หนิงมู่ฉือยกน้ำแกงสร่างเมาสองถ้วยไปให้จ้าวซีเหอและเฉินเกอ ตอนที่นางยกไปให้ทั้งสองคนยังไม่ตื่น แต่เป็เพราะกลิ่นของน้ำแกงมันหอมมาก จึงปลุกทั้งสองคนให้ตื่นจากความฝัน
จ้าวซีเหอรู้สึกปวดต้นคอเหลือเกิน เขาลืมตา ลุกขึ้นนั่ง เอามือจับต้นคอที่ปวด “ฉือเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์”
หนิงมู่ฉือเค้นเสียงฮึ “เมื่อคืนท่านเมามาก รีบดื่มน้ำแกงสร่างเมาเถอะ”
จ้าวซีเหอมีสีหน้าเก้อกระดาก ความทรงจำเมื่อคืนย้อนกลับเข้ามาในสมองทีละนิด เมื่อคิดได้ว่าเมื่อคืนตัวเองทำเื่โง่เง่าลงไป ใบหน้าขึ้นสีเข้ม มองไปทางเฉินเกออย่างอับอาย
เฉินเกอตื่นแล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าเมื่อคืนตัวเองเมามาก หน้าขึ้นสีแดงด้วยความเขินอาย เขาเองก็จนปัญญากับความคออ่อนของตัวเอง ความทรงจำเมื่อคืนค่อยๆ ปรากฏเข้ามาในสมอง ครั้นจำได้หมด เขาก็แกล้งทำเป็นอนตายอยู่บนเตียง
จ้าวซีเหอเห็นตาของเฉินเกอขยับยุกยิกไม่หยุด จึงพ่นน้ำแกงสร่างเมาที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา
“ท่านหัวเราะอันใด” หนิงมู่ฉือถามอย่างงุนงง น้ำเสียงยังคงโมโหทั้งสองคนไม่หาย
จ้าวซีเหอชี้ไปที่เฉินเกอ “ฉือเอ๋อร์ เ้านั่นตื่นตั้งนานแล้ว”
เฉินเกอได้ยินเช่นนั้น ใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หลับตาปี๋ยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ไม่ยอมลืมตา
หนิงมู่ฉือหันไปมองเฉินเกอ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา พบว่าตาของเฉินเกอขยับยุกยิก สีหน้าจึงอ่อนอกอ่อนใจ
“จอมยุทธ์น้อยเฉิน ลุกขึ้นมาได้แล้ว” นางยืนกอดอกขณะเรียก
เฉินเกอรู้ว่าแกล้งทำเป็หลับต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ จึงลืมตาขึ้นมา “ฉือเอ๋อร์…”
“รีบลุกขึ้นมาดื่มน้ำแกงสร่างเมาเถิด ข้ายังมีเื่ที่ต้องไปทำอีก” นางไม่พูดถากถางเฉินเกอ ผิดกับจ้าวซีเหอที่เอาแต่หัวเราะออกมาไม่หยุด
นางกลอกตามองบน “ท่านไม่ต้องหัวเราะเขาเลย สภาพของท่านเมื่อคืนบอกได้คำเดียวว่า ข้าเองก็พูดไม่ออก”
จบประโยคนี้ เฉินเกอหัวเราะออกมา ส่วนจ้าวซีเหอมีสีหน้ากระอักกระอ่วนระคนอับอาย
หนิงมู่ฉือไม่สนใจทั้งสองคนอีก มองเหล่าทหารผู้หิวโหยที่อยู่ด้านนอกผ่านหน้าต่าง ก่อนจะรีบวิ่งไปยังถังที่ใส่ข้าวสาร เมื่อเปิดออกดูกลับพบว่ามีข้าวสารอยู่ไม่มาก นางถอนหายใจอย่างหนักใจออกมา
นางเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง มีสีหน้าลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “พวกท่านพอมีเงินติดตัวบ้างหรือไม่”
“จะเอาเงินไปซื้อสิ่งใดหรือ” จ้าวซีเหอกลืนน้ำแกงสร่างเมาที่ดื่มลงไปก่อนจะเอ่ยถามออกมา พลางมองหนิงมู่ฉืออย่างไม่เข้าใจ กลับเป็เฉินเกอมีท่าทางใจกว้างกว่ามาก ควักเงินที่มีติดตัวออกมาส่งให้ “ข้ามีเพียงเท่านี้”
หนิงมู่ฉือพยักหน้า “ข้าแค่อยากให้พวกท่านช่วยไปซื้อข้าวสารให้ข้าที ข้าไม่ได้พกเงินมา ไว้กลับไปเมื่อไหร่ข้าค่อยคืนเงินให้พวกท่าน”
“เ้าไม่จำเป็ต้องเกรงใจ” เฉินเกอเก็บเงินใส่กระเป๋า ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกไป
จ้าวซีเหอพยักหน้าให้หนิงมู่ฉือ “เ้าไม่จำเป็ต้องเกรงใจ ข้าพอมีเงินอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวข้าไปซื้อของมาให้”
ในใจหนิงมู่ฉือรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน นางเดินออกไป ใช้กระบวยอันใหญ่ตักข้าวสารใส่ในหม้อเพื่อนำไปทำเป็โจ๊กให้เหล่าทหาร ระหว่างที่รอโจ๊กสุก นางเตรียมพวกอาหารดองไว้ให้พร้อม เมื่อหันไปมองในหม้อ ข้าวกำลังเดือดและส่งกลิ่นหอมออกมา
กลิ่นหอมโชยออกไปข้างนอก เฉินเหว่ยเดินตามกลิ่นหอมเข้ามาในห้องครัว “คุณหนู กำลังทำอาหารอยู่หรือขอรับ”
นางยกยิ้ม “ข้ากำลังทำโจ๊กเทพเซียนให้เหล่าทหาร”
ครั้นเห็นว่าโจ๊กได้ที่แล้ว นางตักโจ๊กใส่ถ้วยใบใหญ่ให้เหล่าทหาร “กินข้าวได้แล้ว!”
เหล่าทหารรู้สึกหิวั้แ่ตื่นขึ้นมาแล้ว ทั้งรอประโยคนี้ของหนิงมู่ฉือมานานแล้วเช่นกัน ได้ยินคำนั้นก็ยิ้มอย่างดีใจพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาในห้องครัว
ดูเหมือนโจ๊กเทพเซียนจะไม่เพียงพอ นางคิดอย่างจนปัญญาเมื่อเห็นจำนวนของเหล่าทหาร
ไม่นานโจ๊กเทพเซียนที่อยู่ในถ้วยใบใหญ่ก็หมดจนไม่มีเหลือแม้แต่ช้อนเดียว ทว่าเหล่าทหารยังคงรู้สึกหิวอยู่ ขณะที่นางเองจนปัญญาอยู่นั่น จ้าวซีเหอและเฉินเกอก็ยกข้าวสารสองถุงใหญ่เดินเข้ามา
ทั้งสองนำข้าวสารใส่ลงในถังใส่ข้าวจนเต็ม ทั้งยังมีเหลืออยู่ในถุงกระสอบอีกนิดหน่อย เหล่าทหารมองทั้งสองคนอย่างขอบคุณและซาบซึ้งใจ
เหล่าทหารเองก็เข้าใจสถานการณ์ของหนิงมู่ฉือดีจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ย “คุณหนู โจ๊กที่ท่านทำอร่อยมาก พวกเราอิ่มแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะขอรับ”
หนิงมู่ฉือถอนหายใจอย่างโล่งอก พยักหน้าขณะมองเหล่าทหาร จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป
เฉินเหว่ยเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ หนิงมู่ฉือ มองหนิงมู่ฉือผู้งดงามมีเมตตา ก่อนจะถอนหายใจออกมา “คุณหนู หลังจากนี้ท่านมีแผนอย่างไรหรือ”
“ข้าจะกลับเยี่ยนฉือ” หนิงมู่ฉือหันไปมองเฉินเหว่ย นางอยู่ที่ชายแดนมานานแล้ว ถึงเวลาต้องเดินทางกลับไปเยี่ยนฉือเพื่อบอกลาท่านตาเสียที จากนั้นค่อยเดินทางกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับจ้าวซีเหอ
แววตาเฉินเหว่ยเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะขอรับ”
นางพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม ในใจรู้สึกเศร้าใจกับการจากลาในครั้งนี้เช่นกัน
เฉินเกอนั่งลงด้านข้างไม่ไกล ดวงตาดังหงส์[1] เต็มไปด้วยความกังวล ปากเม้มจนกลายเป็เส้นตรง “เ้าจะไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามวันหรือ”
“ไม่ดีกว่า ยิ่งอยู่นานข้าก็ยิ่งไม่อยากจากไป” นางส่ายหน้าพลางน้ำตาคลอ ด้วยความที่ไม่อยากให้ทุกคนเห็นน้ำตาของนาง นางจึงก้มหน้าลง
ในใจเฉินเกอเต็มไปด้วยความผิดหวัง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ถอดยันต์อวยพรขอให้ปลอดภัยออกจากลำคอแล้วส่งให้หนิงมู่ฉือ “หลังจากนี้ข้าคงไม่อาจไปกับเ้าได้ ยันต์อวยพรขอให้ปลอดภัยนี้อยู่กับข้ามานาน แม้ข้าไม่ได้ไปกับเ้า แต่ก็ยังมีอีกคนที่เขาสามารถช่วยดูแลเ้าให้ปลอดภัยได้ ข้าขอมอบยันต์นี้แก่เ้าเพื่อเป็ตัวแทนของข้า เป็ตัวแทนความปรารถนาดีจากข้า”
นางมองยันต์อย่างไม่กล้ารับไว้ นางรู้ว่ายันต์นี้มีความหมายต่อเฉินเกอยิ่งนัก นางจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งระหว่างที่อีกฝ่ายนอนหลับ เขาจับยันต์นี้เอาไว้พร้อมกับพึมพำบางอย่างไปด้วย
“ข้ารับเอาไว้ไม่ได้หรอก จอมยุทธ์น้อยเฉิน ยันต์นี้มีความหมายสำหรับท่านมาก ข้ารับเอาไว้ไม่ได้จริงๆ”
“เด็กโง่” เฉินเกอยิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะผูกยันต์ที่คอให้หนิงมู่ฉือ “ยันต์นี้จะสำคัญกว่าความปลอดภัยของเ้าได้อย่างไร หากต่อไปเ้ามีเื่ใดก็มาหาข้าได้เสมอ ขอแค่เ้านำยันต์นี้ออกมา คนที่รู้จักข้าจะส่งข่าวมาหาข้าเอง”
นางหยิบยันต์ขึ้นมากุมเอาไว้พร้อมกับพยักหน้า “ขอบคุณท่านมาก จอมยุทธ์น้อยเฉิน”
[1] ตาดั่งหงส์ หมายถึงผู้ที่มีดวงตาเรียวยาวหัวตาแหลมจิกลง หางตายกสูง ั์ตาดูเล็ก เปลือกตาเรียบบาง สื่อถึงความเฉลียวฉลาด แต่บางครั้งก็ดูเ็า