เมื่อลำแสงนั้นมาเยือนลานประลอง ศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่ชมการประลองต่างกระเด็นกระดอนพร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ศิษย์เ่าั้กระแทกกับพื้นอย่างแรงจนต้องกระอักเื
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนตะลึงงัน เหล่าผู้าุโระดับสูงของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่อยู่บนอัฒจันทร์หลักลุกขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าดูไม่ได้ ซึ่งบนฟ้ามีสามเงาร่างขนาดใหญ่กำลังทะยานมาที่เหนือลานประลอง การกระพือปีกของพวกมันก่อให้เกิดกระแสลมแรง ทั้งยังมีเงาร่างมนุษย์หลายคนยืนอยู่บนหลังเงาร่างขนาดใหญ่พวกนั้น
เย่เฟิงแหงนหน้ามองฟ้าด้วยใจสั่นระรัว เขาเคยเจอปีศาจพิภพตอนอยู่ในส่วนลึกของเขาเทียนเสวียน บัดนี้เงาร่างขนาดใหญ่ที่บินโฉบอยู่บนสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีกลิ่นอายไม่ด้อยไปกว่าปีศาจภพเลย เห็นชัดว่าผู้ควบคุมสัตว์อสูรต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“เป็สัตว์อสูรที่ทรงพลังยิ่งนัก ทั้งยังให้มนุษย์ขี่เป็พาหนะ!”
“ใช่ ทรงพลังมากจริง ๆ ข้าว่าอย่างต่ำสัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนเป็สัตว์อสูริญญาระดับสูง!”
“สัตว์อสูรเพลิง เป็สัตว์อสูริญญาระดับสูง มีร่างขนาดใหญ่ เชี่ยวชาญการบิน เมื่อถูกทำให้เชื่องก็จะกลายเป็พาหนะของมนุษย์ ส่วนที่อาณาจักรจ้าว มีเพียงกองกำลังชั้นยอดที่จะมีมันได้!”
ผู้คนต่างตกตะลึงขณะมองเงาร่างขนาดใหญ่บนฟ้าที่กำลังใกล้เข้ามา แต่ลำแสงนั่นยังคงอาละวาดอยู่ภายในลานประลองจนเกิดความโกลาหล และมีศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนหลายคนที่หลบไม่ทันต้องถูกลำแสงนั่นทำลาย
“ผู้ใดมาเยือนสำนักยุทธ์เทียนข้า ผู้แซ่ฉินยินดีต้อนรับ!”
ผู้าุโฉินนำผู้าุโระดับสูงกลุ่มหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ไปเยือนเหนือเวทีประลองที่กว้างใหญ่ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น แต่ในดวงตากลับส่องประกายไปด้วยแสงเยือกเย็น
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจัดงานประลอง สำนักศึกษาเสินเจียงจึงมาแสดงความยินดี!”
“หอชิงหลง ขอแสดงความยินดี!”
“สำนักอี่เทียน ขอแสดงความยินดี!”
เสียงหลายเสียงดังมาจากฟากฟ้าเข้าปกคลุมทั่วเขตลานประลอง ทุก ๆ คนจึงได้ยินกันชัดเจน เพียงแต่คลื่นเสียงเ่าั้มีพลังที่รุนแรงมากจนสั่นะเืยันแก้วหูของผู้คน ทำให้ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำต้อยถึงกับเอามือปิดหู ต่างล้มไปกองกับพื้น และดูเ็ปเป็อย่างมาก
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเ่าั้ก็มีกระแสลมพัดโหมบนเวทีประลอง ทำเย่เฟิงเซถอยหลังไปเล็กน้อย
นาทีต่อมาสัตว์อสูรเพลิงสามตนร่อนลงบนเวทีประลอง พร้อมกับปลดปล่อยพลังอสูร จากนั้นเหล่าคนที่อยู่บนหลังพวกมันก็ะโลงมา ซึ่งมีกันทั้งหมดสี่กลุ่ม กลุ่มละสิบกว่าคน คนเหล่านี้มีระดับการบ่มเพาะสูง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็คนรุ่นเยาว์ และพวกเขายังกวาดมองลานประลองด้วยสายตาเย่อหยิ่ง
“นี่มัน...” ผู้คนต่างใจเต้นระรัวขณะมองคนเ่าั้ที่ะโลงจากหลังสัตว์อสูรเพลิง
“อีกสามกองกำลังแห่งเมืองหลวงมาถึงแล้ว ผู้าุโใหญ่แห่งสำนักศึกษาเสินเจียง อวิ๋นซื่อเทียน ผู้าุโใหญ่แห่งหอชิงหลง ไห่มั่วเฟิง ผู้าุโใหญ่แห่งสำนักอี่เทียน ซูอวี่ พวกเขามาด้วยตัวเอง เกรงว่าจะไม่ใช่เื่ธรรมดาแล้ว!” มีผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังหนึ่งจำชายวัยกลางคนทั้งสามคนนั้นได้ จึงกล่าวเช่นนั้นด้วยความประหลาดใจ เพราะการมาของพวกเขาสามคนคงไม่ได้มาแค่แสดงความยินดี
จากนั้นเห็นผู้าุโใหญ่อวิ๋นซื่อเทียนจากสำนักศึกษาเสินเจียงเดินออกมา แต่สายตาเหลือบไปมองเย่เฟิงอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะละสายตาไปมองผู้าุโฉิน “ผู้าุโฉินสบายดีหรือไม่!”
ผู้าุโฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากวาดตามองผู้ฝึกยุทธ์จากสามสำนักเ่าั้ และกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามมีธุระอะไรที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนข้าหรือ?”
ผู้าุโฉินไม่สนใจคำพูดของอวิ๋นซื่อเทียน แต่ตรงเข้าประเด็นทันที เพราะเขารู้ว่าคนเหล่านี้มาด้วยเจตนาไม่ดี
“ข้าทั้งสามฝ่ายมาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจัดงานประลอง ผู้าุโฉินไยมีท่าทีเ็าเช่นนี้เล่า? หรือนี่เป็การต้อนรับแขกของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนท่าน?” ผู้าุโใหญ่ไห่มั่วเฟิงกล่าวเสียงเย็น
“ใช่ คงไม่ใช่ว่าอัจฉริยะผงาดในงานประลองแล้วไม่อยากเปิดเผยต่อหน้าข้างั้นหรือ!” ผู้าุโใหญ่ซูอวี่เดินมาข้างหน้า ก่อนจะกล่าวเสริมผู้าุโใหญ่ไห่มั่วเฟิง
จากคำพูดไม่กี่ประโยคทำให้เหล่าผู้คนได้กลิ่นทะแม่ง ๆ พวกเขาทราบดีว่า สำนักยุทธ์เทียนเสวียน สำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง และสำนักอี่เทียนล้วนถูกขนานนามว่าเป็กองกำลังชั้นยอดแห่งอาณาจักรจ้าว แต่ในด้านความสัมพันธ์ พวกเขามีความขัดแย้งมานานหลายปี กระทั่งลูกศิษย์ทั้งสี่ฝ่ายก็มีการทะเลาะเบาะแว้งบ่อยครั้ง
แต่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนและสำนักศึกษาเสินเจียงมีความขัดแย้งรุนแรงกันมากที่สุด สำนักยุทธ์เทียนเสวียนไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรจ้าว และยิ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าวเช่นกัน
ราชวงศ์จ้าวเป็ผู้ปกครองอาณาจักรจ้าว มีอำนาจสูงสุด เช่นนั้นเมื่ออยู่ในแผ่นดินของอาณาจักรจ้าวแล้วจะไม่มีกองกำลังใต้อาณัติได้อย่างไร ดังนั้นสำนักศึกษาเสินเจียงจึงถือกำเนิดขึ้น หลายปีมานี้สำนักศึกษาเสินเจียงรวบรวมอัจฉริยะทั่วทุกสารทิศ ก็เพื่อกำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
แต่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนตั้งอยู่ที่อาณาจักรจ้าวมาช้านาน มีรากฐานล้ำลึก แม้ราชวงศ์จ้าวอยากจะกำจัด แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม
“พวกเ้าไม่ต้องเป็ห่วงเื่นี้ หากไม่มีอะไรแล้วก็พาคนของพวกเ้าออกไปเสีย!” ผู้าุโฉินได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยปากไล่แขกทันที
“ผู้าุโฉินไยรีบไล่แขกเล่า ข้ามาที่นี่ไม่ได้เป็แค่ตัวแทนของกองกำลังตน แต่เป็ตัวแทนราชสำนักด้วย องค์รัชทายาทส่งข้ามาเพื่อแสดงความยินดีกับสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พร้อมของขวัญจากองค์รัชทายาท เชิญท่านเ้าสำนักมารับไปเถิด!”
“ตัวแทนราชสำนัก?” ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็นิ่งอึ้ง หรือว่าราชวงศ์จ้าวจะทนไม่ได้ จึงเตรียมลงมือจัดการสำนักยุทธ์เทียนเสวียน?
ผู้คนคิดในใจ กระทั่งมีคนของกองกำลังบางส่วนเริ่มตรึกตรองว่าตระกูลของตนควรยืนอยู่ข้างไหนในเกมนี้
ถึงอย่างไรหากราชสำนักลงมือจัดการสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจริง ๆ เช่นนั้นสถานการณ์เมืองหลวงจะเกิดความไม่สงบ และกองกำลังที่พวกเขาอยู่อาจถูกพัดไปอยู่ในกระแสลมนี้
“ท่านอาจารย์อยู่ในระหว่างการปิดด่าน องค์รัชทายาทคงเข้าใจ หากรอมิได้ ผู้แซ่ฉินจะรับของขวัญแทนท่านอาจารย์เอง!” ผู้าุโฉินกล่าวเสียงเย็น
ของขวัญจากองค์รัชทายาท เ้าสำนักควรเป็มารับด้วยตนเอง องค์รัชทายาทคือเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรเ้าสำนักก็ต้องมารับด้วยตัวเอง
“องค์รัชทายาทคือเชื้อพระวงศ์ ถึงเ้าฉินเจิ้นถิงจะเป็ศิษย์ของท่านเ้าสำนัก แต่ก็ไม่มีสิทธิ์แทนที่ท่านเ้าสำนัก ให้เขาออกมารับด้วยตัวเองดีกว่า!” ผู้าุโใหญ่ไห่มั่วเฟิงกล่าว
“ใช่ ถึงเ้าฉินเจิ้นถิงจะดูแลสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่ก็ยังไม่ถึงระดับเ้าสำนัก ของขวัญจากองค์รัชทายาทย่อมไม่ใช่สิ่งที่เ้าจะรับแทนได้” ผู้าุโใหญ่ซูอวี่กล่าวเสริม
“เห็นทีพวกเ้าสองคนคงตัดสินใจอยู่ฝั่งสำนักศึกษาเสินเจียงแล้ว” ฉินเจิ้นถิงแสยะยิ้ม ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าบอกแล้วว่าท่านอาจารย์อยู่ในระหว่างการปิดด่าน ของขวัญจากองค์รัชทายาท ไม่เ้าสามคนนำกลับไป ก็ให้ข้ารับแทน”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นก็รับไปเสีย!” ผู้าุโใหญ่อวิ๋นซื่อเทียนตาเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นแสงกะพริบที่ฝ่ามือเขา ก่อนจะเห็นภาพม้วนหนึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นมาพร้อมเปล่งแสงเจิดจ้า
“วูบ!” พลันเสียงประหลาดดังขึ้น ก่อนจะเห็นม้วนภาพลอยไปทางผู้าุโฉิน แต่ขณะที่ภาพนั้นลอยอยู่ เหล่าผู้คนก็เห็นสิ่งที่วาดอยู่บนภาพนั้นชัดเจน
ัั์สุวรรณอยู่เหนือฟากฟ้า แต่อ้าปากหมายกลืนกินคางคกตัวหนึ่งที่อยู่บนพื้นดิน ช่างมีชีวิตชีวาและละเอียดอ่อน ยิ่งมีแสงเรืองรองเช่นนั้นก็ยิ่งสวยงาม
ฉินเจิ้นถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนที่เขายื่นมือไปรับภาพนั้นมา กลับรู้สึกว่ามีพลังที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากภาพแล้วแทรกซึมสู่ร่างเขาโดยตรง เขารู้ว่าอวิ๋นซื่อเทียนต้องทำบางอย่างกับภาพนี้ เขาจึงรีบระดมพลังหยวนไปขจัดพลังนั่นทันที
จากนั้นฉินเจิ้นถิงมองลวดลายภาพที่ถืออยู่ในมือก็แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น มีหรือเขาจะไม่รู้ความหมายของภาพนี้
“ราชสำนักคือัั์สุวรรณ ส่วนสำนักยุทธ์เทียนเสวียนคือคางคก ความทะเยอทะยานขององค์รัชทายาทช่างมากเสียจริง ๆ!” เหล่าผู้าุโสำนักยุทธ์เทียนเสวียนพึมพำในใจทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“ผู้แซ่ฉินขอบคุณสำหรับของขวัญจากองค์รัชทายาท!”
สีหน้าของฉินเจิ้นถิงดูอึมครึมเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับพวกอวิ๋นซื่อเทียนต่อว่า “ในเมื่อส่งมอบของขวัญแล้ว พวกเ้าทั้งสามก็ไปได้แล้ว!”
“พวกข้าไม่รีบ!”
อวิ๋นซื่อเทียนได้ยินเช่นนั้นก็สะบัดมือไปมาพร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา “ในเมื่องานประลองจบแล้ว เช่นนั้นจำต้องมีคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นปรากฏตัว ไยไม่ใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนวิชาเล่า ข้าสามคนพาศิษย์มาด้วยพอดีเลย”
