“พี่จาง ท่านไม่เป็อะไรใช่ไหม เด็กสาวชนบทไม่รู้จักมารยาท ท่านอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย” เห็นว่าจางเฉิงหย่วนถูกบีบให้พ่ายแพ้ หงซื่อเจี๋ยเลยรีบยิ้มประจบสอพลอเดินมาข้างหน้าและปลอบใจ
จางเฉิงหย่วนใบหน้าอึมครึมไปทั้งดวง เขามาถึงเอ้อโจวนานเพียงนี้ อยู่บริเวณเมืองที่เป็เขตอำเภอห่างไกลความเจริญได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด ไม่มีผู้ใดกล้าหาเื่
แต่สองครั้งที่เขามาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ล้วนถูกทำให้เสื่อมเกียรติอย่างยิ่ง
ครั้งก่อนบังเอิญพบเข้ากับบุตรชายคนเล็กของซ่างซูกู้ ทั้งยังมองเขาด้วยสีหน้าไม่น่ามอง เขาทำได้เพียงอดทน ครั้งนี้เด็กสาวชนบทกลับกล้าปล่อยสุนัขมาขู่ขวัญเขา
“ไปสอบถามในหมู่บ้านมา คนครอบครัวนี้มีความเป็มาอย่างไร” จางเฉิงหย่วนชี้ไปที่ผู้ติดตามคนหนึ่งพร้อมออกคำสั่ง
ผู้ติดตามรับคำแล้วจากไปทันที
“โธ่เอ๋ย พี่จาง แค่แม่นางตัวเล็กผู้หนึ่งเท่านั้นเอง เหตุใดท่านต้องถือสานางด้วย” ในหัวใจหงซื่อเจี๋ยมักมีความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผาต่อแม่นางน้อยที่รูปโฉมงดงามอยู่เสมอ
“เหอะ หญิงสาวที่ไม่รู้จักควบคุมสภานการณ์ในการเล่นตัว ก็ต้องให้นางได้รู้ถึงความร้ายแรงสักหน่อย อาศัยว่าหน้าตางดงามก็ทำท่าทางยึดมั่นในคุณธรรมล้ำเลิศ สาวงามที่ข้าเคยพบมีมากมาย การยึดมั่นที่เสแสร้งจอมปลอมเช่นนี้ของนาง ช่างทำให้คนรังเกียจที่สุด” จางเฉิงหย่วนเชิดศีรษะขึ้นสูงอย่างเหยียดหยาม
“ใช่แล้วๆ พี่จางเคยอยู่ท่ามกลางร้อยพุ่มบุปผา สาวงามแบบไหนก็ล้วนหลบหนีสายตาท่านไปไม่ได้ ครั้งนี้พวกเราออกมาข้างนอกมิใช่เพื่อผ่อนคลายอารมณ์หรอกหรือ คลายความโมโหลงเถอะ อีกเดี๋ยวกลับไปในอำเภอ ไปหอหมื่นบุปผากัน เสี่ยวตี้เป็เ้ามือเองจะเรียกแม่นางไป่เหอที่คอยปรนนิบัติครั้งก่อนมา ไม่ใช่ว่าท่านค่อนข้างชื่นชอบนางมากหรือ” หงซื่อเจี๋ยกล่าวประจบเอาใจ
จางเฉิงหย่วนมองหงซื่อเจี๋ยแวบหนึ่งด้วยความพึงพอใจ เ้าหมอนี่ดวงตาช่างมีแววนัก ในเมืองที่เป็อำเภอมีคนเอาใจเขามากมายเพียงนั้น นับว่าเ้าหมอนี่รู้จักทำให้เขาพอใจที่สุด ลงมือทำอะไรก็ใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อยอีกด้วย
พวกเขายืนอยู่หน้าประตูบ้านสกุลหู เด็กที่เตรียมเข้าเรียนทยอยเดินผ่านไป ต่างล้วนมองพินิจพิเคราะห์พวกเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“พี่จาง ข้าเห็นว่าทางนั้นมีศาลาหลังหนึ่ง พวกเราไม่สู้ไปพักผ่อนที่นั่นกันดีกว่าหรือ” หงซื่อเจี๋ยเห็นว่ากว่าสีหน้าของเขาจะดีขึ้นได้ไม่ง่ายเลย จึงรีบชี้ไปที่ศาลาริมฝั่งแม่น้ำอย่างกระตือรือร้น
จางเฉิงหย่วนเห็นเด็กที่เดินผ่านไปมาต่างก็จ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น คิ้วของเขาจึงขมวดขึ้นฉับพลัน สถานที่ชนบทแห่งนี้ แม้แต่เด็กก็ไม่มีความรู้ไม่ได้รับการสั่งสอนทั้งสิ้น
เขาก้าวไปทางศาลา
คนหนึ่งขบวนรีบตามไปทันที
เจินจูยืนอยู่หลังประตูเพื่อฟังพวกเขาสนทนากัน และรอจนพวกเขาจากไป
คนพวกนี้้าทำอะไรกันแน่?
นางขมวดคิ้วเป็ปมแน่น พร้อมกับกังวลใจเื่เสี่ยวจิน
“ท่านพี่ ท่านมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?” ผิงอันนอนอยู่พักหนึ่ง และตื่นขึ้นเพื่อเตรียมไปเข้าเรียน
“ไม่มีอะไร เ้าไปเข้าเรียนก่อนเถอะ” เจินจูดึงประตูลานบ้านเปิดออกให้ผิงอันออกไป
นางจงใจมองไปทางศาลาแวบหนึ่ง ในใจเกิดความคิดขึ้น
หลังจากปิดประตูหน้า นางจึงวิ่งไปหลังบ้านแล้วดึงประตูหลังให้เปิดและวิ่งไปตามทางเส้นเล็กข้างูเา
นางแอบยินดีอยู่ในใจ ที่ตอนแรกได้ตัดสินใจปลูกต้นไผ่เรียงเป็แถวหนึ่งผืนด้านหลังโรงเรียน เพราะยามนี้สามารถบังกายของนางได้พอดี
เจินจูเดินย่องด้วยปลายเท้าและก้มตัวลง ค่อยๆ เข้าไปใกล้ยังทิศทางของศาลาด้วยความระมัดระวัง
แม้ในป่าไผ่จะห่างจากศาลาอยู่บ้าง แต่ความสามารถในการได้ยินของนางดี ยังไม่ทันเดินเข้าใกล้บริเวณที่ใกล้ที่สุด การสนทนากันของพวกเขาก็แว่วมาเข้าหูนางแล้ว
“พี่จาง องค์ไท่จื่อชื่นชอบเครื่องลางจากสัตว์มงคล หากพวกเราจับอินทรีั์สีทองตัวนั้นถวายขึ้นไป นั่นต้องเป็ผลงานชิ้นใหญ่แน่นอน” เสียงของหงซื่อเจี๋ยมีความเบิกบานแฝงอยู่
“องค์ไท่จื่อชื่นชอบสัตว์ปีกเหล่านี้นัก ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวมีลานบ้านพักแห่งหนึ่งเอาไว้เลี้ยงสรรพสัตว์มากมาย ไท่จื่อไปชมเล่นอยู่บ่อยๆ อินทรีั์ตัวนี้ดูดุดันน่าเกรงขามกว่าพวกเหยี่ยวพวกอีแร้งในบ้านพักพวกเขามากนัก องค์ไท่จื่อจะต้องชื่นชอบแน่” จางเฉิงหย่วนน้ำเสียงมีความมั่นใจ
“เช่นนั้นก็พอเป็ไปได้ รอให้จับได้สำเร็จ พอพี่จางถวายสัตว์ขึ้นไปได้คุณงามความดีแล้ว อย่าลืมเสี่ยวตี้นะ”
“ฮ่าๆ เ้าวางใจ ไม่มีทางขาดความดีของเ้าไปได้อย่างแน่นอน”
เวรเอ๊ย... คิดจะจับเสี่ยวจินจริงด้วย ความฉุนเฉียวในหน้าอกของนางเพิ่มมากขึ้น มารดามันเถอะ เด็กน้อยที่เจ้เลี้ยงมาอย่างยากลำบากจนโต พวกเ้าพอมาถึงก็คิดจะฉกฉวยไป ดูสิว่าเจ้จะจัดการพวกเ้าอย่างไร
เจินจูฝืนระงับความโมโหอย่างรุนแรงไว้ และสืบข่าวจากการพูดคุยของพวกเขาต่อ
คนติดตามที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวกลับมารายงาน
“เป็ครอบครัวชาวนาที่กำเนิดและเติบโตอยู่ที่หมู่บ้านวั้งหลิน ไม่กี่ปีก่อนชีวิตความเป็อยู่ยังผ่านไปได้อย่างยากจนมาก ในเวลาสามสี่ปีก็กลายมาเป็ครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตที่สุดในหมู่บ้าน ทุกปีล้วนทำการค้าขายกับโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงที่เมืองไท่ผิง แล้วยังคุ้นเคยกันเป็อย่างดีกับเ้าของร้านหลิวของฝูอันถัง เป็ผู้ร่ำรวยที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมที่สุดในบริเวณสิบลี้แปดหมู่บ้านขอรับ”
“สือหลี่เซียง? ไม่ใช่ธุรกิจของตระกูลอาสะใภ้เล็กหรือ? นึกไม่ถึงเลยว่าสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์กัน” จางเฉิงหย่วนเงียบไปเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นก็ถามขึ้นมาอีก “แล้วทำไมถึงมีความเกี่ยวข้องกับฝูอันถังได้?”
“ได้ยินมาว่า สกุลหูมีพื้นที่เลี้ยงกระต่าย คุณชายของฝูอันถังชอบทานเนื้อกระต่ายมาก มักมาซื้อกระต่ายที่บ้านพวกเขาเป็ประจำ จึงมีการติดต่อกันขึ้นขอรับ” ผู้ติดตามตอบด้วยความนอบน้อม
“คุณชายของฝูอันถัง? ไม่ใช่กู้ฉีหรอกหรือ เขาชอบทานกระต่าย? รสนิยมช่างไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ มิน่าเล่าที่ครั้งก่อนเขามาปรากฏตัวอยู่บริเวณหมู่บ้านนี้ ดูท่าจะคุ้นเคยกันเป็อย่างมากกับสกุลหู” จางเฉิงหย่วนกล่าวพึมพำเบาๆ
“ที่แท้สกุลหูนี่ก็ทำการค้ากับอาสะใภ้ของท่านนี่เอง กล่าวกันขึ้นมาแล้วก็นับเป็น้ำท่วมถล่มวัดาาั [1] ฮ่าๆ พี่จาง ท่านก็อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย” หงซื่อเจี๋ยหัวเราะขึ้น
“เหอะ!” จางเฉิงหย่วนพ่นเสียงเย็นออกมาหนึ่งที สุดท้ายก็ไม่ได้หาเื่วุ่นวายต่อไปอีก
“ข้าเห็นว่าอินทรีั์ตัวนั้นคล้ายกับบินออกมาจากป่าหงเฟิงแห่งนี้ พรุ่งนี้พวกเรานำกำลังคนและเครื่องมือมาวางกับดักบนยอดเขาสักรอบ และจับเป็อินทรีั์กลับไป คุณความดีของพี่จางก็ถูกรับไว้เรียบร้อย” หงซื่อเจี๋ยย้อนหัวข้อสนทนากลับไปที่อินทรีั์
“อื้ม อินทรีั์ที่ดูน่าเกรงขามเช่นนี้เกรงว่าจะจับเป็มาไม่ง่ายเลย ต้องหาคนทำตาข่ายใหญ่โดยเฉพาะ ขอแค่คลุมตาข่ายใส่มันไว้ได้ก็จัดการไม่ยากแล้ว”
“พี่จาง ท่านวางใจ บริเวณเทือกเขาไท่หางมีนายพรานที่จับพวกเหยี่ยวพวกอีแร้งโดยเฉพาะ ข้าจะไปหาพวกเขา ต้องสามารถจับอินทรีั์กลับมาได้แน่”
“ฮ่าๆ เยี่ยมๆ เช่นนั้นต้องรอดูเ้าแล้ว!”
“ได้เลย เสี่ยวตี้จะไม่ทำให้พี่จางผิดหวังอย่างแน่นอน!
“…”
หลังจากนั้น เนื้อหาการสนทนาของพวกเขาก็เปลี่ยนไปที่แม่นางไป่เหอของหอหมื่นบุปผา
เจินจูฟังคร่าวๆ พบว่าไม่มีเนื้อหาอะไรที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงเขย่งปลายเท้าเดินจากไป
กระทั่งนางกลับมาถึงในบ้าน สีหน้าก็ครึ้มลงอย่างหยุดไม่ได้
ปกติแล้วเสี่ยวจินจะอยู่ที่นี่่เวลาเที่ยง บินมาจากหลังเขาซิ่วซีเข้าสู่บ้านสกุลหู เมื่อกินอาหารกลางวันแล้วก็จะเล่นอยู่พักหนึ่ง และบินวนเวียนเหนือหมู่บ้านวั้งหลินอยู่สองสามรอบจึงกลับเข้าป่าเขา แต่เว้นไปสามวันห้าวัน ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดมันจะจับกวางป่าหรือแพะป่าหนึ่งตัวทิ้งลงมาในลานบ้านสกุลหู พักอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับไป
เวลาอย่างตอนนี้ จะให้เสี่ยวจินมาและบอกกล่าวตักเตือน คงทำไม่ง่ายแล้ว
“เจินจู เป็อะไรไป ทำไมสีหน้าดูไม่ได้เช่นนี้?” หลี่ซื่อจูงซิ่วจูออกมาจากห้องส้วม เห็นบุตรสาวคนโตยืนอยู่ใต้ชายคาด้วยสีหน้าอึมครึม
“อ๊ะ อ้อ… ท่านแม่ ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อยเองเ้าค่ะ” เจินจูฉีกยิ้มขึ้น กล่าวออกไปทันทีโดยไม่ได้คิด
หลี่ซื่อจูงซิ่วจูเดินใกล้เข้ามา ยื่นมือออกไปคลำหน้าผากของนาง ไม่ได้เป็ไข้ “วันน้อยๆ [2] มา แล้วไม่สบายหรือเปล่า?”
เจินจูใบหน้าหยุดชะงัก รีบกล่าวปฏิเสธ “เปล่านะๆ”
“ผ้าฝ้ายในบ้านล้วนวางอยู่ในตู้ข้างเตียง หากเ้า้าใช้ก็ไปหยิบเองได้เลย” หลี่ซื่อกำชับ
“เ้าค่ะๆ ข้าทราบแล้ว” เจินจูเส้นดำเต็มศีรษะ รีบหมุนกายกลับเข้าไปในห้อง
นับั้แ่รู้ว่านางใช้ผ้าฝ้ายมาทำผ้าอนามัย หลี่ซื่อก็ต่อว่านางว่าใช้ของสิ้นเปลือง แต่ก็ยังซื้อผ้าฝ้ายมาวางตุนไว้ในห้อง ต่อมาหลี่ซื่อเคยลองใช้อยู่สองสามครั้งด้วยความอยากรู้ นับจากนั้นจึงไม่ตุนขี้เถ้าอีกเลย
เมื่อถูกหลี่ซื่อกล่าวเื่อื่นแทรกขึ้นมาเช่นนี้ เจินจูจึงไม่ได้กังวลใจเพียงนั้นแล้ว
นางนั่งลงบนขอบเตียงพลางครุ่นคิดพิจารณาถึงวิธีการและความเป็ไปได้แต่ละอย่าง
จู่ๆ ดวงตาของนางก็เป็ประกายขึ้น ทำไมถึงลืมของสิ่งนี้ไปได้นะ
เจินจูวิ่งไปหน้าประตูไม่กี่ก้าว สลักประตูห้องลง
หลังจากนั้นปรากฏกายเข้าไปในมิติช่องว่าง
มุมหนึ่งของที่นาสมุนไพร มีพืชยืนต้นสูงใหญ่หนึ่งต้น ช่อดอกแสนสวยดอกใหญ่ผลิบานเต็มไปหมด กลีบดอกสีชมพูห้อยคว่ำเป็รูปแตร นั่นคือต้นม่านถัวหลัว [3]
นี่คือสิ่งที่นางค้นพบบนูเาด้านหลังก่อนหน้านี้ ม่านถัวหลัวเป็พืชที่ทำให้เกิดการหลอนประสาท ทั้งต้นล้วนมีพิษ นางเคยเห็นม่านถัวหลัวหลายชนิดในตลาดที่ขายดอกไม้และนก ม่านถัวหลัวสีชมพูชนิดนี้ มีกิ่งก้านและใบเจริญงอกงาม ช่อดอกงดงาม ตอนที่นางพบมันในป่า ความสูงยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของกายนางเลย พอย้ายเข้ามาปลูกในมิติช่องว่าไม่นาน ระดับความสูงก็เติบโตไปถึงนางสองคนต่อตัวกันแล้ว
เดิมทีคิดเพียงว่าจะใช้ม่านถัวหลัวเป็ส่วนผสมหลักในการทำยาเลอะเลือนสติ พอตอนนี้ย้อนกลับไปคิดให้ละเอียด พบว่าฤทธิ์ที่ทำให้หลอนประสาทของม่านถัวหลัวก็รุนแรงมากเช่นกัน
หึๆ อยากจับเสี่ยวจินของนางหรือ ไปจับเอาในฝันเถอะ
นางเด็ดดอกม่านถัวหลัวเจ็ดถึงแปดดอกด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นปรากฏกายออกจากมิติช่องว่าง
เปิดประตูห้องวิ่งไปในครัว ยกครกตำกระเทียมออกมาจากในตู้เก็บของ เริ่มตำดอกม่านถัวหลัวให้ละเอียด
ตามที่กล่าวกันมา กลิ่นของม่านถัวหลัวหากสูดดมมากไป ความร้ายแรงของพิษล้วนทำให้คนสติรางเลือนได้ นางต้องระมัดระวังเล็กน้อย
มือสองข้างของเจินจูจับครกไว้แน่นพร้อมตำ ทว่าศีรษะกลับเอนเอียงไปด้านหลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางยื่นศีรษะมองเล็กน้อย ไม่เลว ตำจนน้ำออกมาได้ไม่น้อยเลย
ประคองครกกลับเข้าไปในห้องของนาง หาขวดเครื่องปั้นดินเผาใบเล็กออกมาหนึ่งใบ
นี่เป็น้ำหอมดอกกุ้ยฮวาของปีที่แล้ว ที่โหยวอวี่เวยส่งมาให้นางจากเมืองหลวง น้ำหอมดอกกุ้ยฮวากลิ่นเข้มข้นเกินไป นางไม่ค่อยชื่นชอบสักเท่าไร เลยให้หลี่ซื่อนำไปใช้
หลี่ซื่อชื่นชอบเป็อย่างมาก น้ำหอมดอกกุ้ยฮวาหนึ่งขวดเล็ก ใช้ไปครึ่งค่อนปีถึงจะหมด
สุดท้ายเหลือเพียงขวดเครื่องเคลือบดินเผาใบเล็กที่ว่างเปล่า นางถึงคืนให้กับเจินจู
สามารถนำมาใส่น้ำและเศษของกลีบดอกที่ตำจนแหลกของม่านถัวหลัวได้พอดี
เจินจูเทของเหลวด้วยความระมัดระวัง ได้มาไม่มากนัก เมื่อใส่ลงไปแล้วมีปริมาณเพียงก้นขวดเท่านั้น
แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานครั้งนี้
เจินจูยิ้มอย่างลำพองใจ พืชหลอนประสาทที่พัฒนาเพิ่มความรุนแรงขึ้นมากกว่าของเดิมอย่างมาก นางไม่ได้้าชีวิตน้อยๆ ของจางเฉิงหย่วนผู้นั้น แค่ปล่อยใส่เขา ทำให้สติลางเลือน หลอนการได้ยินและการมองเห็นไปสักสองสามวัน ตลอดทั้งวันจนถึงเย็นจะได้ไม่มีพลังงานล้นเหลือและเที่ยวหาเื่ไปทั่ว รอให้นางกำชับเสี่ยวจินดีเสียก่อนว่า่นี้ให้มันอย่ามาที่หมู่บ้านวั้งหลินในตอนกลางวัน หลังจากนั้นหากพวกเขาจะมาอีก นางก็คร้านที่จะจัดการแล้ว
เหอะ เจ้ไม่มีอมยิ้มฟั่นเฟือนครึ่งก้าว [4] แต่เจ้มียาเคลิ้มอยู่ในภวังค์ทำให้เกิดการหลอนประสาท ฮ่าๆ ปัญหาตอนนี้ก็คือจะวางยาเขาอย่างไรดี
เจินจูวางขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กลงเรียบร้อย เดินออกจากประตูห้อง นางวิ่งไปถึงหน้าประตูลานบ้าน ดึงเปิดออกเป็ซอกเล็กๆ และมองไปทางศาลา เป็ไปตามคาด พวกเขาจากไปแล้วจริงๆ
หลังจากปิดประตูเรียบร้อยก็กลับไปภายในห้อง เกาศีรษะเบาๆ พร้อมครุ่นคิด
ให้นางไปอำเภอเจิ้นอันด้วยตัวเองก็เป็ไปไม่ได้เท่าไรนัก เพราะต่อให้นางไปแล้วก็ต้องเหาะขึ้นหลังคาไต่กำแพงได้ด้วย
วิธีการเหนือชั้นเช่นนี้ ต้องให้ชาวยุทธ์ผู้มีฝีมือสูงส่งในระดับสูงมาดำเนินการสิถึงจะเหมาะสม
อาจารย์ฟางเสิงและศิษย์ของเขาทานเนื้อกวางและเนื้อแพะของเสี่ยวจินมากมายเพียงนั้น ต้องตอบแทนสักหน่อยใช่ไหมเล่า
เจินจูมองสีท้องฟ้า วิชา่บ่ายน่าจะพอสมควรแล้ว
นางซ่อนขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กแล้วเดินไปทางโรงเรียนสอนการต่อสู้
ในกำแพงลานบ้าน มีเสียงปลดปล่อยลมหายใจในการฝึกการต่อสู้ของเด็กๆ ดังขึ้นไม่ขาดสาย เจินจูอ้อมผ่านประตูใหญ่และเดินเข้าไปจากประตูด้านข้าง
เดิมทีเ้าเหมาฉิวที่แสนซื่อมักนอนเกลือกกลิ้งอยู่ใต้ชายคา พอเห็นนางเข้ามาจึงรีบส่ายหางโผเข้าไปอย่างรวดเร็วทันที
ฟางเสิงกับอาชิงพากันหันมามอง นางจึงทักทายพวกเขาด้วยการหัวเราะ
อาชิงพูดคุยกับฟางเสิงเล็กน้อย แล้วจึงเดินออกมา
“พี่เจินจู ท่านมาได้อย่างไร? มีเื่อะไรหรือ?”
“อยากให้พวกเ้าช่วยอะไรสักหน่อย”
เจินจูหันไปยิ้มอย่างลึกลับทางเขา หลังจากนั้นอุ้มเหมาฉิวขึ้นพร้อมกับแสดงเจตนาให้เข้าไปพูดคุยกันที่ห้องโถง
เชิงอรรถ
[1] น้ำท่วมถล่มวัดาาั หรือ 大水冲了龙王庙 หมายถึง หลังจากสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกัน แล้วพบว่าทั้งสองได้มีความเกี่ยวพันกันเล็กน้อย สามารถเป็เพื่อนกันได้ ความขัดแย้งที่เคยมีมาจึงมลายไป
[2] วันน้อยๆ คือ ประจำเดือนของผู้หญิง
[3] ม่านถัวหลัว คือ ดอกลำโพง เป็ไม้ล้มลุก ดอกมีหลายสี ใช้เป็สมุนไพรได้และในขณะเดียวกันก็มีพิษร้ายแรง
[4] อมยิ้มฟั่นเฟือนครึ่งก้าว คือ พิษแปลกประหลาดอย่างหนึ่งในเื่เล่า ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เื่ ‘ถังไป่หู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ’ (唐伯虎点秋香)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้