จ้านอู๋มิ่งไม่ได้พูดความจริงออกมา หากให้เมืองวันสิ้นโลกทราบความจริง มีความเป็ไปได้มากที่จะตัดโชคชะตาเพียงหนึ่งเดียวของจู้เชียนเชียนทิ้งเสีย ระหว่างตระกูลกับบุตรสาว เกรงว่าเ้าเมืองวันสิ้นโลกคงตัดสินใจลำบากยิ่งนัก หากว่าจำนวนตัวเลขโชคชะตาที่เหลือหนึ่งของจู้เชียนเชียนขาดสะบั้นลง แม้นางจะมีดวงชะตาเก้าชีวิตก็มีแต่ดับสูญสถานเดียว
คนที่ธาตุแห่งชีวิตหนึ่ง โชคชะตาเก้าและคนที่ธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่งล้วนมีดวงชะตาเก้าชีวิต แต่ว่ากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนที่ธาตุแห่งชีวิตหนึ่ง โชคชะตาเก้าสามารถมีชีวิตรอดในทุกแห่งหน ต่อให้ประสบภัยพิบัติหายนะก็สามารถแคล้วคลาดผ่านพ้น ถึงแม้จะมีธาตุแห่งชีวิตเพียงหนึ่ง แต่ก็จะอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางความสิ้นหวังเข้าตาจน นั่นคือดวงชะตาเก้าเป็
ส่วนคนที่ธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่ง ถึงแม้ดวงชะตาแข็งยิ่งนัก แต่เนื่องจากวิถีของโชคชะตาพร่อง มักประสบพบเจอภยันตรายอยู่เสมอ แม้จะมีดวงชะตาเก้าชีวิตก็หาบทสรุปที่ดีได้ยากเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้จะเป็คนที่มีดวงชะตาเก้าชีวิตเช่นกัน กลับเป็ดวงชะตาเก้าตาย
ดวงชะตาเก้าตายเป็ดวงชะตาที่พิเศษยิ่งนักในหมู่ดวงชะตา หากเสริมเติมเต็มร่วมกันกับดวงชะตาเก้าเป็ ก็จะกลายเป็ดวงชะตาเก้าเป็เก้าตาย ไม่มีภัยพิบัติหายนะใดๆ ของฟ้าดินที่จะทำให้เสียชีวิตได้ นึกถึงตรงนี้ พลันประกายสายตาของจ้านอู๋มิ่งก็เปล่งประกายวาวขึ้นวูบหนึ่ง ดวงชะตาเก้าเป็เก้าตาย?
จ้านอู๋มิ่งนึกถึงคนผู้หนึ่ง นั่นคือคนผู้นั้นที่เขาตามหาเพื่อหลิ่วหว่านอวี๋ตลอดมา ความทรงจำในชาติภพที่แล้วทำให้เขาเชื่อมโยงหลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกัน ความเป็ไปได้ที่มากที่สุดคือคนที่มีความจำเป็้าเสริมเติมเต็มจำนวนตัวเลขชีวิตกับจู้เชียนเชียนก็คือคนที่มีดวงชะตาเก้าเป็เก้าตายผู้นั้น ชาติภพที่แล้ว หลังจากบรรลุจุดสูงสุดแล้วสุดท้ายคนผู้นั้นก็สาบสูญไปอย่างแปลกประหลาด กลายเป็ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดของตน ต่อมา โม่เทียนจีเป็ผู้ริเริ่มเสนอแผนการจัดตั้งค่ายกลเก้าวิบัติมรณะ หลังจากนั้นคนผู้นั้นไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย จ้านอู๋มิ่งคิดว่าคนผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้ว ยามนี้คิดขึ้นมาก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก ตอนที่เขาเร่งเดินทางไปถึงมีคนทะลวงด่านสำเร็จในค่ายกลเก้าวิบัติมรณะแล้วทะยานขึ้นนภากาศไป หากพูดว่าโม่เทียนจีกำจัดคนผู้นั้นแล้ว คนที่เหินขึ้นนภากาศไปนั้นคือผู้ใด? หากไม่ได้กำจัดคนผู้นี้ แต่กลับช่วยให้เขาทะลวงด่านสำเร็จละก็...แล้วคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์อันใดกับโม่เทียนจี?
โม่เทียนจีคำนวณความลับ์จนหมดสิ้น ขาดเพียงเฉพาะขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้นก็สามารถทะลวงด่านทะยานขึ้นกลายเป็เทพเ้า ความสำเร็จระดับนี้ เป็สุดยอดปรมาจารย์นักพยากรณ์ชะตาชีวิตแล้ว หากคนดวงชะตาเก้าเป็ผู้นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโม่เทียนจี เป็ไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะเป็ปรมาจารย์นักพยากรณ์ชะตาชีวิตที่น่ากลัวยิ่งผู้หนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งกำลังครุ่นคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ยิ่งวิเคราะห์ ยิ่งรู้สึกน่าสะพรึงกลัว ในใจเกิดความรู้สึกร้อนรุ่ม เขาตัดสินใจแล้ว เสร็จเื่มหาสมุทรวันสิ้นโลกครั้งนี้แล้วจะต้องตามหาคนดวงชะตาเก้าเป็ให้พบโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นจะกลายเป็ภัยใหญ่หลวงในอนาคต
ชาติภพที่แล้วอยู่ในอาณาจักรเบื้องบน เขาถูกคนผู้นั้นไล่ล่าสังหารตลอดเวลา หากมิใช่พบกับโม่เทียนจี การที่เขาจะประสบความสำเร็จในขั้นสุดท้ายนั้นยากลำบากยิ่งนัก ด้วยการสนับสนุนจากโม่เทียนจี เขาจึงค่อยๆ รักษาตำแหน่งจนแข็งแกร่งมั่นคง สุดท้ายจึงได้มีโอกาสตอบโต้กลับ
ตอนนี้คิดดูแล้ว เวลานั้นดวงชะตาเก้าเป็เก้าตายของคนผู้นี้คงบรรลุระดับกลางเรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้นชะตาชีวิตคงไม่สามารถย้อนทวนฝืนฟ้ายิ่งกว่าตน ดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาตเป็จำนวนตัวเลขชีวิตที่ดุร้ายรุนแรงที่สุดของฟ้าดิน ถึงแม้จะสะกดข่มญาติมิตรคนใกล้ชิดทั้งหมด แต่กลับสนับสนุนชะตาชีวิตของตนเอง ประสบความสำเร็จถึงจุดสูงสุด แต่คนที่ดวงชะตาเก้าชีวิตกลับเหนือล้ำยิ่งกว่าตน ความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ จำนวนตัวเลขชีวิตของคนดวงชะตาเก้าเป็เก้าตายผู้นี้บรรลุความสมบูรณ์แบบระดับต้นแล้ว
“พี่จ้าน เื่ราวยุ่งยากมากใช่หรือไม่?” จู้เชียนเชียนเห็นจ้านอู๋มิ่งสีหน้าเคร่งขรึมเงียบกริบตลอดเวลา สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน อดถามขึ้นไม่ได้
จ้านอู๋มิ่งตื่นจากภวังค์ มองจู้เชียนเชียนครั้งหนึ่ง มิได้ปิดบังแต่อย่างใด เขาผงกศีรษะ สูดหายใจแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากำลังคิด ผู้ใดกันแน่ที่ลงมืออย่างโหดร้ายเช่นนี้ต่อเชียนเชียน จุดประสงค์คือสิ่งใด”
“ถ้ายุ่งยากเกินไปก็แล้วกันไปเถอะ ในหลายปีมานี้เชียนเชียนได้เตรียมตัวเตรียมใจแล้ว ก่อนตายสามารถได้รู้จักสหายเช่นพี่จ้านก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว” จู้เชียนเชียนส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้น
“ไม่ ตราบใดที่ยังมีโอกาสแม้เพียงนิดเดียว ก็อย่าเพิ่งวางมือง่ายๆ” จ้านอู๋มิ่งขัดจังหวะคำพูดของจู้เชียนเชียน เขาเพิ่งพูดจบลง พลันรู้สึกใอย่างยิ่ง เนื่องจากเสียงถอนหายใจดังก้องขึ้นในหู จ้านอู๋มิ่งลุกขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ท่านพ่อ!” จู้เชียนเชียนเรียกเสียงเบาคำหนึ่ง จ้านอู๋มิ่งเห็นเงาร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งเดินออกมาจากความมืด
จู้ชิงขวง เ้าเมืองวันสิ้นโลก ไม่ได้ห้าวหาญหรือกระฉับกระเฉงอย่างที่จ้านอู๋มิ่งจินตนาการไว้ จอมทรราชแห่งแว่นแคว้นหนึ่ง กลับเหมือนผู้คงแก่เรียนวัยกลางคน ทั้งยังซูบผอมผู้หนึ่ง จอนผมข้างขมับเป็สีดอกเลาเล็กน้อย ช่างเหมือนบิดาที่ขยันและมีความเมตตาผู้หนึ่งจริงๆ ไม่มีการวางท่า แสดงท่าทีของเ้าเมืองแม้แต่น้อย
จ้านอู๋มิ่งอดที่จะรู้สึกเคารพขึ้นมามิได้ เขารับรู้ได้ถึงความรักใคร่เอาใจใส่ของจู้ชิงขวงที่มีต่อจู้เชียนเชียน เขามองออกเนิ่นนานแล้วถึงความพยายามทั้งหมดที่จู้ชิงขวงทุ่มเทให้จู้เชียนเชียนในฐานะบิดา ยอดฝีมือขอบเขตระดับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ จอนผมที่ขมับสองข้างกลายเป็สีดอกเลา แสดงออกถึงความกังวลใจต่อบุตรีมากมายเพียงใด
จากภาพลักษณ์ของจู้ชิงขวง จ้านอู๋มิ่งก็สามารถมองออกว่าหลายปีมานี้โชคชะตาของเมืองวันสิ้นโลกถูกขโมยออกไปมากเกินไปแล้ว มิฉะนั้นด้วยศักดิ์ฐานะเ้าเมืองวันสิ้นโลกของจู้ชิงขวง จะต้องเสริมเติมเต็มโชคชะตาให้คนทั่วทั้งเมืองอย่างแน่นอน ความชั่วร้ายทั้งมวลมิอาจกล้ำกราย ไยจะถูกกาลเวลากัดกร่อนได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มีอายุขัยร่วมสองพันปี อายุของจู้ชิงขวงเทียบกับฐานบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของเขาแล้ว ย่อมเป็ผู้เปี่ยมพร์อันน่าทึ่ง ต้องสูงส่งเก่งกาจอย่างยิ่ง มิฉะนั้นมิสามารถบรรลุปณิธานด้วยวัยเพียงเท่านี้
“สายตาของเชียนเชียนไม่เลว” จู้ชิงขวงพิจารณาจ้านอู๋มิ่งอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เนิ่นนานจึงพูดขึ้น
“ท่านพ่อ” จู้เชียนเชียนกระซิบเบาๆ อย่างขุ่นข้องคราหนึ่ง สีหน้าแดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน จ้านอู๋มิ่งได้แต่ฝืนยิ้มคราหนึ่ง สำหรับจู้เชียนเชียนแล้ว เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคิดอย่างไร บางทีเขาอาจเห็นจู้เชียนเชียนเป็ตัวแทนของหลินซีรั่วไปแล้ว แต่สิ่งนี้ไม่ยุติธรรมต่อจู้เชียนเชียน หากไม่มีความทรงจำของชาติภพที่แล้ว บางทีเขาอาจจะชอบจู้เชียนเชียน แต่เขาไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหากในอนาคตเมื่อได้พบกับหลินซีรั่ว เขาสมควรจะทำอย่างไร
“ผู้เยาว์ จ้านอู๋มิ่งน้อมพบใต้เท้าท่านเ้าเมือง” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแห้งๆ คราหนึ่ง รีบแสดงการคารวะ
จู้ชิงขวงยิ้มๆ โบกแขนเสื้อคราหนึ่งยกร่างจ้านอู๋มิ่งขึ้น จ้านอู๋มิ่งต้องนั่งกลับที่เดิมอย่างมิอาจขัดขืน
“ทำตัวตามสบายเช่นที่พำนักของเ้าเอง เ้าคือสหายของเชียนเชียน นั่นคือแขกผู้มีเกียรติของเมืองวันสิ้นโลกเรา กับข้าก็มิต้องเกรงใจแล้ว เรียกข้าลุงจู้หรืออาจู้ล้วนได้ทั้งสิ้น”
จ้านอู๋มิ่งใเล็กน้อย แต่ในใจกลับรู้สึกยินดียิ่งนัก ได้รับการยอมรับจากจู้ชิงขวง เขาก็จะอยู่ในเมืองวันสิ้นโลกได้อย่างไม่สะทกสะท้านแล้ว เมื่อครู่เขาเพิ่งจะล่วงเกินตระกูลหวางแห่งเมืองวันสิ้นโลกมา กำลังคิดว่าในอนาคตคงจะต้องระมัดระวังแล้ว เมื่อได้รับการยอมรับจากเ้าเมืองวันสิ้นโลกจริงๆ เวลานี้ตระกูลหวางย่อมมิกล้าแตะต้องตน นึกถึงจู้เชียนเชียน อารมณ์ของจ้านอู๋มิ่งก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอีกแล้ว
“ท่านอาจู้คงได้ยินบทสนทนาของข้ากับเชียนเชียนเมื่อครู่นี้แล้ว?” จ้านอู๋มิ่งเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นอย่างจริงจังยิ่งนัก
จู้ชิงขวงทอดถอนใจคราหนึ่งและผงกศีรษะ เดินไปที่หน้าต่างห้องหนังสือ ค่อยๆ เปิดหน้าต่างออก ให้ลมเย็นๆ ยามราตรีพัดเข้ามา คิดถึงเหตุการณ์บางส่วนในอดีตขึ้นมา
“ท่านพ่อทราบว่าเป็ผู้ใดหรือไม่?” จู้เชียนเชียนถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หากพ่อคาดเดามิผิด เป็ไปได้มากว่าจะเป็เขา!” น้ำเสียงของจู้ชิงขวงแฝงความโกรธเคือง
“ไม่ทราบว่าท่านอาจู้พูดถึงผู้ใด สามารถพูดออกมาให้หลานลองฟังดูได้หรือไม่” จ้านอู๋มิ่งรู้สึกสะดุดใจ เขา้าได้รับการยืนยันจากปากของจู้ชิงขวง
“ตอนข้ายังหนุ่มเคยเดินทางไปแต่ละแคว้นทั่วโลก เสาะแสวงหาและเยี่ยมเยียนยอดฝีมือทั่วหล้า ในบรรดาคนเ่าั้ ข้าได้รู้จักและคบหากับยอดคนผู้เชี่ยวชาญศาสตร์พยากรณ์ชะตาชีวิตผู้หนึ่ง คนผู้นี้ประวัติความเป็มาลึกลับยิ่งนัก ถึงแม้จะคบหากับเขามานานหลายทศวรรษ แต่เนื่องจากข้อห้ามจากสำนักของเขา จึงมิเคยได้รู้จักอาจารย์ของเขาเลย ตลอดจนไม่ทราบถึงฐานะของเขาแม้แต่น้อย ทราบเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ก็คือเขาแซ่โม่ นามฉางชุน คนนี้ไม่เพียงมีพร์ในการฝึกฌานบ่มเพาะเหนือล้ำคนทั่วไป ยังเชี่ยวชาญศาสตร์พยากรณ์ชะตาชีวิตยิ่งนัก พูดแล้วยังคงต้องขอบคุณเขา หากมิใช่เพราะเขา ข้าก็ไม่สามารถเป็เ้าเมืองวันสิ้นโลกได้ ไม่สามารถที่จะมีศักดิ์ฐานะและฐานการบ่มเพาะเช่นในปัจจุบัน ภายหลังพวกเรามีเื่โต้แย้งบางอย่างจึงเลิกคบหากัน และเขาก็หายตัวสาบสูญไป” จู้ชิงขวงเล่าเสียงเบา จ้านอู๋มิ่งกลับฟังจนหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
“ปรากฏว่าแซ่โม่!” จ้านอู๋มิ่งลอบคิดในใจ ในแผ่นดินนี้มีคนแซ่โม่อยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ โม่ฉางชุน ชื่อนี้กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จ้านอู๋มิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโม่เทียนจีอย่างแน่นอน เมื่อผนวกความทรงจำในชาติภพก่อนมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในชีวิตนี้ จ้านอู๋มิ่งมั่นใจว่าตระกูลโม่เป็ตระกูลที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งตระกูลหนึ่ง ภายในตระกูลของหลิ่วหว่านอวี๋ก็เคยปรากฏเงาร่างของคนตระกูลโม่ จุดประสงค์ของพวกเขาคือสิ่งใด? พวกเขาอาศัยอยู่ที่ใดกันแน่? เพราะเหตุใดทั้งอาณาจักรเบื้องล่างและเบื้องบนล้วนมีเงาร่างของพวกเขา และล้วนปรากฏตัวขึ้นในฐานะปรมาจารย์นักพยากรณ์ชะตาชีวิต?
“ท่านพ่อ เพราะเื่ราวใด ท่านจึงเลิกคบหากับเขาอย่างไม่สบอารมณ์?” จู้เชียนเชียนถามแทรกขึ้น
ในดวงตาของจู้ชิงขวงปรากฏความอ่อนโยนดุจละอองหมอกก็มิปานสายหนึ่ง ถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า “ระหว่างการเดินทางครั้งหนึ่ง พวกเราได้พบกับมารดาของเ้า พวกเราทั้งสองหลงรักมารดาของเ้าพร้อมกัน มารดาเ้าเห็นว่าเขามีความคิดที่สุดโต่งเกินไป สุดท้ายจึงได้เลือกข้า หลังจากเขาทราบว่ามารดาเ้าและข้ามีสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว จึงจากไปอย่างโกรธเคือง ภายหลังมีครั้งหนึ่งข้าออกเดินทางไกล หลังจากกลับมา มารดาเ้าพูดว่าโม่ฉางชุนเคยแวะมาหานาง หวังว่าจะพามารดาของเ้าไป เวลานั้นมารดาเ้าได้ตั้งครรภ์เ้าแล้ว แต่แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งครรภ์เ้า อย่างไรก็ไม่สามารถจะไปกับเขาได้ ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากปฏิเสธเขา ครั้งนั้นเขาวนเวียนอยู่ในเมืองวันสิ้นโลกหลายวันจึงได้จากไป หลังจากข้ากลับมา มารดาเ้าให้กำเนิดเ้านานแล้ว ตลอดมามารดาเ้าสุขภาพดีอย่างยิ่ง แต่ยามที่ให้กำเนิดเ้า สุขภาพกลับอ่อนแอลงอย่างมาก สุดท้ายเพราะคลอดยากจึงเสียชีวิต ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ นางหวังว่าข้าจะเลี้ยงดูเ้าจนเติบใหญ่เป็อย่างดี…”
หยุดลงชั่วคราว ในดวงตาของจู้ชิงขวงฉายเจตนาฆ่าอันน่าสะพรึงกลัวและกล่าวว่า “เวลานั้นข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อมา เ้ากำเนิดมาร่างกายก็ผิดปกติยิ่งนัก กลับไม่สามารถฝึกฝนพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ ข้าก็เคยสงสัยว่าจะถูกผู้อื่นลอบลงมือมาก่อน ตลอดจนสงสัยว่ามารดาเ้าก็ถูกคนอื่นลอบลงมือเช่นกัน เมื่อครู่ได้ยินที่หลานชายจ้านพูดมา ข้าจึงนึกขึ้นได้ ใช่ครั้งนั้นหรือไม่ที่โม่ฉางชุนกลับมาหามารดาเ้า เนื่องจากถูกมารดาเ้าปฏิเสธ จึงเปลี่ยนจากรักกลายเป็แค้นและจัดวางแผนร้ายย้อนทวนฝืนฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเช่นนี้ขึ้นมา มิเพียงทำร้ายมารดาเ้าจนเสียชีวิต เขายังทำให้เ้ากำเนิดมาร่างกายผิดปกติ”
จ้านอู๋มิ่งและจู้เชียนเชียนล้วนเงียบขรึมลงแล้ว ไม่คิดว่าระหว่างปัญหาดังกล่าวยังมีเื่ราวเช่นนี้อีก ในใจรู้สึกเหยียดหยามและดูแคลนการกระทำของโม่ฉางชุนยิ่งนัก
“ภายหลัง ท่านอาจู้ไม่ได้เจอคนผู้นั้นอีกเลยหรือ?” จ้านอู๋มิ่งครุ่นคิดแล้วถามขึ้น
“ภายหลังข้าก็เคยออกตามหาเขา หวังว่าเขาจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของข้าและมารดาของเชียนเชียนในตอนนั้น ยอมยื่นมือช่วยเหลือเชียนเชียน แต่ไม่ว่าจะเสาะแสวงหาอย่างไรก็ไม่สามารถหาคนผู้นั้นพบ ข้าคาดเดาว่าเขาคงมีเจตนาหลบหน้าข้า ไม่้าให้ข้าหาพบกระมัง” จู้ชิงขวงทอดถอนใจคราหนึ่ง
“คนเลวทรามต่ำช้าที่น่ารังเกียจ กลับลงมือกับสตรีที่ตนรักและทารกน้อยที่ยังไม่กำเนิดผู้หนึ่ง!” จ้านอู๋มิ่งโกรธเคืองยิ่งนัก คนที่คำนวณความลับ์จนหมดสิ้นคนนี้ความคิดสุดโต่งเกินไป ตลอดชั่วชีวิตล้วนมิสามารถมีสหายที่แท้จริงได้ ตลอดชั่วชีวิตล้วนคอยคิดเล่นงานผู้อื่น กระทำการก้าวร้าวเกินไป จิตใจและความคิดเบี่ยงเบนผิดปกติได้โดยง่าย โม่ฉางชุนกระทำเื่ราวเช่นนี้ออกมาก็อยู่ในข่ายของเหตุผลนี้เช่นกัน
“ไม่รู้ว่าตอนที่เขาจากไป ขอบเขตการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับใด?” จ้านอู๋มิ่งคิดๆ แล้วถามขึ้น
“ปีนั้นระดับการบ่มเพาะของเขาและข้าใกล้เคียงกัน ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้ว ด้วยคุณสมบัติของเขา สมควรบรรลุขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางแล้ว” จู้ชิงขวงพูดเสียงเรียบๆ
“จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง!” จ้านอู๋มิ่งขมวดคิ้วอย่างดุดัน ดูแล้วคิดจะกำจัดโม่ฉางชุนมิใช่เื่ง่ายเลย
จ้านอู๋มิ่งคิดกำจัดโม่ฉางชุนเสีย กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายบรรลุจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เสี่ยงชีวิตกับเขาก็ไม่แตกต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย แต่ว่าถึงแม้ต่อสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ แต่ว่าขอเพียงมีเวลาให้เขาเตรียมการเพียงพอ จ้านอู๋มิ่งเชื่อมั่นว่าตนสามารถเล่นงานเ้าเศษซากผู้นี้จนพ่ายแพ้ย่อยยับได้เช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้