“ท่านแม่ ข้าไม่อยากได้ แต่หลงจู๊ยัดใส่มือข้า” หวังเลี่ยงก้มหน้าต่ำ รู้สึกว่าตนก็เป็ฝ่ายผิดเช่นเดียวกัน
หวังจื้อคลำๆ ศีรษะของตน “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรรับหมี่ฮวาถัง”
หลิวซื่อถลึงตาจ้องบุตรชายสองคนอยู่หลายที นางเอ่ยด้วยความโมโหต่อหน้าหลานสาวทั้งสามคน “ข้าพูดกี่ครั้งแล้ว เป็คนจนแต่ต้องเข้มแข็งและยืนหยัดอย่างทระนง ไม่อาจรับเอาของผู้อื่นไปเปล่าๆ จะทําให้คนดูถูกพวกเราได้”
แววตาของหลี่ชิงชิงที่มองหลิวซื่อมีความเคารพมากขึ้นหนึ่งส่วน
ผู้เฒ่าหวังผู้มีใบหน้าเหลี่ยมดำคล้ำดวงตาเป็ประกาย เขารอให้ภรรยาสั่งสอนบุตรชายทั้งสองคนเสร็จก่อนเอ่ยขึ้น “ลูกสะใภ้สาม เข้าไปคุยกันที่ห้องโถงสักหน่อยเถิด”
หลายวันมานี้เขาคิดอยู่ตลอดว่า จะแยกครอบครัวของหวังจื้อออกไปเพื่อลดภาระในครอบครัวลง หวังเฮ่าสามีภรรยาที่เป็บุตรชายแท้ๆ จะได้สามารถเก็บเงินได้บ้าง เช่นในตอนนี้ที่เซียงเยวี่ยไจ้าซื้อสูตรไข่เค็มของหลี่ชิงชิงภรรยาหวังเฮ่าสิบตำลึงเงิน เช่นนี้คิดอยากจะได้อะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ
“ไป เข้าไปหารือที่ห้องโถง” หลิวซื่อใช้สายตาห้ามจางซื่อที่หยัดกายยืนขึ้นหมายจะตามเข้าไปด้วย
ณ ห้องโถงหลัก ทั้งห้าคนนั่งล้อมรอบโต๊ะแปดเซียน
หวังจื้อเพิ่งถูกหลิวซื่อต่อว่ามา สีหน้าจึงดูหดหู่เซื่องซึม
หวังเลี่ยงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีสีหน้าใดๆ และไม่กล้ากินหมี่ฮวาถังต่อหน้าหลิวซื่ออีก
สายตาของผู้เฒ่าหวังที่มองหลี่ชิงชิงราวกับมองเทพเ้าแห่งความมั่งคั่ง ปากใหญ่ยิ้มไม่หุบแล้วเอ่ยขึ้น “ลูกสะใภ้สาม เ้าคงจะตกลงขายสูตรไข่เค็มกระมัง”
“ข้าไม่ตกลงเ้าค่ะ”
ครั้นได้ยินคําตอบของหลี่ชิงชิง ทั้งสี่คนรวมถึงหวังจื้อที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจพร้อมกันว่า “ว่าอย่างไรนะ เ้าไม่เห็นด้วยที่จะขาย?”
“สิบตำลึงเงินน้อยไปเ้าค่ะ” ราคาที่ตั้งไว้ในใจของหลี่ชิงชิงคือสามสิบตำลึง
“ชิงชิง สิบตำลึงเงินไม่น้อยแล้วจริงๆ” หลิวซื่อพูดจาเถรตรงและยังเสียงดัง “สินสอดทองหมั้นที่หวังเฮ่าตบแต่งเ้าเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอที่จะแต่งงานกับเ้าได้สองรอบแล้ว”
“ลูกสะใภ้สาม พวกเราเป็เพียงตระกูลครอบครัวชาวนาเล็กๆ ที่ขาเปื้อนโคลนตม สินสอดทองหมั้นแต่งภรรยาห้าตำลึงเงินไม่น้อยจริงๆ” ผู้เฒ่าหวังยื่นเท้าออกไปเตะขาของหลิวซื่อใต้โต๊ะแปดเซียนหนึ่งที คำพูดของยายแก่ไม่น่าฟังจริงๆ อะไรที่เรียกว่า “แต่งงานกับเ้าสองรอบ” นี่จะไม่ทําให้หลี่ชิงชิงเข้าใจผิดคิดว่า หวังเฮ่า้าแต่งภรรยาสองครั้งหรอกหรือ?
“อ้อ ข้าหมายความว่าเงินสิบตำลึงไม่น้อยเลยจริงๆ เยอะมาก” หลิวซื่อเอ่ยอย่างตื่นเต้นเต็มประดา “สิบตำลึงเงินสามารถซ่อมแซมบ้านสามแถวของพวกเราได้ ซื้อเครื่องเรือน แล้วยังมีเงินเหลือ”
บ้านของตระกูลหวังเป็บ้านหลังคามุงจาก วัสดุที่ใช้สร้างบ้านนอกจากคานบ้านและค่าแรงงานแล้ว ที่เหลือล้วนไม่ต้องเสียเงิน
น้ำเสียงของหวังจื้อสั่นเล็กน้อย “น้องสะใภ้ เงินมากมายขนาดนี้เ้าว่าน้อยไปหรือ?”
เขามีชีวิตอยู่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว เงินทั้งหมดที่หามาได้นับรวมกันแล้วมีไม่ถึงสิบตำลึง เขาช่างเป็คนที่ไร้ประโยชน์จริงๆ
“พี่สะใภ้สาม เงินเดือนทหารของพี่สามในค่าย หนึ่งเดือนเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญทองแดง ต่อให้ไม่ใช้สักเหรียญทองแดง ก็ยังต้องเก็บออมอยู่หลายปีถึงจะได้สิบตำลึงเงิน พี่สะใภ้สาม ไข่เค็มสามารถขายทำเงินได้ แต่บ้านเราหาซื้อไข่เป็ดมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ใช้เวลาสองเดือนถึงทําไข่เค็มได้หลายร้อยฟอง พี่สะใภ้สาม โอกาสนี้มิได้หาได้ง่ายๆ หากว่าผ่านไปสองวันเซียงเยวี่ยไจเปลี่ยนใจไม่ซื้อสูตรแล้วจะทำอย่างไรขอรับ?” หวังเลี่ยงเอ่ยไม่หยุด ครั้นเห็นว่าหลี่ชิงชิงไม่มีสีหน้าใดๆ เขาก็เกาหูเกาแก้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หลี่ชิงชิงย่อมรู้ถึงความหวังดีของคนในครอบครัว จึงเอ่ยอธิบายว่า “หากข้าขายสูตรไข่เค็ม ต่อไปพวกเราจะไม่อาจขายไข่เค็มได้อีก ข้าวางแผนหาเงินจากพริกสับดอง และไปรับซื้อไข่เป็ดจํานวนมากที่เมืองเซียง รอใกล้ถึงวันปีใหม่ก็จะไปขายไข่เค็มที่เมืองเซียง นี่สามารถทําเงินได้ไม่น้อยเ้าค่ะ”
เมืองเซียงอยู่ห่างจากหมู่บ้านหวังห้าสิบกว่าลี้
เป็เมืองที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณรอบนอกหลายร้อยลี้ของเมืองเซียง และยังเป็เมืองที่ใหญ่เป็สิบอันดับแรกของแคว้นต้าถัง มีจำนวนประชากรสี่ถึงห้าแสนคน การค้าเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างยิ่ง
ที่นั่นย่อมหาซื้อไข่เป็ดจำนวนมากได้แน่นอน
หลี่ชิงชิงตั้งใจจะหารายได้ก้อนใหญ่จากไข่เค็มก่อนเทศกาลปีใหม่ หลังจากนั้นพอไข่เค็มของตระกูลหวังมีชื่อเสียงในพื้นที่แล้ว ย่อมมีคนเลี้ยงเป็ดและพ่อค้ามาขายไข่เป็ดและซื้อไข่เค็มถึงหน้าบ้านเป็แน่
ด้วยวิธีเช่นนี้ไข่เค็มก็จะกลายเป็แหล่งสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
กำไรระยะยาวเช่นนี้ จะให้ขายด้วยเงินเพียงสิบตำลึงเงินได้อย่างไร?
จางซื่อที่หน้าท้องยื่นออกมายืนอยู่ตรงลานหน้าบ้านไม่ไกลจากห้องโถง ทอดมองฝูงไก่ที่จิกกินแมลงอยู่ข้างกําแพงรั้ว ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่สงบอย่างยิ่งขึ้นมา
หากนางเป็หลี่ชิงชิงก็คงจะดี ภายในเวลาอันสั้นก็มีเงินสิบตำลึงแล้ว ไม่ต้องมาคอยกังวลเื่การเลี้ยงดูบุตร
์ หากว่านางเฉลียวฉลาดเช่นหลี่ชิงชิงก็คงดี
ในบ้านเกิดเื่ใหญ่ขนาดนี้ขึ้น หวังจวี๋ก็ดีใจแทนหลี่ชิงชิงยิ่งนัก และยิ่งเลื่อมใสในตัวนางเพิ่มมากขึ้น “พี่สะใภ้สามเก่งจริงๆ เ้าค่ะ”
หวังพั่นตี้รู้ความบ้างแล้ว นางรู้ว่าเงินมีค่ามาก หากอาสะใภ้สามหาเงินได้มากขนาดนี้จริงๆ ชีวิตความเป็อยู่ของคนในบ้านก็จะดียิ่งขึ้น นางจะได้กินเนื้อแล้วใช่หรือไม่ อืม ไม่มีเนื้อสัตว์ ได้กินไข่ก็ยังดี
ตระกูลหวังขายไข่เค็มหลายร้อยฟอง ครอบครัวพวกเขาได้กินเพียงคนละครึ่งฟองเท่านั้น หวังพั่นตี้ยังคงจดจำรสชาติอันโอชะของไข่เค็มได้อย่างเด่นชัดในความทรงจำ
หวังพั่นตี้น้ำลายไหลอีกแล้ว
พวกนางมิรู้ว่าหลี่ชิงชิงไม่ได้ตอบตกลงขายสูตรไข่เค็ม
สิ่งที่หลี่ชิงชิงได้ตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ
ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยามีอุปนิสัยดี ไม่มีทางข่มเหงรังแกหลี่ชิงชิง ผู้เฒ่าทั้งสองเอ่ยโน้มน้าวอยู่หลายที แต่เมื่อเห็นว่าหลี่ชิงชิงไม่เห็นด้วย พวกเขาจึงได้แต่ทอดถอนใจยาวๆ
หวังจื้อไม่ออกความเห็น เคารพการตัดสินใจของหลี่ชิงชิง
หวังเลี่ยงถูกคำพูดของหลี่ชิงชิงทำให้ลังเล “พี่สะใภ้สามอาจกล่าวได้ถูกต้อง”
ต่อมาคือการคิดบัญชี ข้าวปั้นผักสี่ร้อยกว่าก้อนขายได้เงินถึงเก้าร้อยหกสิบแปดเหรียญ ขายได้เงินมากกว่าพริก และขายง่ายกว่าไข่เค็มเสียอีก
ริมฝีปากของผู้เฒ่าหวังและหลิวซื่อยิ้มจนแทบปิดไม่ได้แล้ว ความหดหู่เมื่อสักครู่ที่หลี่ชิงชิงไม่ยอมตกลงขายสูตรไข่เค็มหายไปหมดสิ้น
ผู้เฒ่าหวังกล่าวอย่างมีความสุข “ลูกสะใภ้สาม ดูเอาเถิด ข้ากล่าวได้ถูกหรือไม่ วันนี้หาเงินจากการขายข้าวปั้นผักได้”
หลิวซื่อเอ่ยชมขึ้นมาอย่างตามตรง “ชิงชิงเฉลียวฉลาด ฝีมือการทําอาหารยังดีมาก ข้าวปั้นผักที่นางทําทั้งอร่อยแล้วยังดูดี”
ผู้เฒ่าหวังนับเงินสองร้อยเหรียญจากกองเหรียญทองแดงแล้วมอบให้หลี่ชิงชิง “ข้ากับแม่ของเ้าหารือกันระหว่างทางแล้ว ความคิดของเ้า ฝีมือของเ้า ดังนั้นมอบให้เ้าสองร้อยเหรียญทองแดง”
ต้นทุนของข้าวปั้นผักนั้นต่ำมากและได้กำไรเยอะ หากแบ่งกำไรคนละห้าส่วน จะต้องให้หลี่ชิงชิงสี่ร้อยกว่าเหรียญทองแดง
แต่เป็เพราะว่าตระกูลหวังมีสิ่งที่ต้องใช้จ่ายค่อนข้างมาก สองสามีภรรยาเฒ่าจึงตกลงกันว่ามอบให้หลี่ชิงชิงสองร้อยเหรียญทองแดง
หลี่ชิงชิงรับเหรียญทองแดงมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ให้หวังจื้อกับหวังเลี่ยงคนละหกเหรียญทองแดง แล้วยังให้หวังจวี๋อีกสามเหรียญทองแดง
“ขอบคุณพี่สะใภ้สามเ้าค่ะ” หวังจวี๋คิดไม่ถึงว่าเพียงหุงข้าวและก่อไฟก็ได้เงินแล้ว นางดีใจยิ่งนัก
หวังเลี่ยงเก็บเงินไว้อย่างดีด้วยความสำราญใจ ครั้นคิดอะไรบางอย่างได้ก็เอ่ยถามว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ตอนพวกข้าสองพี่น้องออกมาจากตัวอําเภอ เห็นพี่ใหญ่ที่ขายข้าวผัดสนทนากับพวกท่าน พวกท่านสนทนากันเื่ใดหรือ?”
ผู้เฒ่าหวังจําได้ดีจึงเอ่ยว่า “เขานามจางต้าหู่ เป็คนจากหมู่บ้านสือโถว จางต้าหู่เอาแต่จ้องข้าวปั้นผักของบ้านเราอยู่ตลอดเวลา ในใจคงโกรธที่บ้านเราแย่งลูกค้าเก่าของเขาไป”
แม้ว่าใบหน้าของจางต้าหู่จะไม่แสดงสีหน้าอันใด แต่ก็มิใช่คนโง่เขลา ผู้เฒ่าหวังคาดเดาความคิดของเขาได้
หลิวซื่อส่งเสียงเอ๊ะออกมาหนึ่งเสียง พลางมองไปที่ชายชรา “ตาเฒ่า เ้าว่าพรุ่งนี้จางต้าหู่จะทําข้าวปั้นผักหรือไม่?”
หวังเลี่ยงเอ่ยด้วยความโมโห “ดูจากแผลเป็บนใบหน้าแล้วเหมือนจะมิใช่คนดีอะไร เขาย่อมทําข้าวปั้นผักเลียนแบบบ้านเราเป็แน่”
หวังจื้อมองไปที่หลี่ชิงชิงด้วยความกังวลใจ พลางเอ่ยถาม “น้องสะใภ้ พรุ่งนี้พวกเราจะยังขายข้าวปั้นผักอีกหรือไม่?”
สิ่งที่คนตระกูลหวังไม่รู้ก็คือ จางต้าหู่ขายข้าวผัดเสร็จก็รีบรุดกลับบ้านโดยไม่ได้หยุดพัก และทำข้าวปั้นผักโดยแม้แต่ผักที่ใช้ก็ยังเป็แตงกวาและสลัดต้นออกมาถึงสองร้อยก้อนในคราเดียว
