีกแล้ว การจากลาเพียงชั่วครู่นี้ก็เพื่อให้พวกเขาได้กลับมาพบกันใหม่และอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป เื่นี้เขาเข้าใจดี แต่ก็ยังยากจะหักใจ...
สกุลเฉินมีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือเฉินเยว่เซียน อีกทั้งครอบครัวยังร่ำรวย ขบวนสินเดิมจึงยิ่งใหญ่ไม่น้อย สินเดิมชักมาเป็ขบวนยาวทั้งหมดสามสิบหกหีบ ทำเอาคนหมู่บ้านเขาหมีมองตาค้าง ยามปกติพวกเขาแต่งสะใภ้เข้าบ้านได้สินเดิมสักสิบสองหีบก็นับว่าหรูหรามากแล้ว
อีกทั้งหีบสินเดิมของสกุลเฉินไม่ได้จัดเพียงเพื่อเอาหน้าเอาตาแบบบ้านอื่น ที่แท้จริงแล้วในหีบใส่ของไว้เพียงไม่กี่ชิ้น ทำให้กระจายไปใส่ไว้ได้หลายหีบ
แต่ละหีบที่พวกเขาจัดมาหนักอึ้งไม่กลวงด้านใต้แต่อย่างใด หากพวกเขาจัดหีบสินเดิมแบบรักษาหน้าตาเหมือนบ้านอื่นๆ จากสามสิบหกหีบของพวกเขาคงกระจายแบ่งไปใส่ได้ถึงห้าสิบหีบก็คงไม่เกินไปนัก
เชิงอรรถ
[1] ซีผอ(喜婆)หญิงมีอายุที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือเ้าสาวในพิธีแต่งงาน
[2] หลี่(礼)หมายถึง พิธีการ หรือมารยาท