‘เขียนภาพรึ? เป็งานถนัดของข้าเชียวแหละ ข้าต้องทำคะแนนที่หนึ่งของรุ่นมาให้ได้ ข้าจะทำให้คนพวกนี้ ดูถูกหวางฟางเฟยไม่ได้อีกต่อไป’ นางขบคิดเสร็จ ก็บรรจงเขียนภาพด้วยอารมณ์แน่นิ่ง ปลายพู่กันตวัดไปมาอย่างช่ำชอง
พร้อมสายตาของมือปราบจิวอี้ซิง จะเลื่อนมองบัณฑิตทุกคนแล้วหยุดสายตาแน่นิ่งที่หวางฟางเฟย เขามองท่าทางเปลี่ยนไปของนางพร้อมความคิด ยากที่ผู้ใดจะคาดเดา
ด้านหลังของหวางฟางเฟย เหยียนซือหนาน เขียนภาพไปพร้อมกับความหงุดหงิด เพราะปลายพู่กันแตกหงิกงอ ทำให้ลายเส้นขาด แม้พยายามเขียนให้สวยงามเท่าใด ทว่าภาพที่ได้ก็ยากจะสมบูรณ์ นางจำใจส่งภาพให้กับอาจารย์ด้วยใบหน้างอเง้า พร้อมหวางฟางเฟยแอบยิ้มอยู่ห่าง ๆ ทว่าเสียงกระแอมของจิวอี้ซิง ทำให้นางได้สติ แล้วหันกลับมาตั้งใจเขียนภาพของตัวเองดังเดิม
ทางด้านเยว่หลิว ตั้งใจเขียนภาพทิวเขา วิชานี้ไม่ยากสำหรับนางเท่าใดนัก ถึงแม้ไม่ได้ที่หนึ่ง เพราะฝีมืออาจสู้กับเหยียนหวางไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าอันดับสองต้องเป็ของนางอย่างแน่นอน
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ภาพของบัณฑิตทุกคนอยู่ในมือของอาจารย์กั๋วเจี้ยนเป็ที่เรียบร้อย รอยยิ้มมั่นใจของหวางฟางเฟยทำให้ สายตาของนางแอบเลื่อนไปเห็นใบหน้าบึ้งตึงของเยี่ยนหวางที่กำลังมองตรงมาอย่างไม่พอใจ
‘มองข้าเช่นนี้ ถึงเวลาที่ต้องระวังตัวให้มากแล้วสินะ’ นางขบคิดพลางฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่จริงใจนัก ก่อนเสียงของอาจารย์จะเอ่ยขึ้น
“เริ่มให้คะแนน” มือของอาจารย์กั๋วเจี้ยน เลือกภาพที่ชอบมากที่สุดสามภาพ นำมาวางไว้ แล้วเรียกให้จิวอี้ซิงมองภาพทั้งสามเ่าั้
“ท่านมือปราบ ท่านคิดเห็นเช่นไรกับสามภาพนี้”
“ภาพแรกเป็ูเา ให้อารมณ์มุ่งมั่นหนักแน่น แต่ลายเส้นยังไม่คงที่ ภาพที่สองเป็ภาพของหงส์ที่กำลังกางปีกบิน แม้จะงดงาม แต่ภาพยังไม่ละเอียดมากพอ อาจเพราะอารมณ์คนวาดกำลังขุ่นมัว สำหรับข้าแล้ว....ข้าชอบภาพที่สามเป็ภาพของดอกเหมย แม้จะเป็ภาพดอกไม้ธรรมดา แต่รายละเอียดของภาพหนักแน่น มั่นคง ลายเส้นไม่ขาดหาย องค์รวมงดงาม”
“เช่นนั้นท่านว่า ที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม ควรเป็ของภาพใด” อาจารย์กั๋วเจี้ยนน้อมกายเล็กน้อยปรึกษาจิวอี้ซิง ก่อนเขาจะหยิบภาพทั้งสามมาวางเรียงกัน
“ที่หนึ่ง ข้าให้เป็ภาพของดอกเหมย ที่สองข้าให้เป็ภาพของหงส์ ที่สามเป็ภาพของูเา” อาจารย์กั๋วเจี้ยนพยักหน้าพอใจ เพราะเป็การตัดสินที่ตรงกับใจเขามากที่สุด
จึงลุกขึ้นประกาศอย่างเป็ทางการ บัณฑิตทุกคนหยุดคุยกัน แล้วหันกลับมาฟังประกาศ พร้อมสายตาตั้งมั่น
“ข้ากับท่านจิวอี้ซิงเห็นตรงกันว่า ภาพที่ได้อันดับสามเป็ของเยว่หลิว” เสียงปรบมือดังขึ้นแสดงความดีใจ พร้อมร่างของเยว่หลิว ลุกขึ้นน้อมกายรับคะแนนที่อาจารย์เมตตามอบให้ ก่อนชายกลางคนจะประกาศอันดับต่อไปในทันที
“ส่วนอันดับที่สอง เป็ของเยี่ยนหวาง!” สิ้นเสียงประกาศทุกคนในที่นั้นต่างเงียบกริบ
“อันดับแท้จริงของเยี่ยนหวางควรได้เป็ที่หนึ่ง ไม่ใช่รึ” เสียงกระซิบดังมาจากด้านหลัง ทำให้เยี่ยนหวางจำใจลุกขึ้น แล้วน้อมกายลงรับคะแนน พร้อมเก็บความขุ่นมัว จับจ้องไปยังภาพวาดที่ถูกปิดไว้ พร้อมอาจารย์เอ่ยขึ้นในทันที
“ส่วนอันดับที่หนึ่ง เป็ของหวางฟางเฟย!” ทุกคนในที่นั้นเงียบสนิท ด้วยความแปลกใจอย่างถึงที่สุด
“เป็ไปได้ยังไง ปกตินางไม่เคยสอบได้คะแนนดีเช่นนี้ ข้าว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาด” เสียงกระซิบนั้น ทำให้เยี่ยนหวาง ไม่อาจทนต่อไปได้ จึงตัดสินใจลุกยืนอีกครั้ง แล้วพูดขึ้น
“ในทุกปี คะแนนการเขียนภาพข้าได้ที่หนึ่งตลอด และแน่นอนว่าหวางฟางเฟย วาดนกยังกลายเป็ไก่ ฝีมือนางเช่นนั้นจะได้อันหนึ่งได้อย่างไร หรือเพราะว่าท่านมือปราบอาศัยความเป็สกุลจิว”
“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย ทั้งเยว่หลิว หวางฟางเฟย ต่างก็ได้ที่หนึ่งและที่สาม พวกนางล้วนแล้วแต่เป็คนของสกุลจิว” ลิ่วล้อของเยี่ยนหวางเอ่ยขึ้นในทันที ทำให้อาจารย์กั๋วเจี้ยนตบโต๊ะเสียงดัง พวกนางทั้งหมดจึงเงียบปากลง
“เพราะข้ารู้ ว่าต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงได้ปิดชื่อของผู้วาด ก่อนที่จะส่งภาพให้ท่านมือปราบตัดสิน หากเ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ตัดสินด้วยสายตาตัวเองเถอะ” พูดจบเขาก็ยกภาพชูขึ้นเพื่อเป็ประจักษ์แก่สายตาทุกคน
เมื่อเหล่าบัณฑิตเห็นความงามของภาพดอกเหมยที่ได้อันดับหนึ่งแล้ว พวกนางต่างตกตะลึง
“ดอกเหมยงดงามมากจริง ๆ” ลิ่วล้อของเยี่ยนหวางเผลออุทานออกมา ทำให้ถูกมองตาค้อน ก่อนคนอุทานจะรีบหุบปากในทันที
“แม้ข้าจะเป็คนสกุลจิวก็จริง แต่ก็รู้ดีว่าการสอบวัดผลนั้นสำคัญมากเพียงใด ข้าไม่เคยคิดลำเอียงเข้าข้างคนสกุลเดียวกัน ดังนั้น ข้อกล่าวหานี้ ข้าจะไม่ถือสาแม่นางเยี่ยนหวางก็แล้วกัน” คำพูดเย็นเยียบของชายหนุ่มทำให้ หญิงสาวหน้าซีดลงเล็กน้อย
ข่าวการเขียนภาพที่หวางฟางเฟยได้อันดับหนึ่ง ถูกพูดถึงกันอย่างหนาหู เหล่าเพื่อนบัณฑิตที่เคยมองข้าม เริ่มให้ความสนใจ เข้ามาพูดคุยกับหวางฟางเฟยมากขึ้น ไม่ละเลยเหมือนที่ผ่านมา
“ข้าไม่อยากเชื่อ ว่ากาฝากเช่นเ้า จะมีฝีมือเขียนภาพขึ้นมาได้ยังไง” คำพูดของเยว่หลิว เอ่ยขึ้น ท่ามกลางบรรดาเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ ก่อนหวางฟางเฟยจะปั้นหน้าเศร้าแล้วตอบกลับ
“เหตุใดพี่รองจึงพูดจาเช่นนั้น ข้าก็แค่อยากเก่งเหมือนพี่รอง ก็เลยฝึกเขียนภาพอย่างหนักเท่านั้นเอง”