ตอนที่ 2 คำพูดกรีดใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในกระท่อม หลิงซีตื่นขึ้นมาก่อนใคร เธอรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นอย่างน่าประหลาด อาจเป็เพราะยาต้มเมื่อวานหรืออาจเป็เพราะความหวังใหม่ที่จุดประกายขึ้นในใจ เมื่อพ่อกับแม่ตื่นขึ้นมา พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่เห็นลูกสาวกำลังกวาดพื้นและจัดข้าวของที่รกกระจัดกระจายให้เข้าที่
"ซีเอ๋อร์ เ้ายังไม่หายดี รีบไปนอนพักเถอะลูก" หลี่ซือรีบเข้ามาจะแย่งไม้กวาด
หลิงซีหันมายิ้มให้ "ท่านแม่ ข้าไม่เป็อะไรแล้วเ้าค่ะ ถ้านอนอยู่เฉยๆ ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ สู้ลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาดีกว่า"
แววตาที่สดใสและรอยยิ้มที่มั่นใจของลูกสาวทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความงุนงง ลูกสาวของพวกเขาดูเปลี่ยนไป ราวกับเป็คนละคน
เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า สิ่งที่ลอยมากับสายลมยามเช้าคือกลิ่นหอมหวานของข้าวใหม่ที่นึ่งจนร้อนกรุ่น และเสียงฉ่าของน้ำมันในกระทะจากครัวของเรือนใหญ่ กลิ่นไข่เจียวที่ปรุงรสอย่างดีหอมฟุ้งจนแทบจะจับต้องได้ มันคือกลิ่นของความสุข ที่ครอบครัวของมู่หลิงซีไม่เคยมีสิทธิ์ได้ัั
พวกเขาพ่อ แม่ หลิงซี และน้องชายยืนรออยู่นอกเรือน ราวกับเป็คนแปลกหน้าที่มารอรับส่วนบุญ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปร่วมโต๊ะ
เสียงหัวเราะสดใสๆ ของมู่เทียนหยูดังลอดออกมาเป็ระยะ ๆ ตามด้วยเสียงเอาอกเอาใจของป้าสะใภ้หวังซื่อ
"เทียนหยูของย่า กินเยอะๆ นะลูก สมองจะได้ปลอดโปร่ง อ่านหนังสือได้เข้าหัว!" นั่นคือเสียงทรงอำนาจของท่านย่าจาง
"ขอรับท่านย่า! ข้าจะตั้งใจอ่านตำรา ข้าจะต้องสอบเป็จวี่เหรินให้ท่านย่าและท่านพ่อภูมิใจให้ได้!" เสียงตอบรับอย่างแข็งขันของมู่เทียนหยูยิ่งทำให้เสียงหัวเราะในห้องนั้นดังขึ้น
ครอบครัวของหลิงซียืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน สายลมเย็นพัดผ่านร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าปุปะจนรู้สึกหนาวสั่นเข้าไปถึงกระดูก แต่มันก็ยังไม่เย็นเยียบเท่ากับความรู้สึกในใจ
มู่เฟย น้องชายตัวน้อย เงยหน้ามองบิดา ดวงตาใสแป๋วของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ไร้เดียงสา "ท่านพ่อ เมื่อไหร่พวกเราจะได้กินข้าวหรือขอรับ? ข้าหิวแล้ว"
มู่เจิ้งทำได้เพียงลูบศีรษะลูกชายเบาๆ และกระซิบตอบเสียงแ่ "รออีกสักครู่นะลูก รอให้ท่านย่ากับพี่ใหญ่กินเสร็จก่อน"
"ทำไมพวกเราต้องรอทีหลังด้วยเล่าขอรับ?" เด็กน้อยยังคงไม่เข้าใจ
คำถามนั้นราวกับคมมีดที่มองไม่เห็น มันไม่ได้กรีดเฉือนแค่หัวใจ แต่กรีดลึกลงไปถึงจิติญญาของคนเป็พ่อและแม่จนพรุนไปหมด
หลี่ซือดึงลูกชายเข้ามากอดไว้แน่น ซบใบหน้าลงกับกลุ่มผมที่นุ่มละเอียดของเขา เพื่อซ่อนหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว นางอยากจะกรีดร้อง อยากจะทุบตีตัวเองที่อ่อนแอและไร้ความสามารถถึงเพียงนี้
‘ลูกแม่ แม่ขอโทษ’ นางกรีดร้องอยู่ในใจเงียบๆ
‘แม่ขอโทษที่พาลูกมาเกิดในที่แบบนี้’
นางเคยคิดว่าการได้แต่งเข้าตระกูลมู่คือวาสนาแล้ว แต่นางคิดผิด ผิดมหันต์! นางไม่เคยจินตนาการเลยว่าความลำเอียงของผู้เป็แม่สามีจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้
ทุกครั้งที่นางเห็นมู่เทียนหยูหลานชายคนโตสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ ในขณะที่ลูกๆ ของนางต้องใส่เสื้อผ้าปะชุนจนแทบไม่เหลือเนื้อผ้าเดิม ทุกครั้งที่นางได้กลิ่นเนื้อตุ๋นหอมกรุ่นจากครัวใหญ่ ในขณะที่ลูกๆ ของนางต้องกลืนข้าวหยาบกับผักดองรสเค็มปร่า หัวใจของนางก็ราวกับถูกบีบขยี้จนแหลกเหลว
นางเป็แม่ แต่กลับไม่มีปัญญาหาอาหารดีๆ ให้ลูกได้กิน ไม่มีปัญญาปกป้องลูกจากสายตาดูถูกเหยียดหยามได้
ความขมขื่นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนหายใจแทบไม่ออก เสียงท้องของลูกที่ร้องประท้วงเบาๆ ข้างกาย มันดังเสียดยิ่งกว่าเสียงด่าทอใดๆ ในโลก ความอัปยศนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะแบกรับไหว
อ้อมแขนที่กอดบุตรชายไว้จึงกระชับแน่นขึ้น ไม่ใช่แค่การปลอบโยน แต่เป็การถ่ายทอดคำสัญญาที่ไร้เสียง เป็การยึดเหนี่ยวสิ่งล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวที่นางมีอยู่ในชีวิตที่มืดมนนี้
หลิงซีมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เย็นเยียบ ความเ็ปของมารดา ความไร้เดียงสาของน้องชาย และความอับจนหนทางของบิดา ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็ไฟแค้นที่ลุกโชนอยู่ในอกของเธออย่างเงียบงัน ‘รออีกไม่นาน...’ เธอกล่าวกับตัวเองในใจ ‘ข้าสาบาน ว่าพวกท่านจะต้องได้กินอิ่มทุกมื้อ และจะได้นั่งกินอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ยืนรอรับเศษอาหารเช่นนี้อีกต่อไป!’
เธอมองผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่เข้าไปข้างใน เห็นภาพครอบครัวบ้านใหญ่นั่งล้อมโต๊ะอาหารที่อุดมสมบูรณ์ หมั่นโถวขาวนุ่มฟูวางซ้อนกันสูงในเข่งไม้ไผ่ ควันร้อนๆ ยังลอยกรุ่น ไข่เจียวสีเหลืองทองฟูฟ่องถูกวางไว้กลางโต๊ะ ข้างๆ กันนั้นยังมีผัดผักสีเขียวสดและซี่โครงหมูตุ๋นยาจีนส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
พวกเขาไม่ได้แค่กินให้อิ่ม แต่พวกเขากำลังสำราญกับอาหารมื้อนั้น
เวลาผ่านไปราวกับชั่วนิรันดร์ ในที่สุดก็มีเสียงเรียกของท่านย่าให้เข้ามารับอาหารซึ่งอยู่ใน ชามกระเบื้องบิ่นๆ สี่ใบ ข้างในคือข้าวหยาบสีน้ำตาลแดงที่แข็งจนแทบจะต้องใช้แรงบดเคี้ยว ข้างบนมีผักดองสีคล้ำวางโปะอยู่สองสามชิ้น และมีน้ำแกงใสแจ๋วที่แทบไม่มีสีสันอะไรเลยราดอยู่พอให้ข้าวไม่ฝืดคอ
มันคือเศษของเหลือ ที่ถูกตักแบ่งออกมาอย่างขอไปที
ดวงตาของมู่เฟยที่เคยเป็ประกายเมื่อครู่หม่นแสงลงทันที เขามองอาหารในถาดสลับกับมองเข้าไปในห้องโถงที่ยังมีหมั่นโถวเหลืออยู่ในเข่ง
"ท่านป้า ขะ ขอหมั่นโถวให้ข้าสักลูกได้หรือไม่ขอรับ?" เด็กน้อยรวบรวมความกล้าเอ่ยถามเสียงสั่น
ป้าสะใภ้หวังซื่อที่ได้ยินพอดีเดินออกมาที่หน้าประตู นางกอดอกเชิดหน้าขึ้นแล้วมองมู่เฟยด้วยสายตาดูแคลน
"หมั่นโถวขาวน่ะมีไว้ให้คนที่จะไปสอบเป็ขุนนางกิน ไม่ใช่ให้เด็กชาวนาอย่างเ้ากิน! มีปัญญาเกิดมาในตระกูลมู่ก็ถือว่าเป็บุญหัวเท่าไหร่แล้ว ยังจะริอาจเรียกร้องอีกรึ? แค่ข้าวที่ให้ไปนั่นก็เปลืองเสบียงของตระกูลจะแย่อยู่แล้ว!"
คำพูดนั้นบาดลึกยิ่งกว่าใบมีด เด็กน้อยสะดุ้งสุดตัว รีบหลบไปซ่อนอยู่หลังขาของพ่อ ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ อีก
วูบ!
ในเสี้ยววินาทีนั้น โลกทั้งใบของมู่เจิ้งพลันมืดดับ ความโกรธที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนปะทุขึ้นในอกราวกับไฟป่าลามทุ่ง กำปั้นข้างลำตัวของเขากำแน่นจนสั่นสะท้าน เส้นเืที่ขมับปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาอยากจะคำรามกลับไป อยากจะะโใส่หน้าพี่สะใภ้ว่า "นั่นลูกข้า! ไม่ใช่หมา!" อยากจะบุกเข้าไปคว้าหมั่นโถวลูกนั้นมาให้ลูกชายได้ลิ้มรส อยากจะทำทุกอย่างที่พ่อคนหนึ่งพึงกระทำเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของลูก!
แต่แล้ว กำปั้นที่กำแน่นของเขาก็พลันคลายลง เมื่อััได้ถึงไอเย็นที่กดทับลงมาจากบัลลังก์ประธานของโต๊ะอาหาร เขาไม่จำเป็ต้องหันกลับไปมองด้วยซ้ำ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าใครคือเ้าของสายตาคู่นั้น
ทว่า เขาก็ยังฝืนใจหันกลับไป เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย
ภาพใบหน้าที่เรียบเฉยของมารดาและแววตาที่คมกริบดุจน้ำแข็งพันปีที่จ้องมองมา มันไม่ได้เป็คำสั่ง ไม่ได้เป็คำขู่ แต่มันคือกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งทรงพลังยิ่งกว่ากำแพงเมืองใดๆ มันสาดซัดความเยียบเย็นเข้ามาดับไฟโทสะในอกของเขาจนมอดไหม้ในชั่วพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงควันสีเทาแห่งความอัปยศ
เขารู้ดี ตระหนักรู้อยู่แก่ใจ ว่าในอาณาจักรแห่งนี้ พี่สะใภ้หวังซื่อเป็เพียง "เสียงสะท้อน" ในหุบเขา แต่ผู้ที่เป็เ้าของเสียงและเป็ ผู้ปกครองที่แท้จริง คือมารดาผู้ให้กำเนิดเขามานั่นเอง
เขายังจำวันที่เขาคุกเข่าขออนุญาตแต่งงานกับหลี่ซือได้ วันนั้นท่านแม่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ปรายตามองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแล้วกล่าวว่า "ในเมื่อเ้าเลือกที่จะแต่งกับหญิงชาวบ้านไร้หัวนอนปลายเท้า ก็จงจำไว้ ว่าเ้าได้เลือกสถานะของตัวเองและลูกเมียในบ้านหลังนี้แล้ว"
นั่นไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันคือ คำพิพากษา
หากเขาแข็งข้อในวันนี้ หากเขาลุกขึ้นสู้เพื่อลูก อะไรจะเกิดขึ้น?
เขาไม่ได้กลัวตัวเองลำบาก เขากลัวว่าภรรยาและลูกๆ จะถูกลงโทษหนักกว่าเดิม อาจจะถูกหักอาหารทั้งวัน หรืออาจจะถูกไล่ออกจากบ้านไปเผชิญความหนาวเหน็บและความอดอยากข้างนอกโดยไม่มีแม้แต่หลังคาคุ้มหัว ในฐานะลูกชายคนรองที่ไม่มีปากมีเสียง เขาไม่มีอำนาจ ไม่มีเงินทอง ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะต่อรองได้
ความจริงอันโหดร้ายนี้บดขยี้ความเป็ชายและความเป็พ่อของเขาจนแหลกละเอียดเป็ผุยผง
ความโกรธที่เคยพลุ่งพล่านเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็ความอัปยศอดสูที่กัดกินหัวใจ เขาเป็พ่อ แต่กลับปกป้องลูกไม่ได้ เขาเป็สามี แต่กลับให้ชีวิตที่ดีแก่ภรรยาไม่ได้ เขาเป็มนุษย์ แต่กลับไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรีที่จะทวงถามความเป็ธรรมให้ครอบครัว
แรงสั่นะเืเบาๆ ที่ขาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ เขาเหลือบมองลงไปเห็นลูกชายตัวน้อยที่ยังคงตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ซุกใบหน้าเข้ากับกางเกงเก่าๆ ของเขาเพื่อหาที่พึ่งพิง
ภาพนั้น คือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายกำแพงความอดทนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง
มู่เจิ้งก้มศีรษะลง ก้มลงจนคางแทบชิดอกราวกับจะซ่อนใบหน้าที่เ็ปของตนจากสายตาคนทั้งโลก "ขออภัยพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย เด็กมันยังเล็ก ไม่รู้จักความ"
"ไม่รู้จักความก็หัดสั่งสอนเสียบ้าง!" หวังซื่อสะบัดเสียงใส่ ก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้องโถง
ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมา มันกรีดเฉือนความภาคภูมิใจของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
หลี่ซือมองแผ่นหลังที่กว้างใหญ่แต่กลับดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวของสามีแล้วก็ได้แต่ร้องไห้อยู่ในใจ นางรู้ว่าเขาเ็ปไม่น้อยไปกว่านาง นางไม่เคยโทษเขา เพราะนางรู้ดีว่าต้นตอของความทุกข์ทั้งหมดนี้มาจากที่ใด
มีเพียงหลิงซี เท่านั้นที่มองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาที่นิ่งสงบ ผิดไปจากเด็กสาววัยเดียวกัน ดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนเพียงความสงสาร หากยังเต็มไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง และความมุ่งมั่นที่แน่วแน่เกินวัยฉายชัดอยู่ภายใน
เมื่อทุกคนกินอิ่มและเก็บโต๊ะเสร็จสิ้น ท่านย่าจาง ก็ก้าวออกมาพร้อมน้ำเสียงเรียบเย็นแต่ทรงอำนาจ
“วันนี้พ่อเ้าต้องมาช่วยซ่อมหลังคาบ้านใหญ่”
สายตาคมของนางกวาดผ่านทุกคน ก่อนหยุดลงที่อีกคน
“ส่วนเ้า หลี่ซือ งานปักที่หวังซื่อฝากไว้ ต้องเสร็จภายในพรุ่งนี้เช้า เข้าใจหรือไม่?”
ถ้อยคำไม่ได้ดังนัก แต่หนักแน่นพอจะกดทับบรรยากาศให้เงียบงัน จนแม้เสียงลมหายใจก็แทบได้ยินชัด ทุกคนได้แต่ก้มหน้ารับคำ
แต่แล้ว ก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมา
"ท่านย่าเ้าคะ"
ทุกคนหันไปมองที่ต้นเสียง มู่หลิงซี! เธอยืนขึ้นเต็มความสูง แม้ร่างกายจะยังผอมบาง แต่แววตาคู่นั้นกลับแน่วแน่และไม่เกรงกลัว
"ข้าขออนุญาตเข้าป่าไปเก็บผักป่ามาทำอาหารเย็นได้หรือไม่เ้าคะ? น้องชายยังเล็ก ร่างกายอ่อนแอ กินแต่ผักดองทุกวันเกรงว่าจะทนไม่ไหว"
คำพูดของเธอทำให้ทุกคนตกตะลึง! โดยเฉพาะพ่อกับแม่ที่หน้าซีดเผือด มองดูเธอกล้าที่จะต่อรองกับย่าจาง!ได้อย่างไร?
ป้าสะใภ้ใหญ่แค่นเสียงเยาะ "หึ! เด็กป่วยใกล้ตายอย่างเ้าเนี่ยนะจะเข้าป่า? ระวังจะไปเป็อาหารให้หมาป่าเสียเปล่าๆ สร้างเื่เดือดร้อนให้คนอื่นต้องไปตามเก็บซากอีก!"
ย่าจางหรี่ตามองหลานสาวที่ดูเปลี่ยนไป "ในป่ามันอันตราย เ้าจะเข้าไปทำอะไรได้"
หลิงซีกลับยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน "ท่านย่าโปรดวางใจ ข้าแค่จะเดินอยู่แถวชายป่าเท่านั้นเ้าค่ะ ไม่ได้เข้าไปลึก อีกอย่างหากข้าหาผักหรือเห็ดป่ามาได้ ก็ยังช่วยประหยัดเสบียงของตระกูลได้ไม่ใช่หรือเ้าคะ? เงินทุกอีแปะจะได้เก็บไว้ให้พี่เทียน หยูอ่านหนังสืออย่างเต็มที่"
คำพูดประโยคสุดท้ายเหมือนกับน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ มันทั้งยกยอหลานชายสุดที่รักและจี้ใจดำเื่ค่าใช้จ่ายไปพร้อมๆ กัน ทำให้ย่าจางเกิดความลังเล
มู่เฉียง ผู้เป็ลุงเห็นว่าเป็ความคิดที่ดีที่จะช่วยประหยัดเสบียงของบ้านใหญ่ จึงรีบพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเอื้อเฟื้อที่แฝงแววเยาะหยัน
“ท่านแม่ ให้นางไปเถอะขอรับ อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ให้สิ้นเปลืองข้าวสุก อีกอย่าง หากนางออกไปทำงานข้างนอก ก็จะได้ไม่ต้องมานั่งกินที่บ้านใหญ่ทุกวัน ขวางหูขวางตาคนอื่น”
คำพูดนั้นแทงลึกกว่ามีด บ้านรองได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบ มีเพียงหลิงซีเท่านั้นที่ยังคงมองด้วยสายตาสงบ แต่ในความสงบนั้น กลับซ่อนความคิดแน่วแน่เอาไว้
‘ดี ต่อไปหากข้าหาอาหารดีๆ ได้เอง ก็จะไม่ต้องเหยียบเข้ามาในบ้านใหญ่ให้ถูกเหยียดหยามอีก ข้าวสุกของพวกเ้าข้าไม่แย่งกินหรอก หากทำกินเองที่บ้านได้ก็จะสะดวก อุ่นใจ และไม่ต้องกล้ำกลืนอย่างเช่นทุกวันนี้’
ดวงตาของนางฉายแวววูบวาบเพียงชั่วครู่ ก่อนกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ราวกับไม่เคยมีไฟลุกโชนอยู่ข้างใน
ย่าจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก "ก็ได้! แต่ถ้าตะวันตกดินแล้วยังไม่กลับมา ก็อย่าหวังว่าจะไม่มีใครออกไปตามหาเ้า!"
"ขอบพระคุณท่านย่าเ้าค่ะ!" หลิงซีโค้งคำนับอย่างงดงาม ก่อนจะหันไปหยิบตะกร้าสานใบเล็กที่แขวนอยู่ข้างฝา แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างมั่นคง ทิ้งให้ทุกคนมองตามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
พ่อกับแม่ของเธอมองตามด้วยความเป็ห่วง ป้าสะใภ้ใหญ่มองด้วยความสมเพช ส่วนย่าจางมองด้วยสายตาเ็า
ไม่มีใครรู้เลยว่า ก้าวแรกที่เด็กสาวผู้นั้นเหยียบย่างออกจากประตูตระกูลมู่ในวันนี้ คือก้าวแรกของการพลิกชะตาฟ้าดินที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
และในป่าลึกบนูเาลูกนั้น จุดแสงสีเขียวมรกตที่สว่างไสวที่สุด กำลังรอคอยการมาเยือนของเธออย่างเงียบงัน