เหอมู่หลิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางจ้องเขม็งไปยังหนีเจียเอ๋อร์ด้วยสายตาขุ่นเคือง และดูแคลน “ศิษย์พี่หญิง ดีใจตอนนี้ยังเร็วไป การแข่งขันของเรายังไม่จบ ลืมไปแล้วหรือ?”
มุมปากของหนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้ม ขณะเอียงคอพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “นี่เป็แค่ความสามารถเพียงเล็กน้อย ไม่มีอันใดให้อวดอ้าง เ้าอย่าเพิ่งร้อนใจนักสิ เดี๋ยวจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน!”
เหอมู่หลิงสะบัดแขนเสื้อ แล้วแค่นเสียงอย่างเ็า
ลู่ซีวิ่งมาหาหนีเจียเอ๋อร์ จับแขนของนาง ก่อนยิ้มกว้าง “ท่านเก่งกาจยิ่งนัก!”
หนีเจียเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ความเป็จริงแล้ว นางรู้สึกประหม่าแทบตาย แต่ไม่อยากเสียจุดยืน และไม่อยากออกจากสำนักอิ้นเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้น คือไม่อาจทำให้ท่านอาจารย์ต้องเสียหน้า
หญิงสาวหันไปยังทิศที่ควงเยวี่ยโหลวนั่งอยู่
น่าเสียดาย ที่ภาพตรงหน้ามีเพียงความมืดมิด!
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนีเจียเอ๋อร์ค่อยๆ จางหาย...
ท่าทางของนาง ทำให้ควงเยวี่ยโหลวถึงกับขมวดคิ้ว พูดไม่ออก
เมื่อลู่ซีเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กน้อยของหนีเจียเอ๋อร์ จึงเอนตัวไปกระซิบ “ศิษย์พี่หญิง อาจารย์ยังอยู่ตรงนั้นมิได้ไปไหน จะให้ข้าช่วยพาไปหาหรือไม่?”
พอพบว่าอีกฝ่ายอ่านใจของนางออก หนีเจียเอ๋อร์ก็ส่ายหน้ารัวด้วยความขัดเขิน “ไม่จำเป็ เ้าช่วยเอาน้ำมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ลู่ซีพยักหน้า และเดินผละไปทันที
หลังหมดเวลาพักจิบน้ำชา เหอมู่หลิงก็เริ่มกำหนดการแข่งขันในรอบที่สอง
กติกาก็คือให้พวกนางสลับกันกินยาพิษที่อีกฝ่ายคิดค้นขึ้นมา จากนั้นจึงปรุงยาแก้พิษเพื่อรักษาตัวเอง ใครทำสำเร็จก่อน ผู้นั้นเป็ฝ่ายชนะ
เหอมู่หลิงคิดคำนวณมาเป็อย่างดี ว่านับั้แ่หนีเจียเอ๋อร์เข้ามาในสำนักอิ้นเสวี่ยจนถึงบัดนี้ เป็เวลาทั้งสิ้นสองเดือนกับอีกสามวัน คงจะเพิ่งเรียนวิชาปรุงยาพิษและการแก้พิษแค่เบื้องต้นเท่านั้น ในขณะที่ตนฝึกฝนมาแล้วถึงครึ่งปี
นางเชื่อว่าต่อให้อีกฝ่ายจะฉลาดปราดเปรื่องเพียงใด ก็เป็ไปมิได้ที่จะเรียนรู้เื่นี้ได้ภายในสองเดือน
ลู่ซีจับจ้องไปที่เหอมู่หลิง แล้วเอนตัวมากระซิบหนีเจียเอ๋อร์อย่างหงุดหงิด “ศิษย์พี่หญิง เหอมู่หลิงคิดจะรังแกคนไร้ทางสู้อีกแล้ว ใช้จุดแข็งของตัวเองมาแข่งขันเช่นนี้ เอาเปรียบกันชัดๆ ห้ามคล้อยตามเด็ดขาดนะ!”
หนีเจียเอ๋อร์เอียงคอ “รังแกคนไร้ทางสู้? ลืมไปแล้วหรือว่าพวกเรากำลังแข่งขันกันอยู่ เ้าพูดแบบนี้ มิใช่ดูถูกข้าหรอกหรือ?”
ลู่ซีปฏิเสธอย่างร้อนรน “ข้ามิได้คิดเช่นนั้น...”
“หยอกเล่นหรอกน่า ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ว่าเ้าเป็ห่วง เกรงว่าข้าจะพ่ายแพ้”
เหอมู่หลิงพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ศิษย์พี่หญิง กล้าแข่งขันกับข้าในรอบที่สองหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์เอ่ยปล่อยลู่ซี ก่อนก้าวไปข้างหน้า และเชิดคางตอบ “แข่งสิ!”
วันนี้นางสวมชุดสีแดงสดใส เต็มไปด้วยความมั่นใจ ดูไม่ต่างจากเซียนหญิงตัวน้อยผู้เก่งกาจ ที่พร้อมจะสยบนางมารอย่างเหอมู่หลิงด้วยพลังของตน
สายตาของควงเยวี่ยโหลวมองไปยังร่างของหญิงสาวในชุดแดง ที่กำลังยืนหยัดกลางสนามแข่งขันด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ดูมั่นใจในตนเองยิ่งนัก
เขาอดสงสัยมิได้ ว่าตัวตนที่แท้จริงของนางเป็เช่นใดกันแน่?
“การแข่งขันรอบที่สอง เริ่มได้!”
บริเวณโดยรอบพลันสงบลง ทุกคนหันมาจดจ่อกับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง
พอเหอมู่หลิงนั่งประจำที่ นางก็ลงมือทันทีโดยไม่ลังเล ขณะที่หนีเจียเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งยังคงขมวดคิ้วใคร่ครวญอย่างใจเย็น ลู่ซีถึงกับเม้มปากแน่น ด้วยเหงื่อตกแทนอีกฝ่าย
ส่วนควงเยวี่ยโหลวเพียงถอนสายตากลับมา และหลับตาลง
เหอมู่หลิงปรุงยาพิษเสร็จก่อน จากนั้นก็รีบชูมันขึ้นมา ด้วยดวงตาที่ไม่อาจปกปิดรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง เหตุใดท่านยังไม่เริ่มอีก?”
ว่าแล้ว พลันหันไปหาควงเยวี่ยโหลว “ท่านอาจารย์ นี่เท่ากับว่าข้าชนะในรอบที่สอง ใช่หรือไม่?”
สักครู่ ควงเยวี่ยโหลวก็พูดขึ้น “ในรอบนี้ ผู้ชนะคือคนที่แก้พิษได้ก่อน หาใช่ผู้ที่เตรียมยาพิษได้ก่อน”
ลู่ซีสนับสนุนทันที “อาจารย์พูดถูก เ้าเป็คนกำหนดกติกาเอง ทุกคนต่างก็ได้ยิน”
เหล่าศิษย์พยักหน้า และย้ำกติกาการแข่งขันอีกครั้ง
พอเหอมู่หลิงถูกรุม ก็จำใจต้องสงบคำอย่างเสียมิได้
“ข้าพร้อมแล้ว” หนีเจียเอ๋อร์ค่อยๆ ลุกขึ้น
เหอมู่หลิงจึงหันไปแลกเปลี่ยนยาพิษกับอีกฝ่าย ก่อนกลับไปประจำที่ของตนด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
พอหนีเจียเอ๋อร์กินยาพิษเข้าไป หน้าท้องส่วนล่างของนางพลันบิดมวน รู้สึกเ็ปอย่างแสนสาหัส ใบหน้างามเริ่มซีดเผือด ร่างสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก
ศิษย์ที่อยู่มานานย่อมรู้ทันที ว่าพิษที่นางได้รับนั้นเป็พิษร้ายแรง และผลที่เลวร้ายที่สุดของมันก็คือจะทำให้เกิดภาพหลอนจนเสียสติ การรับมือจึงมิใช่เื่ง่าย อีกทั้งยาพิษชนิดนี้จะกระตุ้นให้ทุกข์ทรมานกับภาพลวงตา จนเห็นสิ่งที่ไม่้าจะเห็น เช่น การประสบความสูญเสีย หรือหมดหวังในชีวิต
ดังนั้นพอยาออกฤทธิ์ ย่อมเห็นภาพหลอนจนรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีกะจิตกะใจจะมาปรุงยาถอนพิษ!
ทุกคนอดมิได้ที่จะรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก พลางคิดว่าเหอมู่หลงช่างร้ายกาจนักที่ลงมือเช่นนี้ โชคดีที่พวกเขามิใช่คู่แข่งของนาง มิฉะนั้นคงตายแน่!
ลู่ซีที่อยู่ข้างสนามพลันหวาดวิตก แต่พอชำเลืองมองไปยังควงเยวี่ยโหลว และเห็นว่าเขายังคงสงบนิ่ง จึงก็ไม่กล้าขอให้อาจารย์ช่วยชีวิตหนีเจียเอ๋อร์
ทว่าความจริงแล้ว ควงเยวี่ยโหลวกำลังกำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ รูม่านตาหดจนเป็ขีดเรียว ขณะมองหนีเจียเอ๋อร์เขม็ง กลัวเหลือเกินว่านางจะทนไม่ไหว...
หญิงสาวกัดฟันแน่น ขดร่างลงกับพื้นด้วยความเ็ป สติเริ่มพร่าเลือน และหวนนึกถึงชีวิตในชาติที่แล้ว ภาพที่ตัวนางเองถูกสามีอันเป็ที่รัก ผู้ร่วมเรียงเคียงกันมานานอย่างสวีเพ่ยหราน บีบคอจนตาย
เป็เพราะฤทธิ์ของยาพิษ ทำให้นางมองเห็นสายตาของเขาเป็ดั่งสัตว์ร้าย
จากนั้น ก็นึกถึงตอนที่นางกับเว่ยอี๋เหนียงถูกสวีซื่อกลั่นแกล้งรังแกสารพัด และการตายของเสี่ยวเสวียน ไปจนถึงการถูกเว่ยฉีหรานตามล่าเอาชีวิต ต้องหนีตายมาพร้อมโจวชิงหวา กระทั่งซมซานมาขอความช่วยเหลือจากสำนักอิ้นเสวี่ย จนต้องตาบอดแบบนี้
ความเ็ปทั้งหมด เปรียบเสมือนคลื่นที่ซัดกระหน่ำเข้ามาในหัวใจ สิ่งที่ถูกฝังลึกอยู่ภายในก้นบึ้งพลันถูกกระตุ้นขึ้นมา จนนางเกือบจะจมอยู่ใต้เงาของมัน
แต่หนีเจียเอ๋อร์ยังคงะโก้อง ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น “หนีเจียเอ๋อร์ เพื่อการแก้แค้น เพื่อเว่ยอี๋เหนียง ท่านพี่ และชีวิตของทุกคนในตระกูลหนี ไม่ว่าเ้าจะเ็ปเพียงใด ก็ต้องยืนหยัดขึ้นมาต่อสู้กับมันให้ได้!”
ควงเยวี่ยโหลวเตรียมตัวจะเข้าไปช่วยหญิงสาว แต่แล้วก็เห็นว่านางค่อยๆ กัดฟัน ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก และนั่งลงอีกครั้ง พร้อมตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าสตรีผู้นี้ หาใช่คนเปราะบางเช่นนั้น
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้ลุกขึ้นมาปรุงยาแก้พิษ เหอมู่หลิงพลันเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ด้วยความสามารถของหนีเจียเอ๋อร์ ในที่สุด นางก็ตามอีกฝ่ายทัน ทั้งสองจึงกลับมาสูสีกันอีกครั้ง
ตอนนี้ทางด้านเหอมู่หลิงเอง ก็มิได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก เนื่องจากรู้สึกวิงเวียน แน่นหน้าอกจนแทบจะกระอักเื