“คุณชาย ดึกแล้ว ท่านรีบพักผ่อนเถอะ พี่เฉินเซียงอุ่นเหล้าใบไผ่เขียวมาให้ท่าน ดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายอบอุ่น”
หลินชวนยกถ้วยชาเดินเข้ามาในห้องหนังสือ เหยียนชิงจ้องมองหนังสือที่ตนเปิดค้างไว้อย่างเหม่อลอย ั้แ่ตกดึกมาก็ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือเลย เมื่อได้ยินเสียงของหลินชวน ก็ยกมือเคาะหน้าผากของตัวเองเพื่อฝืนดึงสติกลับมา
“วางลงเถอะ เดี๋ยวข้าดื่ม”
หลินชวนยิ้มแย้ม
“อากาศหนาว วางไว้ตรงนี้สักพักเดี๋ยวก็เย็นแล้ว ดื่มเลยเถอะขอรับ ข้าเตรียมน้ำร้อนให้ท่านแล้ว หลังจากดื่มก็ไปอาบน้ำแล้วเข้านอน ฮูหยินน้อยไม่อยู่ ท่านอยู่คนเดียวก็ทำให้ร่างกายอบอุ่นเสียหน่อย”
“....” จนปัญญา เหยียนชิงทำได้แค่เม้มปาก รู้ว่าเขาหนาวแต่ก็ทิ้งให้เขาอยู่บ้านคนเดียว เอาเขาไปด้วยก็ไม่ได้หรือไง
หลินชวนเห็นว่าเหยียนชิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งยังดูน้อยใจ จึงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายท่านคิดถึงฮูหยินอยู่หรือ?”
“ไม่ เขาเพิ่งไปได้ครึ่งวันมีอะไรให้คิดถึง”
แม้ว่าคนปากแข็งดื่มเหล้าไม่มาก แต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อ
“อ่อ...”
หลินชวนจงใจลากเสียงยาว อย่างไม่เชื่อ แต่ก็ไม่อยากจะหักหน้าอีกฝ่าย
เหยียนชิงเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่เป็ธรรมชาติ ก่อนจะเอ่ยถาม “เ้าว่าเส้นทางที่พวกเขาไปเมืองหลวงนั่น หิมะจะตกหรือไม่?”
หลินชวนลูบคางและครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“ไม่กระมัง เมืองเทียนซูอยู่แถบตะวันออก อีกเดี๋ยวก็น่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว”...
เหยียนชิงเองก็คิดเช่นนั้น “ก็ใช่...”
เขาลืมหมดแล้ว ฤดูใบไม้ผลิที่เมืองเทียนซูของทุกปีนั้นมักจะมาช้า และบางทีอาจจะฝนตก
“ฮูหยินน้อยไปส่งคุณชายรองออกจากเมืองแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ท่านอยู่เรือนก็ดูแลตัวเองดีๆ ไม่อย่างนั้นเขากลับมาจะปวดใจเอาได้”
ั้แ่ฮูหยินน้อยออกไป ก็มักจะรู้สึกว่าความสามารถในการใช้ชีวิตของคุณชายลดลงไปหลายส่วน
เหยียนชิงมีใบหน้าเขินอายแล้วกระซิบเสียงเบา “เ้าพูดมากจริงๆ”
“แหะๆๆๆ...”
หลินชวนเกาศีรษะ ฮูหยินน้อยกำชับตนสิบล้านครั้งก่อนที่เขาจะออกไป เขาจะกล้าละเลยได้อย่างไร
แม้จะดื่มเหล้าอบอุ่นร่างกาย บวกกับเตาผิงและผ้าห่มหนา แต่เหยียนชิงนอนคลุมผ้าห่มอยู่บนเตียงก็ยังนอนไม่หลับ อดคิดถึงคนที่อยู่ข้างนอกนั่นไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเว่ยซูหานจะไปถึงไหนแล้ว โรงเตี๊ยมที่พักอยู่นั่นดีหรือไม่ ปลอดภัยหรือไม่...
คนที่ไปสืบเื่ที่เว่ยซูหานเจอนักฆ่าคราวที่แล้วก็ยังสืบไม่เจออะไร ตราบใดที่เว่ยซูหานออกไปข้างนอก เขาจะเป็กังวลตลอด และจะไม่สงบลงจนกว่าเว่ยซูหานจะกลับมาอย่างปลอดภัย
“ก๊อกๆๆ”
ขณะที่คิดอยู่นั้น เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น ต่อมาก็เป็เสียงของเฉินเซียง
“คุณชาย ข้ามีเื่อยากจะพบท่าน ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
“เฉินเซียง?”
เหยียนชิงสวมเสื้อคลุมบางๆ ลุกขึ้นจากเตียง เปิดม่านขึ้น และหาเสื้อคลุมตัวนอกมาสวม เฉินเซียงรีบเดินอ้อมฉากกั้นเข้ามา
เฉินเซียง ดึกดื่นป่านนี้มีเื่อะไรหรือ?
เฉินเซียงโน้มตัวเอ่ยตอบเสียงเบา “จอมยุทธ์จิงโม่มาแล้วเ้าค่ะ”
“หืม?” เหยียนชิงสงสัย แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เชิญเขาเข้ามา”
เฉินเซียง “เ้าค่ะ”
ขณะที่นางหมุนตัวเดินออกไป ทันใดนั้น เสียงะโเบาๆ ของหลินชวนก็ดังขึ้นนอกประตู “ใคร กล้าบุกเข้ามาในจวนตระกูลเหยียนได้อย่างไร?”
ทันทีที่เสียงของหลินชวนจบลง เสียงดาบกระทบกันก็ดังขึ้น
“แย่แล้ว...”
เหยียนชิงตบหน้าผากตนเบาๆ ก็รีบเดินออกไป ั้แ่เว่ยซูหานผ่านประสบการณ์ลอบสังหาร หลินชวนก็เริ่มฝึกฝนอย่างหนัก เขามีความก้าวหน้าอย่างมาก และร่างกายของเขาก็ว่องไวมากขึ้น เมื่อจิงโม่เดินเข้ามาในจวนตระกูลเหยียนก็แทบจะไร้สุ้มเสียง อีกอย่างองครักษ์เงาก็รู้จักเขาจึงสามารถเข้ามาได้ตามใจ แต่ไม่คิดว่าจะถูกหลินชวนค้นพบเหมือนตอนนี้
ในพื้นที่โล่งด้านนอก หลินชวนกำลังประมือกับจิงโม่ แต่ต่อให้หลินชวนจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิงโม่ จิงโม่ไม่ทำร้ายเขาแน่นอน เขาใช้กระบวนท่าป้องกันมากกว่าโจมตี
“หลินชวน หยุด”
หลังจากเหยียนชิงเดินออกมาพร้อมกับเฉินเซียงก็รีบะโห้ามทันที หลังจากจิงโม่รับกระบี่แหลมคมนั่นก็ถอยไปหลายก้าว ก่อนจะเอ่ยชมด้วยเสียงเ้าเล่ห์
“ไม่เลว พัฒนาขึ้นเยอะเลยนี่”
คราวที่แล้วที่เว่ยซูหานถูกลอบสังหารเด็กคนนี้ก็เป็คนออกตามล่า สายตาในความมืดของเขาดีกว่าเมื่อก่อนมาก คิดไม่ถึงว่าจะพัฒนาเร็วขนาดนี้ คงเป็เพราะเห็นคนจะตายต่อหน้าต่อตาเลยกลับมาฝึกฝนทักษะของตัวเองอีก
“เ้าเป็ใคร?”
หลินชวนขมวดคิ้วถาม เก็บกระบี่แล้วกลับไปข้างกายเหยียนชิง
จิงโม่ไม่ตอบแล้วก็เดินตรงไปที่เหยียนชิง
“คุณชาย ขอโทษที่มารบกวนยามดึก”
“คุณชาย เขา...”
หลินชวนชี้ไปที่คนที่น่าสงสัยซึ่งดูเหมือนจะคุ้นเคยกับคุณชายของเขาเป็อย่างดี
เหยียนชิงโบกมือ “เอาล่ะ เข้าเรือนก่อนค่อยว่ากัน”
จิงโม่เดินตามเหยียนชิงเข้าไปในเรือนอยู่ หลินชวนดึงเฉินเซียงไปด้วยอย่างสงสัย
“เฉินเซียง เ้ารู้จักคนผู้นี้หรือ?”
เฉินเซียง “จะบอกว่ารู้จักก็ไม่เชิง แค่รู้ว่าจอมยุทธ์จิงโม่มีตัวตนอยู่ก็เท่านั้น”
หลายปีมานี้ก็ยังไม่เคยเจอหน้า ไม่ได้พูดคุยก็ไม่นับว่ารู้จัก รู้แค่ว่าบุคคลผู้นั้นมีตัวตนอยู่
หลินชวน “...”
เหยียนชิงบอกเื่จิงโม่กับหลินชวน นอกจากนี้ยังมีความจริงที่ว่าจิงโม่คอยแอบช่วยพวกเขาตอนเดินทางไปทางเหนือ ทันใดนั้นหลินชวนก็เข้าใจ และได้รู้ว่าจิงโม่เป็สมาชิกพรรคเจิ้น ทันทีหลังจากนั้นเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้เมื่อครู่นี้ จิงโม่ยอมอ่อนข้อให้ตน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง หากจิงโม่ลงมือจริงๆ ตอนนี้ศพของเขาก็คงเย็นแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงรีบก้าวเข้าไปเอ่ยขอโทษ
“เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว หวังว่าท่านผู้าุโจิงโม่จะให้อภัยข้าน้อย”
อย่าได้เ้าคิดเ้าแค้นกับเขาเชียว ไม่อย่างนั้นเขาคงอนาถแล้ว
จิงโม่ตอบกลับด้วยความเ็า “ไม่เป็ไร คนของคุณชาย ข้าไม่ทำร้ายแน่นอน”
หลินชวน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ไม่ถือสา”
เมื่อความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไข เหยียนชิงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้ามีเื่อยากจะพูดกับจิงโม่ พวกเ้าออกไปก่อน”
“ขอรับ/เ้าค่ะ”
เฉินเซียงและหลินชวนรับคำก่อนจะออกไป
เหยียนชิงเห็นประตูปิดอีกครั้ง ก็กระชับเสื้อคลุมตัวนอก “มีเื่อะไรเร่งด่วนหรือไม่?”
“ใช่” จิงโม่พยักหน้า “แม่นางเย่หลันที่อยู่ข้างกายคุณชายส่งจดหมายมาหาข้า ให้ข้ารีบนำมันมามอบให้คุณชายโดยเร็วที่สุด”
เมื่อกล่าวจบก็รีบนำจดหมายฉบับนั้นให้เหยียนชิง
“พี่ใหญ่?” เหยียนชิงรับมาด้วยความสงสัย “เหตุใดเขาถึงต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนั้น...”
“ไม่ใช่คุณชายใหญ่ แต่เป็แม่นางเย่หลันที่อยู่ข้างกายคุณชายใหญ่”
จิงโม่เอ่ยแก้ไขเขาอย่างอดทน ั้แ่ครั้งที่แล้วที่เขาได้พบกับเย่หลัน นางก็เป็ฝ่ายที่จะทิ้งข้อมูลการติดต่อพิเศษไว้กับเขา ในฐานะที่เป็องครักษ์เงาของคุณชายเหยียน เช่นนี้จะสะดวกอย่างมาก
เดิมทีเหยียนชิงอยากจะบอกว่าจดหมายของพี่ชายนั้นต่างอะไรจากจดหมายของเย่หลัน เมื่อเห็นตัวอักษรที่สวยงามในจดหมายก็กลืนคำพูดลงไป
จดหมายที่พี่ใหญ่เขียนนั้น ก็คือลายมือของเย่หลัน แต่กระดาษแผ่นนี้ ในนั้นระบุอย่างกระชับและชัดเจนว่าโรคระบาดได้เกิดขึ้นในอำเภอเล็ก ๆ ของเมืองหนานหาน ชายแดนทางใต้ที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้จดหมายยังกล่าวอีกว่าพี่ชายคนโตก็ติดเชื้อเช่นกัน แต่เย่หลันรับปากว่าจะรักษาพี่ใหญ่ให้หาย
