ฮูหยินหลิวของห้องเย็บปัก?
เจินจูลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที นั่นเป็ผู้ใดกัน? มาชี้แนะนางเื่เย็บปักถักร้อยหรือ?
นางจัดมวยผมเล็กน้อย เยว่อิงได้นำทางสตรีผู้หนึ่งอายุสามสิบกว่าปีเข้ามา
“คารวะแม่นางหูเ้าค่ะ ฮูหยินส่งบ่าวมาวัดขนาดร่างกายให้แม่นางสักหน่อย อยากจะเร่งทำชุดฤดูหนาวให้แม่นางสักสองสามชุดเ้าค่ะ”
ฮูหยินหลิวการแต่งกายและเครื่องประดับสะอาดเรียบร้อย รอยยิ้มปรากฏความกระตือรือร้นขึ้น ด้านหลังยังมีสาวใช้ที่หิ้วตะกร้าใบเล็กตามมาด้วย
ทำชุดฤดูหนาวให้นาง? เจินจูตกตะลึง สายตาอดมองไปทางเยว่อิงอย่างเสียมิได้
“นี่เป็ความเห็นของฮูหยินเ้าค่ะ ฤดูหนาวของเมืองหลวงหนาวเหน็บเป็พิเศษ เมื่อก่อนแม่นางหูไม่เคยมาเมืองหลวง ไม่เข้าใจอากาศของที่นี่ พอผ่านไปอีกสองสามวันก็จวนจะจามออกมาเป็น้ำแข็งได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ฮูหยินจึงอยากเพิ่มชุดฤดูหนาวสักสองสามชุดให้ท่านกับคุณชาย ใช้แสดงการสำนึกในบุญคุณของจวนกั๋วกงของพวกเรา ท่านไม่จำเป็ต้องคิดมากเ้าค่ะ”
เยว่อิงโค้งตัวลงพร้อมกับกล่าวคำอธิบายยาวติดๆ กัน กลัวมากว่านางจะเข้าใจอะไรผิดไป
เจินจูยิ้ม นางไม่ได้มีจิตใจคับแคบเพียงนั้น ในเมื่อมีคนช่วยทำชุดฤดูหนาวให้ เช่นนั้นก็เป็สิ่งดี งานเย็บปักถักร้อยของนางไม่ดีอย่างมาก แม้แต่ชุดตัวในสักชุดจะเย็บให้ดียังไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงชุดฤดูหนาวเลย ทุกปีเมื่อถึงฤดูหนาวหลี่ซื่อมักยุ่งกับการทำเสื้อผ้าในฤดูหนาวให้พวกนางทั้งครอบครัวอยู่คนเดียว แค่นี้นางก็เพียงพอให้เหนื่อยมากแล้ว
“เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินกั๋วกงแล้ว” หากเจินจูปฏิเสธก็จะเป็การแสดงความไม่เคารพยิ่งนัก
“ไม่เลยเ้าค่ะๆ แม่นางหูเป็ผู้มีพระคุณของคุณชายพวกเรา สิ่งเหล่านี้ไม่นับว่าเป็อะไรได้เลยเ้าค่ะ” เยว่อิงยิ้มพร้อมกับก้าวมาข้างหน้าและถอนสายบัวอย่างสุภาพให้นาง
เจินจูรีบยืนตัวตรงขึ้นทันที มือสองข้างปล่อยลงอย่างเป็ธรรมชาติ ฮูหยินหลิวหยิบสายวัดจากในตะกร้าของสาวใช้ออกมา เริ่มวัดทีละส่วนอย่างละเอียด การเคลื่อนไหวของนางคล่องแคล่วอย่างมาก ไม่นานก็สามารถวัดขนาดออกมาได้เรียบร้อย
ทันทีหลังจากนั้น มีสาวใช้ประคองผ้าลวดลายหลากสีนานาชนิดเข้ามาเพื่อให้เจินจูเลือก แต่ละอย่างล้วนเป็ผ้าเนื้อดีคุณภาพสูงที่แพร่หลายที่สุดของเมืองหลวงทั้งสิ้น
เจินจูเลือกสีเรียบอยู่สองแบบ เยว่อิงรีบกล่าวโน้มน้าว “แม่นางหูเ้าคะ นี่จวนจะใกล้ฉลองปีใหม่แล้วต้องสวมสีที่น่าปีติยินดีสักหน่อย อีกอย่างวัยช่อดอกไม้เช่นท่าน หากสวมสีเรียบธรรมดาเพียงนี้คงไม่ค่อยเหมาะนะเ้าคะ”
นางหยิบผ้าไหมเนื้อดีสีส้มสดใสที่มีลวดลายสีเข้มขึ้นมาหนึ่งพับ “นี่เป็ผ้าไหมซูโจวที่สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงค่อนข้างชอบมากในปีนี้ สีสันสวยสดงดงาม ขับผิวพรรณให้โดดเด่น หากนำมาเย็บเสื้อกันหนาวขอบขนสัตว์เหมาะยิ่งนักเ้าค่ะ”
“แล้วยังมีผ้าแพรปักสีบานเย็นผืนนี้ หากทำเสื้อหนาวมีซับหนาผ่าหน้าสักตัว ไว้สวมตอนฉลองปีใหม่ ทั้งเข้ากับเทศกาลทั้งน่าปีติยินดี แม่นางหูผิวขาวเช่นนี้ เมื่อสวมแล้วต้องดูดีอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
“…ผ้าต่วนสีงาช้างตัวนี้เหมาะกับการทำผ้าคลุมยิ่งนัก บนขอบตกแต่งขนสุนัขจิ้งจอกขาว เมื่อแม่นางหูสวมใส่แล้วต้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเทพธิดาอย่างแน่นอนเลยเ้าค่ะ”
“…พับนี้เป็ผ้าไหมทอลวดลาย สำหรับทำกระโปรงร้อยจีบมีลวดลายดอกไม้กระจัดกระจาย เข้าคู่กับเสื้อกันหนาวมีซับผ่าหน้าสีบานเย็น เหมาะสมพอดีเลยเ้าค่ะ”
“…”
เยว่อิงกับฮูหยินหลิวถือผ้าต่วนและผ้าไหมแต่ละสีพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน เสื้อผ้า กระโปรง เสื้อหนาวมีซับ เสื้อนวมบุผ้าฝ้าย เสื้อคลุมและอื่นๆ ั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าเลือกทั้งหมดอยู่หนึ่งรอบ
เจินจูพูดไม่ออกเล็กน้อย สตรีมักมีหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่จบไม่สิ้นเสมอ
เจินจูปล่อยให้พวกนางจับพลิกไปพลิกมาอย่างตามใจ อย่างไรเสียไม่ใช่ให้นางลงมือทำก็พอ
...ภายในลานชิงหลัน
ผิงอันแข่งหมากล้อมอยู่กับเซียวจวิ้นในศาลา
มือเซียวจวิ้นกุมหมากสีดำวางลงบนกระดานหมากหนึ่งเม็ด ผิงอันก้มศีรษะลงเค้นสมองอย่างสุดกำลัง เม็ดหมากสีขาวในมือไม่ว่าจะดูอย่างไรก็วางลงไปไม่ได้เลย
ผ่านไปนานพักหนึ่ง เขาถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“ข้าแพ้แล้ว พี่เซียว ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ยอมให้สองต่อก็ยังคงกุมชัยชนะอยู่ในมือเช่นเดิม”
เซียวจวิ้นยิ้มบางๆ บนใบหน้างามประดับสีแดงเล็กน้อย “ข้าร่างกายไม่ดี ตามปกติธรรมดาไม่มีอะไรทำ นอกจากอ่านหนังสือฝึกคัดตัวอักษรก็ชื่นชอบการเล่นหมากนี่แหละ ผิงอันเ้าร่างกายแข็งแรง ทั้งบุ๋นทั้งบู๊เพียบพร้อม แค่เล่นหมากเป็บางครั้งบางคราว สามารถลงได้เช่นนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
“พี่เซียว ท่านน่าจะไปอยู่ในหมู่บ้านพวกข้าสัก่หนึ่ง หมู่บ้านของพวกข้า ร่างกายของพวกเด็กๆ แต่ละคนล้วนแข็งแรงอย่างกับท่อนไม้ ที่นั่นมีโรงเรียนทั้งบุ๋นทั้งบู๊ เด็กผู้ชายที่อายุั้แ่หกปีขึ้นไปล้วนสามารถเรียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็เวลาสามปี เด็กมากมายที่เพิ่งเริ่มเข้าไปต่างก็ผอมแห้ง พอเรียนไปสามปีร่างกายก็ปราดเปรียวยิ่งกว่าลิงเสียอีก ฮิๆ” ผิงอันชื่นชมโรงเรียนของครอบครัวตัวเองอย่างไม่ถ่อมตนเลยสักนิดเดียว
เซียวจวิ้นดวงตาเป็ประกายขึ้นทันที ถามด้วยความสนใจเป็อย่างมาก
“โรงเรียนแห่งนี้เป็หมู่บ้านของพวกเ้าจัดตั้งขึ้นหรือ?”
“ในนามแล้วเป็หมู่บ้านสร้างขึ้น แต่ในความเป็จริงเป็ครอบครัวข้าออกทุนสร้าง ทั้งโรงเรียน ทั้งฟูจื่อ และท่านอาจารย์ล้วนเป็ครอบครัวข้าจัดการทั้งหมดเลย” ผิงอันยืดอกน้อยๆ ขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
การแสดงออกที่ภาคภูมิใจบนใบหน้าของเขา ทำให้เซียวจวิ้นอดหัวเราะขึ้นไม่ได้ ผิงอันเป็เด็กชายที่ฉลาดหลักแหลมมาก อายุสิบเอ็ดปีกลับมีบุคลิกลักษณะใจเย็นอย่างผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์มามาก เพียงทำตัวออดอ้อนกระเง้ากระงอดกับผู้เป็พี่สาวของเขาเป็บางครั้งบางคราวเท่านั้น
“ท่านพ่อของเ้าต้องเป็ผู้มีสติปัญญาความคิดรอบคอบ สายตากว้างไกลอย่างแน่นอน”
คำพูดของเซียวจวิ้นเพิ่งกล่าวจบ ใบหน้าของผิงอันหยุดชะงักและกระตุกไปพักหนึ่ง
“…ท่านพ่อข้า เขาเป็เพียงชาวไร่ชาวนาซื่อๆ ธรรมดาเท่านั้น ความคิดเห็นสร้างโรงเรียนเป็ท่านพี่ของข้าคิด นางกล่าวไว้ว่าเงินที่ทางบ้านหามาได้ ต้องสร้างความผาสุกให้แก่เพื่อนบ้านในหมู่บ้าน ให้เด็กในหมู่บ้านล้วนเข้าเรียนได้ ต่อไปเมื่อเติบโตขึ้นแล้วมีรากฐานที่มั่นคง จะได้ตอบแทนกลับให้เพื่อนบ้านในหมู่บ้านได้ด้วย”
ความคิดเห็นของแม่นางหู? เซียวจวิ้นดวงตาเบิกกว้างจนกลมโต เหมือนปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบสี่ปีเองกระมัง?
“โรงเรียนของบ้านเ้าสร้างมากี่ปีแล้วหรือ?”
“อืม... จวนจะสามปีแล้ว ปีหน้าพวกข้านักเรียนรุ่นแรกก็จะลงสนามสอบบัณฑิตเด็กแล้วด้วย”
สามปีก่อน นางเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี เด็กสาวอายุสิบเอ็ดปีก็มีความคิดความอ่านยาวไกลเพียงนี้เลยหรือ? เซียวจวิ้นไม่อยากเชื่อเล็กน้อย
“พี่เซียวจวิ้น ท่านสอบผ่านชิวเหวยแล้วหรือ?”
ผิงอันถามด้วยความแปลกใจ
“…อ่า อ้อ สอบผ่านแล้ว แต่ร่างกายข้าไม่ดี ในภายหลังจึงไม่ได้เข้าร่วมการสอบฮุ้ยซื่อ” เซียวจวิ้นได้สติจึงยิ้มพร้อมตอบกลับเขา ความเป็จริงพวกเขาเหล่าลูกหลานขุนนางส่วนใหญ่ จะเข้าสู่การเป็ขุนนางได้จากการรับพระราชทานยศจากคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ผู้ที่อาศัยการสอบเคอจวี่เข้าเป็ขุนนางจริงๆ มีน้อย เหมือนเขาเช่นนี้ที่เป็ลูกหลานขุนนางและสอบผ่านเซียงซื่อได้จึงมีไม่มาก
“เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว ผู้าุโหลิงกล่าวว่าหากสอบผ่านชิงเหวยก็เท่ากับว่าก้าวเข้าสู่การเป็ขุนนางครึ่งก้าวแล้ว คะแนนของพี่เซียวจะต้องดีมากแน่เลย” ในน้ำเสียงของผิงอันมีความชื่นชมอิจฉาแฝงอยู่ แม้ร่างกายของเซียวจวิ้นจะไม่ค่อยดี ทว่าคนกลับเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
เซียวจวิ้นหันไปยิ้มทางเขา “ผิงอันอยากเป็ขุนนางหรือ?”
คำถามของคนอายุมากกว่า ทำเอาเขาตะลึงงันทันที
เขาอยากเป็ขุนนางหรือ?
การเป็ขุนนางต้องขยันในหน้าที่และรักประชาชน เป็ขุนนางต้องใสซื่อมือสะอาด จัดการเื่ราวอย่างเป็ธรรม ทำเพื่อประชาชนจริงๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ท่านพี่ของเขาได้กล่าวไว้ นางกล่าวว่าหากอยากร่ำรวยก็อย่าเป็ขุนนางจะได้ไม่ต้องรับสินบนและทุจริต ถ้าไปทำให้เกิดหายนะขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วถูกประชาชนชี้หน้าด่าว่าเป็ขุนนางรับสินบนไม่รักษากฎหมาย หากเป็เช่นนั้นใบหน้าของบรรพบุรุษจะถูกทำให้เสื่อมเกียรติเสียศักดิ์ศรี ดังนั้นหากวันข้างหน้าเขาอยากเป็ขุนนาง จะไม่อาศัยการร่ำรวยจากการเป็ขุนนางอย่างเด็ดขาด แต่จะเป็ขุนนางที่ดีที่มีสติปัญญา ซื่อสัตย์และสุจริตเที่ยงธรรม
ท่านพี่ของเขาบอกแล้วว่านางจะรับผิดชอบการหาเงินเอง หากภายภาคหน้าเมื่อ้าจะใช้เงิน ให้เอ่ยปากบอกนางได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็ต้องกลัดกลุ้มเพื่อเงินทองเหล่านี้เลย
ผิงอันค่อนข้างอยากเป็ขุนนางอย่างมาก ปัญญาชนล้วน ’เล่าเรียนเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นเป็ขุนนาง’ มาโดยตลอด ท่ามกลางการเล่าเรียน การยกเท้าก้าวเข้าสู่ชนชั้นการเป็ขุนนาง ช่างเป็ความปรารถนาของพวกเขาทุกคน ไม่เพียงเพราะเป็เกียรติแก่วงศ์ตระกูลได้ มากยิ่งไปกว่านั้นคือแต่ไหนแต่ไรมาปัญญาชนถือหลักธรรมาภิบาลในการบริหารบ้านเมือง ถือเป็หน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง เขาเองก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน
แต่เขาก็ชื่นชอบชีวิตในยุทธภพที่ได้เผชิญโลกอย่างโชกโชนและกล้าหาญ ทั้งมีคุณธรรมอย่างอาจารย์ฟางด้วยเช่นกัน
แม้ท่านพี่ของเขากล่าวแล้วว่าเอ้อระเหยอยู่ในยุทธภพไม่ใช่เื่ง่ายดายเพียงนั้น แต่เขากลับคิดว่า... การหยิบดาบท่องไปจนสุดขอบฟ้า มองความสวยงามภายในโลกมนุษย์ทั้งหมด มีดแวววาวกระบี่เกิดเงา [1] รื่นรมย์กับความรักและความแค้น เมามายในสุราตามมาด้วยร้องเล่นเต้นรำ [2] ชื่นชมความเป็ไปของชีวิตมนุษย์ ช่างเป็เื่อิสระผ่าเผยและสบายใจมากยิ่งนัก
แน่นอน... สิ่งเหล่านี้เขากล้าแค่แอบคิดเท่านั้น หากท่านพี่ของเขาทราบเข้า คงคว้าหูของพี่อาชิงไว้แน่นอย่างแน่นอน เพราะเื่แต่ละอย่างบนยุทธภพ ล้วนเป็พี่อาชิงบอกแก่เขาทั้งสิ้น
“ข้ายังไม่ทราบเลย รอข้าโตแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ผิงอันหัวเราะ
ก็ใช่เขาเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี ยังห่างจากวัยที่ต้องมาคิดใคร่ครวญปัญหานี้อย่างลึกซึ้งมากนัก
เซียวจวิ้นยกชาร้อนขึ้นจากโต๊ะเตี้ยเคลือบเงาสีดำที่สาวใช้เพิ่งนำมาเปลี่ยนให้ สภาพจิตใจผันผวนเล็กน้อย เขาเหลือบมองผิงอันที่กำลังดื่มและทานสิ่งของเหมือนกันกับเขาแวบหนึ่ง กลืนน้ำลายลงและเอ่ยขึ้น “ผิงอัน พี่สาวเ้าได้…”
ผิงอันเงยหน้าขึ้น ราวกับรอคำพูดถัดไปของเขาอยู่
ปากเซียวจวิ้นขยับมุบมิบ เขาอยากถามเด็กชายตรงหน้าว่าพี่สาวของเขาได้หมั้นหมายแล้วหรือไม่ ทว่าอ้าปากกล่าวไม่ออก ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อไปอย่างจำใจ “พี่สาวเ้าได้บอกหรือไม่ ว่าพวกเ้าจะกลับกันเมื่อไร?”
“บอกแล้ว คงต้องเร่งกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน น่าจะผ่านไปอีกห้าถึงหกวันกระมัง” ผิงอันกล่าว
“…อ๋อ เช่นนั้นพวกเ้า้าไปเดินเล่นให้ทั่วเมืองหลวงหรือไม่? ข้าจะไปเป็เพื่อนพวกเ้า”
ขาที่เคล็ดของเขาดีขึ้นพอสมควรแล้ว เดินเล่นเป็เพื่อนพวกเขาคงพอไหว เซียวจวิ้นแอบขยับข้อเท้าที่เคล็ดเล็กน้อย อยากถือโอกาสก่อนที่พวกนางจะไป สืบเื่ที่เขา้าทราบเพิ่มขึ้นสักหน่อย
ดวงตาผิงอันเป็ประกาย พวกเขามาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว เพิ่งออกไปเที่ยวข้างนอกครั้งเดียวเอง แม้หลิวอี้จะนำทางเขาไปเดินเล่นบริเวณเขตฝั่งตะวันออกของเมือง แต่ไม่เคยไปถนนหลักอันแสนคึกคักจริงๆ เสียที”
ดวงตาของเขากลอกกลิ้งไปมาเล็กน้อย คิดถึงเื่ขององค์ไท่จื่อขึ้นมาได้ พวกเขาในขณะนี้ควรอยู่อย่างเงียบเชียบไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า
“ขอบคุณพี่เซียวจวิ้น แต่อากาศหนาวเกินไปแล้ว คาดว่าท่านพี่ของข้าไม่อยากออกไปข้างนอกเป็แน่” หยิบยกผู้เป็พี่สาวของเขาขึ้นมาอ้างเสียเลย ฮิๆ
เซียวจวิ้นมองออกไปยังหิมะขาวหนึ่งผืนด้านนอกห้องโดยทันที จริงด้วย เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะให้ออกเดินไปด้านนอก เฮ้อ...
คนรับใช้เข้ามารายงานว่าฮูหยินหลิวจากห้องเย็บปักมาแล้ว
เซียวจวิ้นรู้ดีว่านี่เป็ท่านแม่ของเขาจะตัดเย็บชุดฤดูหนาวจำนวนหนึ่งให้แก่ผิงอันและพี่สาวของเขา เขาจึงรีบเรียกให้คนเข้ามา
...ขณะที่โหยวอวี่เวยมาถึง เป็เวลาที่อาหารเที่ยงเพิ่งผ่านพ้นไป
นางไปลานฮ่าวอู๋เพื่อไปทำความเคารพฮูหยินกั๋วกงก่อน หลังจากนั้นได้แสดงจุดประสงค์ในการมาขึ้น
ฮูหยินกั๋วกงแปลกใจเล็กน้อยที่ทั้งสองคนรู้จักกัน นางเคยเจอโหยวอวี่เวยอยู่ไม่กี่ครั้ง เด็กสาวหน้าตางดงามสว่างสดใสนิสัยแจ่มใสร่าเริง ฐานะก็ไม่เลว ขณะที่นางแอบช่วยมองหาคนที่จะมาเป็ภรรยาของเซียวจวิ้น เคยจัดโหยวอวี่เวยอยู่ในรายชื่อนั้นด้วย ภายหลังนางได้ทราบจากปากของนายท่านกั๋วกงเข้า ว่าโหยวอวี่เวยมีชายหนุ่มลูกผู้พี่ที่เป็เพื่อนเล่นกันมาั้แ่เด็กอยู่แล้ว และสองครอบครัวล้วนเจตนาหวังจะกลายเป็ครอบครัวที่ลูกหลานแต่งงานกัน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงลากยาวมาถึงตอนนี้เสียได้
ทว่าโหยวอวี่เวยรู้จักกับพี่น้องสกุลหู นี่สิถึงจะเป็จุดสำคัญที่นางให้ความสนใจในตอนนี้
นางส่งคนไปตามสองพี่น้องสกุลหูมาให้ ส่วนนางนั่งอยู่เป็เพื่อนโหยวอวี่เวย พลางดื่มชาและสนทนาเล่นเรื่อยเปื่อย
“ท่านแม่ของเ้า่นี้เป็อย่างไรบ้าง?” ฮูหยินกั๋วกงร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงที่แต่ละจวนเชิญชวนมานานมากแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เคยพบเฉินซื่อนานมากเช่นกัน
“ขอบคุณความห่วงใยของฮูหยินเ้าค่ะ ่นี้ท่านแม่สบายดีอย่างมาก แค่ทานเก่งเลยอ้วนขึ้นไม่น้อยเท่านั้น” โหยวอวี่เวยเม้มปากยิ้มบางๆ ท่านแม่ตั้งครรภ์ผ่าน่สามเดือนแรกมาแล้ว หลังครรภ์มั่นคงก็ช่างทานมากขึ้น ทานอาหารในปริมาณมากกว่าในยามปกติสองเท่ากว่า ท่านพ่อของนางทั้งมีความสุขทั้งเป็ทุกข์ กลุ้มใจจนผมร่วงหล่นไปไม่น้อย
ทานเก่งเลยอ้วนขึ้นไม่น้อย? ฮูหยินกั๋วกงตกตะลึง เฉินซื่อในความทรงจำของนาง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวมักสวมเสื้อผ้าเครื่องประดับพอดีตัว ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาและท่าทางอย่างมาก เหตุใดนางจึงปล่อยตัวเองให้ทานเก่งจนเปลี่ยนไปอ้วนขึ้นได้กัน? นอกเสียจากว่า…
“…ท่านแม่ของเ้า …นี่นาง”
“ฮูหยินไม่ทราบหรือเ้าคะ? ท่านแม่ข้าตั้งครรภ์แล้ว นี่ก็สามเดือนกว่าแล้วเ้าค่ะ”
ฮูหยินกั๋วกงตกตะลึง เื่นี้ั้แ่เมื่อไรกัน เหตุใดนางกลับไม่รู้เสียได้ เฉินซื่อกับนางอายุต่างกันไม่มาก หลายปีมานี้ได้มาเพียงโหยวอวี่เวยบุตรสาวคนเดียว นางยังเคยแอบสงสารเฉินซื่ออยู่เลย แม้ตัวเองก็ให้กำเนิดบุตรเพียงคนเดียวเช่นกัน แต่อย่างไรเสียก็เป็บุตรชาย คำนินทาของคนภายนอกยังน้อยอยู่หน่อย แต่นางให้กำเนิดบุตรสาวไม่สามารถผลิดอกใบออกผล [3] ให้ครอบครัวสามีได้ สำหรับสตรีแล้วต้องแบกรับแรงกดดันที่ใหญ่ยิ่งนัก
แต่ในขณะนี้นางกลับตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นมาแล้ว
ฮูหยินกั๋วกงทั้งชื่นชมและอิจฉามากเหลือคณานับจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] มีดแวววาวกระบี่เกิดเงา หมายถึง สภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอันตราย
[2] เมามายในสุราตามมาด้วยร้องเล่นเต้นรำ หมายถึง เวลามนุษย์เรามีจำกัด ควรทำสิ่งที่ทำได้ให้ออกมาดีที่สุด ต่อมาได้ใช้อธิบายว่า ไม่สูญเสียจังหวะและโอกาส ค้นหาความสุขมาทำให้จิตใจรื่นเริง
[3] ผลิดอกใบออกผล หมายถึง กระจายเืเนื้อของวงศ์ตระกูลให้มีผู้สืบทอดมากขึ้น เสมือนต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาและผล