“ค้นให้ทั่วเมือง ต้องจับเ้าเดรัจฉานตระกูลถังมาให้ได้!”
หลังจากถังเหล่ยออกไปเป็เวลาครึ่งก้านธูป ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนก็กรูเข้ามา ผู้ฝึกตนเ่าั้สวมเสื้อตระกูลตงฟางเหมือนกัน ส่วนผู้นำก็คือผู้ดูแลใหญ่ของตระกูลตงฟาง กูิหยวน
ภายใต้คำสั่งเดียว ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนก็กระจายกำลังออกไป
คนที่อ่อนแอที่สุดในผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็เป็ระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่เก้า ทั้งยังมีผู้ชำนาญยุทธ์อีกไม่น้อย
เมื่อกูิหยวนมาถึงโถงโรงประมูล ก็ปรี่มาที่หน้าตงฟางอวิ๋นเฟยเป็อันดับแรก เมื่อเขาเห็นตงฟางอวิ๋นเฟยที่ตัวอ่อนปวกเปียกราวกับสุนัขใกล้ตาย สีหน้ากูิหยวนก็เปลี่ยนไปทันที
กูิหยวนส่งปราณแท้สายหนึ่งไหลเข้าไปในร่างตงฟางอวิ๋นเฟย แล้วพบว่านอกจากเหลือเพียงลมหายใจเดียวแล้ว ทั้งร่างล้วนไม่มีส่วนไหนปกติ โดยเฉพาะแขนขาทั้งสี่ข้างที่ถูกหักไปแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้ตงฟางอวิ๋นเฟยกลายเป็ขันทีไปแล้ว
ถึงแม้ตงฟางอวิ๋นเฟยจะไม่อาจปลุกิญญายุทธ์ได้ และเป็ขยะขึ้นชื่อในเมืองอวิ๋นหลิว แต่อย่างไรก็เป็ถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลตงฟางที่มีหน้าที่แบกรับการสืบทอดสายเืตระกูลตงฟางต่อไป แต่หากเป็เช่นนี้คงหมดหวังเสียแล้ว
ข้างๆ ยังมีศพองครักษ์ที่ตระกูลจัดเตรียมให้เขาอีกสองศพ
เมื่อเช้ายังเห็นถังเหล่ยเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามอยู่นี่ ถ้ากล่าวว่าถังเหล่ยทุบตีตงฟางอวิ๋นเฟยที่ยังปลุกิญญายุทธ์ไม่ได้จนเป็เช่นนี้ก็พอฟังขึ้น แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าสองคนถูกสังหารเช่นนี้ได้อย่างไร? กูิหยวนไม่อาจทำใจเชื่อได้
อีกด้านหนึ่ง ในจวนตระกูลถังก็วุ่นวายเช่นกัน ถังจงเวยได้รับข่าวแล้วว่า ถังเหล่ยปรากฏตัวที่โรงประมูล พร้อมสังหารองครักษ์ตระกูลตงฟางไปสองคน ทั้งยังตีตงฟางอวิ๋นเฟยจนพิการ
“พี่ถังเหล่ยคงไม่เป็อันตรายกระมัง ท่านปู่พวกเรารีบพาเขากลับมาเถอะ!”
เมื่อถังเฟยได้ยินเื่ราวกล้าหาญของถังเหล่ยในใจพลันรู้สึกยินดี แต่ก็เริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของพี่ชาย
“ตระกูลตงฟางไม่ยอมเลิกราแน่ ถังเหล่ยกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงไปสร้างความบาดหมางกับตระกูลตงฟางใน่เวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้!”
ถังจงชิงทำหน้าตาบูดบึ้ง
ยามนี้หาใช่เวลาไปคิดว่าถังเหล่ยสังหารลูกน้องของตงฟางอวิ๋นเฟยได้อย่างไร พวกเขาเป็ห่วงว่าถังเหล่ยจะต้องตกอยู่ในอันตรายมากกว่า
“ต้องพาเหล่ยเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตแก่ๆ นี้ ข้าไม่ยอมให้ตระกูลตงฟางแตะต้องเหล่ยเอ๋อร์เด็ดขาด!”
ถังจงเวยก็กังวลความปลอดภัยของถังเหล่ยเช่นกัน พิษร้ายในร่างของเขาทำให้เหลือเวลาไม่มากแล้ว
แต่ตอนนี้อำนาจของตระกูลถังไม่เหมือนเมื่อก่อน ถังจงชิงจึงทำได้เพียงลอบส่งองครักษ์ตระกูลถังที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาออกไปสืบหาร่องรอยของถังเหล่ยในเมืองอวิ๋นหลิว
ทั้งเมืองอวิ๋นหลิวล้วนวุ่นวายเพราะชายหนุ่มคนเดียว แต่คนที่ทุกคนกำลังตามหานั้น กลับปรากฏตัวอยู่นอกเมืองอวิ๋นหลิวเสียแล้ว
ใบหน้าเยาว์วัยของชายหนุ่มคนหนึ่งซ่อนอยู่ใต้หมวกสานที่เดินออกจากประตูเมือง
ถังเหล่ยไม่แยแสว่ายามนี้ในเมืองอวิ๋นหลิวจะเป็เช่นไร เป้าหมายของเขาตอนนี้คือต้องรีบปรุงยาถอนพิษออกมาให้เร็วที่สุด
ถึงแม้ระดับพลังจะถดถอยมาถึงระดับผู้ฝึกยุทธ์ แต่เขายังมั่นใจในทักษะการปรุงยาของตัวเองมาก ขอเพียงมีวัตถุดิบเพียงพอ การปรุงยาถอนพิษระดับสองเม็ดหนึ่งก็ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
ตอนนี้เขาขาดเพียงแก่นอสูรระดับสองอีกแค่อันเดียว
เทือกเขาสัตว์อสูรอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ที่ไม่ไกลจากเมืองอวิ๋นหลิวนัก ในนั้นมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่นับไม่ถ้วน อีกทั้งยิ่งเข้าไปลึก พลังของสัตว์อสูรก็ยิ่งทรงพลัง
พลังของสัตว์อสูรระดับสามเทียบเท่าได้กับยอดฝีมือระดับผู้ทรงยุทธ์ของมนุษย์ พวกมันมีพร์มาก เชี่ยวชาญวิธีการต่างๆ และสติปัญญาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลย
ความจริงแล้วสัตว์อสูรระดับห้าก็สามารถกลายร่างเป็มนุษย์ได้ เพราะถังเหล่ยชาติที่แล้วก็เคยเจอกับสัตว์อสูรเช่นนี้มาไม่น้อย
ตอนนี้เป้าหมายของถังเหล่ยเป็เพียงสัตว์อสูรระดับสองที่เทียบเท่ากับมนุษย์ระดับผู้ชำนาญยุทธ์เท่านั้น
ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกที่ออกไปล่าสัตว์อสูรระดับสองก็ไม่ต่างอะไรกับส่งตัวเองไปตายอนาถ แต่พลังของถังเหล่ยตอนนี้มากถึงเจ็ดพันหกร้อยจิน ต่อให้เทียบผู้ชำนาญยุทธ์ขั้นที่หนึ่งด้วยพละกำลังเพียงอย่างเดียว ก็ยังไม่ใช่คู่มือของถังเหล่ย
เมื่อมาถึงเขตแดนของเทือกเขาสัตว์อสูร ท้องฟ้าก็เริ่มโพล้เพล้ ป่าสีดำที่ทอดยาวไร้สิ้นสุดนั้นดูคล้ายสัตว์อสูรั์ตัวหนึ่งที่พร้อมเขมือบผู้ที่บุกเข้าไปทุกเมื่อ
พลังิญญาของเทือกเขาสัตว์อสูรเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าในเมืองอวิ๋นหลิวเสียอีก ถ้าบ่มเพาะอยู่ที่นี่ต้องได้ผลเป็เท่าตัวแน่ แต่คงไม่มีผู้ใดยอมเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นที่นี่หรอก
เมื่อเข้ามาในเทือกเขา ถังเหล่ยก็เอาของที่เตรียมไว้ออกมา มีธนูคันหนึ่ง ลูกธนูหนึ่งกระบอก และกริชอีกหนึ่งเล่ม
ท้องฟ้ากำลังมืดลงอย่างรวดเร็ว ยามราตรีคือโลกของสัตว์อสูร ไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหว แต่ถังเหล่ยไม่มีเวลามาสนใจเื่เหล่านี้
เขาถือธนูเอาไว้แล้วะโขึ้นไปบนกิ่งไม้ ยามนี้ไม่เหมาะแก่การสังเกตการณ์ การรออยู่บนต้นไม้จะปลอดภัยที่สุด
จากนั้นถังเหล่ยก็ะโไปบนกิ่งไม้อีกต้นอย่างต่อเนื่อง ดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นฟ้าฉายเงาของเขาราวกับสายฟ้าสีดำที่เคลื่อนไหวในป่าอย่างไร้สุ้มเสียง
พระจันทร์เต็มดวงส่องแสง พื้นดินสว่างไสว แสงจันทร์ส่องผ่านแมกไม้กระทบผืนป่าที่โรยเต็มไปด้วยใบไม้
“ฟุ่บ”
เกิดเสียงทะลวงผ่านอากาศ เงาลูกศรสายหนึ่งพุ่งผ่านไป มีเสียงสัตว์อสูรล้มลงกับพื้นไม่ไกล
จากนั้นมีเงามืดปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างสัตว์อสูร กริชส่องประกายเย็นเยียบภายใต้แสงจันทรา
“โอ้ มีแก่นอสูรด้วย!?”
เมื่อเปิดศีรษะของสัตว์อสูรออก ถังเหล่ยก็ควักอัญมณีกึ่งโปร่งใสก้อนเท่าเล็บมือออกมา
นี่คือสัตว์อสูรระดับหนึ่งตัวหนึ่ง สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ปกติแล้วอาจจะต้องเปลืองแรงมาก แต่อย่างน้อยพลังลูกธนูของถังเหล่ยก็มีพลังถึงสามพันจิน ขึ้นคันธนูครั้งเดียวก็สังหารสัตว์อสูรได้ในดอกเดียว
ถังเหล่ยสังหารสัตว์อสูรไปห้าหกตัว ถึงพบแก่นอสูรเม็ดหนึ่ง ถ้าเป็ก่อนหน้านี้แก่นอสูรระดับนี้ในสายตาของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ ทว่าตอนนี้เขามองมันราวกับมองสมบัติ เมื่อได้มาเขาก็เช็ดมันจนสะอาด แล้วเก็บเข้าแหวนมิติ
“แก่นอสูรระดับหนึ่งปรุงยาถอนพิษระดับสองไม่ได้ ดูท่าคงต้องเข้าไปลึกกว่านี้อีก”
ถังเหล่ยะโไปบนต้นไม้ แล้วมุ่งหน้าเข้าไปลึกขึ้น ยิ่งเข้าไปลึกสัตว์อสูรที่พบเห็นก็ยิ่งเก่งกาจ สัตว์อสูรระดับสองตัวหนึ่งไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้ามีสองสามตัวก็มีแต่ต้องหนี
ส่วนลึกของเทือกเขามีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังเป็ระยะๆ เมื่อถังเหล่ยััิญญาที่อ่อนไหวกว่าคนทั่วไป ก็ััได้ว่ามีกลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับสามอยู่
การเคลื่อนไหวของเท้าแ่เบาลง สัตว์อสูรระดับสองจัดการยากกว่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งหลายสิบเท่า ถังเหล่ยทำได้เพียงโจมตีกะทันหัน ตอนที่พวกมันไม่รู้ตัวเท่านั้น ถึงจะจัดการได้อย่างรวดเร็ว
“เจอแล้ว!”
ภายใต้แสงจันทร์ส่อง สัตว์อสูรขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังก้มหน้ากินเนื้อสัตว์อสูรตัวอื่นอยู่ ดูท่านี่คือสัตว์อสูรที่เพิ่งล่าสำเร็จ
ถังเหล่ยซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เขามองไม่เห็นชนิดของมัน แต่ก็ประเมินระดับของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
นี่ต้องเป็สัตว์อสูรระดับสองแน่!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้