คนๆ นั้นโมโหแล้ว
ตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกขนานนามว่า “อสูรอัคคี” คนนั้นโมโหขึ้นมาแล้ว
หวังิชงรีบอธิบายทันทีว่า “ข้าน้อยพยายามหยุดมันสุดความสามารถแล้ว แต่ก็...”
“ท่านไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก” ชายในชุดฉางเผาสีดำพูดขัดขึ้น “เ้านายบอกแล้วว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สั่งให้ข้ามาช่วยเหลือท่านหรอก หลังจากที่เ้านายเสร็จสิ้นภารกิจแล้วเขาจะเดินทางไปแก้แค้นที่อาณาจักรชูอวิ๋นด้วยตัวเขาเอง!”
ค่อยยังชั่ว... ค่อยยังชั่ว
หวังิชงเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหัวตัวเองรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะจนอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มอย่างยินดี
คราวนี้อสูรอัคคีจะออกโรงเองแล้ว!
จะต้องเกิดการนองเืครั้งใหญ่ในอาณาจักรชูอวิ๋นเป็แน่
ตระกูลเวินนั่นเองก็ไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมที่จะต้องถูกทำลายล้างจนสิ้นตระกูลอย่างแน่นอน!
โดยเฉพาะไอ้หลินอี้นั่น รอบนี้มันไม่มีทางหนีรอดแน่!
หึหึหึ!
หลังจากนั้นหวังิชงที่อยู่ในการคุ้มครองของชายชุดดำทั้งสามคนก็ค่อยๆหายไปจากถนนโกบี บัดนี้ก้อนเมฆสีเืที่เต็มไปด้วยลางร้ายกำลังค่อยๆ เคลื่อนคล้อยจากราชอาณาจักรโล่ยื่อไปทางเมืองอวิ๋นเฉิงแล้ว
..................................
สามวันต่อมา หวังิชงที่อยู่ใต้การคุ้มกันของชายชุดดำทั้งสามที่เดินทางมาอย่างยาวนานก็ได้มาถึงเมืองขนาดมหึมาที่ไม่มีผู้ใดสามารถเจาะทะลวงเข้าไปได้
เมืองหลวงแห่งราชอาจักรโล่ยื่อ - เมืองฮุยยื่อ
นี่คือเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่บนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปชี่อู่ อีกทั้งยังเป็จุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่คึกคักมากที่สุดในบรรดาห้าราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้นี้ด้วย
ขนาดมีกำแพงเมืองอันองอาจที่มีขนาดสูงถึงสิบกว่าเมตรนั่นกั้นขวางเอาไว้อยู่ก็ตามแต่หวังิชงก็ยังคงสามารถััได้ถึงความคึกคักและความมีชีวิตชีวาภายในเมืองได้เลยเป็ความรู้สึกที่เกิดจากจำนวนประชากรของเมืองนี้ที่มีมากถึงสิบล้านคน
ตอนที่พวกเขากำลังเข้าเมืองนั้นทหารรักษาการณ์ประจำเมืองพอเห็นชายในชุดฉางเผาทั้งสามคนแล้วก็แสดงออกถึงความยำเกรงที่มีแต่พวกชายชุดดำทั้งสามอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ตรวจสอบหรือสอบถามอะไรเลยสักคำก็ปล่อยให้เข้าเมืองได้ทันที
และในตอนที่เกี้ยวของหวังิชงถูกชายชุดดำสองคนยกขึ้นอย่างง่ายดายเละเตรียมจะเดินทางเข้าไปในเมืองนั้นข้างๆ พวกเขาก็มีเสียงพูดน่าฟังของสาวน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น
“ท่านทหารคะ ข้าน้อยกลับเมืองมาเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้องนี่คือหนังสือยืนยันตนของข้าน้อยเอง โปรดท่านลองตรวจสอบดูค่ะ”
เสียงที่ดังขึ้นนี้ไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงร้องบรรเลงของภูตน้อยสำนวนวิธีการพูดก็ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน ทำให้หวังิชงอดไม่ได้ที่จะเลิกม่านขึ้นมาดู
ด้านข้างเขานั้นมีสาวน้อยที่กำลังสวมใส่อาภรณ์สีเหลืองอ่อนเอาไว้คนหนึ่งซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับแม่นางผู้นี้มาก
แต่หวังิชงยังไม่ทันได้ลองสังเกตดูดีๆ เกี้ยวของเขาก็เริ่มออกเดินทางมุ่งเข้าสู่ในตัวเมืองแล้ว
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาคิดเื่อนาคตของตัวเองในเมืองฮุยยื่อหลังจากนี้แทนแต่ในตอนที่เขากำลังก้าวข้ามประตูเมืองอยู่นั่นเองสาวน้อยรูปงามคนเมื่อครู่ก็หันหลังกลับไปหารถม้าของตัวเองแล้วจึงส่งเสียงเรียกชื่อๆ หนึ่งที่หวังิชงไม่คิดเลยว่าจะมาได้ยินในที่แห่งนี้
“ผู้าุโหลินคะ... เราเข้าเมืองได้แล้วค่ะ”
ผู้าุโหลิน
พอหวังิชงได้ยินคำๆ นี้ออกมาก็ใกลัวจนฉี่แทบเล็ด
ผ้าม่านของรถม้านั่นถูกเลิกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอันแสนคุ้นเคยอยู่ภายในนั้น นั่นคือใบหน้าที่ปลดหน้ากากออกแล้วของหลินหยางนั่นเอง
เขามองไปที่สาวน้อยพร้อมกลับแย้มยิ้มออกมา “สวี่เหยา ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอยู่ข้างนอกให้เรียกแค่หลินอี้ก็พอแล้ว”
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะคะ”
สวี่เหยาเองก็ยิ้มกลับแต่รอยยิ้มนี้แฝงไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูดจนเหล่าทหารรักษาการณ์ที่ยืนมองอยู่ข้างๆถึงกับยืนจ้องจนตาค้าง
จากนั้นสวี่เหยาก็ขึ้นไปในรถม้าแล้วจึงค่อยๆ ออกตัวเข้าไปในเมือง
ภายในรถม้านั้นมีแค่นางกับหลินหยางเพียงสองคนเท่านั้น เอ่อแล้วก็มีอีกหนึ่งตัวนั่นก็คือเ้านกกระจอกขนสีแดงที่กำลังนอนบิดี้เีอยู่ภายในรถคันนี้ด้วย
สวี่เหยานั่งลงเรียบร้อยก็มองไปทางหลินหยาง
หลังจากที่นางฝ่าฟัน่เวลาที่ตกอับที่สุดของตระกูลเวินมานานนับครึ่งปีนางก็สามารถรีดเร้นเอาเสน่ห์อันน่าหลงใหลของหญิงสาวที่นางมีอยู่ออกมาได้ถึงขีดสุดกลิ่นอายอันแสนยั่วยวนของนางนั้นดูไม่เหมือนของสาวน้อยอายุสิบแปดเลยแม้แต่น้อยแต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่สามารถเปล่งประกายออกมาได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยาง
หลินหยางนั้นดูองอาจสง่างามมากเกินไป
ต่อให้สวี่เหยาจะมีเสน่ห์มากแค่ไหนแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยาง นางก็ยังคงมีท่าทีเคารพนอบน้อมต่อหลินหยางอย่างเต็มเปี่ยม“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเรียกท่านว่าคุณชายหลินก็แล้วกันนะคะเรียกเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ท่านมาถึงเลี่ยนเทียนเฮ่า”
“ก็ดี” หลินหยางผงกหัว “สวี่เหยา หลายวันมานี้ข้าเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชาเลยไม่ได้ฟังเื่ของเมืองฮุยยื่อแห่งนี้เลย ได้ยินจากท่านประมุขแค่ว่าบ้านเกิดของเ้าก็คือเมืองนี้ใช่ไหม?”
“ไม่อย่างนั้นข้าจะมาเป็คนนำทางให้ท่านได้อย่างไรล่ะคะ?”
แน่นอนว่านางไม่มีทางบอกหลินหยางหรอกว่า เป็นางเองที่ขออาสาเป็คนนำทางให้กับหลินหยางด้วยตัวนางเอง
สวี่เหยาถอนหายใจกลิ่นหอมสดชื่นออกมาแล้วอธิบายให้หลินหยางฟังว่า “ข้าเกิดและเติบโตที่เมืองฮุยยื่อแห่งนี้ค่ะดังนั้นข้าจึงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้เป็อย่างดีทีเดียว!”
“ถ้าอย่างนั้นเ้าจะถ่อไปทำงานถึงเมืองอวิ๋นเฉิงทำไม?”
“นั่นน่ะ...” สวี่เหยาหน้าขึ้นสีเล็กน้อยท่าทางกระอักกระอ่วนไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไร
แต่ก็มีน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดดังขึ้นจากด้านข้าง
“ก็เพราะนางเป็เด็กกำพร้าที่ถูกผู้ดีรับเลี้ยงไปหลังจากนั้นก็ถูกส่งให้ไปเป็เมียน้อยของคนอื่น นางเลยหนีไปไกลถึงเมืองอวิ๋นเฉิงอย่างไรแต่ใครจะรู้ว่านางดันไปตกหลุมรักกับหนุ่มน้อยท่าทางโอหังอวดดีคนหนึ่งเข้าเลยยอมเสี่ยงอันตรายพาเขาคนนั้นกลับมาที่บ้านเกิดของตัวเอง ถ้าไม่ระวังตัวดีๆ ก็อาจจะโดนตระกูลสวี่จับกลับไปก็ได้นะเออ!”
หั่วเอ๋อร์ประคองตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพูดพร่ามออกมาไม่หยุดจนใบหน้าเล็กๆของสวี่เหยานั้นแดงก่ำอย่างกับลูกแตงโม ดูน่ารักน่าเอ็นดูสุดๆ
เ้านกกระจอกปากมากถลึงตาใส่หลินหยางไปที่หนึ่ง “เ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นนะข้าไม่เหมือนเ้าที่พอขึ้นรถก็เอาแต่ฝึกวิชาจนปล่อยให้สาวน้อยรูปงามต้องนั่งเหี่ยวเฉาคนเดียวแบบนี้หรอกนะเสียของจริงๆ ให้ตายสิ”
หลินหยางนั้นพยายามฝืนตัวเองเป็ครั้งที่ล้านแปดเพื่อไม่ให้เผลอใช้ฝ่ามือตบหั่วเอ๋อร์จนปลิวกระเด็นออกไปไกลๆ
ถึงเขาจะเห็นและรับรู้เื่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวก็ตามแต่พอถูกหั่วเอ๋อร์เอาออกมาพูดตรงๆแบบนี้ก็ทำให้บรรยากาศภายในรถกระอักกระอ่วนขึ้นไม่น้อย
กระอักกระอ่วนสุดๆ เลยต่างหาก
สวี่เหยาที่หน้าแดงก่ำพูดด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กอย่างกับเสียงยุงบินว่า“หั่วเอ๋อร์ไหนเ้าสัญญาแล้วอย่างไรว่าจะเก็บเื่นี้เป็ความลับ...”
“จะเก็บไว้ทำไมเล่า! ทั้งเ้าทั้งน้องชิงๆน่ะ ทั้งๆ ที่แอบชอบเ้าหมอนี่จนทนไม่ไหวแท้ๆแต่กลับแอบซ่อนความรู้สึกนั่นเอาไว้ในใจเสียนี่มนุษย์อย่างพวกเ้านี่ชอบทำอะไรย้อนแย้งกันจริงๆ”
สวี่เหยาหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้นางแทบอยากจะเอาหน้ามุดลงไปในถังให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
โชคดีที่หลินหยางนั้นมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวของจักรพรรดิฟ้าอยู่เยอะเลยยังไม่ถูกเื่เมื่อครู่ทำให้หวั่นไหวแต่นั่นก็ทำให้เขาต้องเป็ฝ่ายเริ่มการสนทนาอย่างเคอะเขิน
“เมื่อครู่เ้าบอกว่า สวี่เหยาก่อนหน้านี้อยู่ที่บ้านของผู้ดี...”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
หั่วเอ๋อร์ผงกหัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเ้านี่มีพร์ด้านการเป็เพื่อนกับหญิงสาวหรือไม่ตอนอยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิงก็สนิทกับเวินชิงชิงเหลือเกิน คราวนี้เพิ่งออกมาแค่ไม่กี่วันก็สนิทกับสวี่เหยาจนรู้ข้อมูลความลับของอีกฝ่ายแล้ว
“สวี่เหยาน่ะเคยอาศัยอยู่กับตระกูลจ้าวที่เป็เ้าของสมาคมการค้าตระกูลจ้าวอืม... น่าจะพอนับมันเป็ตระกูลระดับสามของเมืองยื่อๆ อะไรนี่ได้มั้ง แต่ไอ้ประมุขของตระกูลนั่นนะตาถั่วชะมัดดันคิดจะใช้ยายหนูนี่เป็เครื่องมือเสียได้ มนุษย์แบบนี้น่ะมันต้องเอามาดองเค็มหมักกินแทนผักกาดดองซะเลย...”
ฮิฮิ
สวี่เหยาแอบหัวเราะสั้นๆ ให้หั่วเอ๋อร์เบาๆ ในใจนางเห็นด้วยทุกประการ
ประมุขตระกูลจ้าวที่ชื่อจ้าวเหวินชางนั้นเทียบกับเวินติ่งเทียนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องเอามันมาเทียบกับหลินหยางเลย
หลินหยางนั้นเก็บเอาทุกสิ่งที่ได้ยินมาไว้ในใจ
สมาคมการค้าตระกูลจ้าว
ตระกูลระดับสาม...
ทั้งหมดนี่เหมือนมันถูกวางเตรียมเอาไว้ให้หลินหยางเป็ทรัพยากรที่สำคัญที่เป็เป้าหมายของเขาในการมาเมืองฮุยยื่อครั้งนี้พอดี
“พวกเราไปที่บ้านของตระกูลจ้าวนั่นเลยก็แล้วกันนะสวี่เหยา”
หืม?
ทั้งสวี่เหยาทั้งหั่วเอ๋อร์ต่างก็อึ้งไปอ้าปากค้างกันทั้งคนทั้งนก
“ไปหาตระกูลจ้าว?”
“เ้าจะไปแย่งเ้าสาวจากพวกนั้นจริงหรือ?”
หลิหยางแสยะยิ้มอย่างลึกลับยากจะเข้าใจได้ออกมา “ไม่เราจะไปเจรจาธุรกิจใหญ่กับพวกตระกูลจ้าวนั่นกัน!!”
จากนั้นเขาก็หันไปมองทางสวี่เหยาที่ยังคงมีสีหน้าลังเลแล้วพูดออกมาว่า“และแน่นอนว่าเราจะไปจัดการเื่ของเ้าให้รู้เื่ด้วยไม่มีใครในโลกนี้สามารถใช้เถ้าแก่ใหญ่สวี่เหยาของเราเป็เครื่องมือได้หรอกนะ...”
..................................
ในที่สุดรถม้าของพวกหลินหยางก็หยุดลงหลังจากที่เดินทางมาเป็เวลามากกว่าครึ่งชั่วยามแล้วขนาดของเมืองฮุยยื่อนั้นกว้างใหญ่กว่าเมืองอวิ๋นเฉิงหลายเท่า
หลินหยางและสวี่เหยาพอลงจากรถก็มองเห็นคฤหาสน์ขนาดมหึมาที่ดูอลังการหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า
แค่ประตูคฤหาสน์อย่างเดียวก็ดูยิ่งใหญ่ไม่แพ้คฤหาสน์ตระกูลเวินแล้วดูท่าทางว่าทรัพย์สินของตระกูลจ้าวจะมีมากกว่าตระกูลเวินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นี่แหละคือความแข็งแกร่งของราชอาณาจักรโล่ยื่อ
ราชอาณาจักรแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมากกว่าสิบล้านลี้จำนวนประชากรทั้งหมดมีมากถึงพันล้านคนไม่ว่าจะเื่ทรัพย์สินหรือเื่จำนวนคนก็ล้วนอยู่เหนือกว่าอาณาจักรชูอวิ๋นทั้งสิ้น
แค่หนึ่งตระกูลระดับสามของเมืองหลวงอย่างเมืองฮุยยื่อนั้นก็ยิ่งใหญ่เทียบเท่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเวินแล้วถ้าอย่างนั้นตระกูลใหญ่ของเมืองฮุยยื่อเล่า มันจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนกัน
พอสวี่เหยาลงจากรถ ทั้งความงดงามและบรรยากาศรอบตัวของนางก็ไปดึงดูดความสนใจของทหารรักษาการณ์หน้าประตูทันทีหนึ่งในนั้นเป็ทหารที่ดูมีอายุหน่อย กำลังจ้องเขม็งมาทางสวี่เหยาจากนั้นก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองออกมา
“สวี่ สวี่เหยา... เ้ากลับมาแล้วรึ?”
เขากลอกสายตาไปมา หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเป็สวี่เหยาจริงๆ บนใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเ็าและดูโกรธเกรี้ยวออกมาทันที
“หึอีหนูอย่างเ้าที่ตอนนั้นหนีหัวซุกหัวซุนจนรอดออกไปแล้วแท้ๆแต่เ้าก็ยังกล้ากลับมาที่นี่อีกนะ...”
พอพูดจบก็มองไปทางหลินหยางที่ยืนอยู่ข้างหลังนางที่ดูอย่างไรมันก็เป็แค่หนุ่มน้อยที่พอจะหล่อเหลาอยู่บ้างก็เท่านั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความดูถูกออกมา “แถมยังพากลับมาเพิ่มอีกตัวด้วย ทำไม หรือว่าเ้าจะไปไม่รอดแล้วเลยคิดจะพาเพื่อนกลับมาเป็ข้ารับใช้อีกรอบเพื่อทำงานชดใช้ความผิดอย่างนั้นสิ?เ้าฝันไปเถอะสวี่เหยา! ดูซิว่าพ่อบ้านจ้าวจะจัดการเ้าอย่างไร...”
นายทหารผู้พูดไปพลางเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์ไปด้วยปล่อยให้สวี่เหยายืนรออยู่ข้างนอก
“เอ่อ...คุณชายหลิน...ข้าทำให้ท่านโดนลูกหลงไปด้วยเสียแล้ว...”
สวี่เหยาพูดขึ้นด้วยท่าทางเกรงใจ
หลินหยางแค่ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็ไร...ข้าคิดไว้แล้วล่ะ พวกเราเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
สวี่เหยาอึ้งไป “แต่พวกเขายังไม่อนุญาต...”
“แกว๊ก!” หั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนไหล่ของหลินหยางนั้นแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา“เ้าเด็กโง่ สู้กันข้างถนนดูน่าเกลียดจะตาย”
ไอ้หยา...
เพิ่งมาถึงก็จะตีกันแล้วหรือนี่...
สวี่เหยาเดาไม่ออกเลยว่าหลินหยางกำลังจะทำอะไรจึงได้แต่เดินตามหลินหยางเข้าไปข้างในแบบงงๆ
ทหารรักษาการณ์ที่เหลืออีกสามคนทำท่าจะเข้ามาขัดขวางเอาไว้แต่หลินหยางใช้สายตาจ้องไปทางอีกฝ่ายทีเดียว พวกทหารก็วิ่งหนีหางจุกตูดกันทันที
แววตานั่นมันน่ากลัวเกินไปแล้ว
ไม่ไหว... แบบนี้ไม่ไหว...
พอพวกของหลินหยางข้ามผ่านบานประตูเข้าไปแล้วก็พบเห็นกับสวนที่ถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงามตั้งอยู่ภายในนั้นมีทั้งูเาปลอมและแม่น้ำเล็กๆ ที่ถูกขุดขึ้น งดงามเกินบรรยาย
หลินหยางและสวี่เหยาสองคนพร้อมกับนกอีกหนึ่งตัวเดินตรงไปยังลานเล็กๆที่อยู่ตรงใจกลางของสวนนี้ จากนั้นหลินหยางก็ค่อยๆ นั่งลงไปบนก้อนหินก้อนหนึ่งพร้อมกับหันไปกวักมือให้สวี่เหยา“มานั่งสิ”
“คุณชายหลินคะตระกูลจ้าวนี้ก็มีอำนาจในเมืองฮุยยื่อระดับหนึ่งเลยนะคะ...แถมเื้ัของพวกมันยังน่ากลัวอีกด้วย”
สวี่เหยาที่เห็นท่าทีของหลินหยางแบบนั้นก็รู้สึกว่าควรจะพูดเตือนสติไว้หน่อยจะดีกว่า ลำพังแค่พวกนางสามคนถ้าคิดจะหาเื่กับพวกตระกูลจ้าวแล้วมันดูจะเสี่ยงเกินไปหน่อย
แต่หลินหยางกลับยังคงมีท่าทีสบายใจ “มา นั่งก่อน”
สวี่เหยาไม่พูดอะไรเพิ่มอีก
ั้แ่เหตุการณ์ที่เลี่ยนเทียนเฮ่าเป็ต้นมา นางก็รู้สึกเชื่อมั่นในตัวหลินหยางอย่างบอกไม่ถูกเื่ที่ควรเตือนก็บอกไปหมดแล้ว นางเชื่อว่าหลินอี้ไม่มีทางที่จะทำอะไรโง่ๆ อย่างแน่นอน
เพิ่งนั่งลงไปได้ไม่นาน ด้านหน้าของพวกเขาก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งลุกฮือกันเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
