ซวงสี่นำข่าวกลับมาในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน นางกล่าวว่าอู๋เจาหรงมิได้ถูกพาออกจากวัง ทว่าถูกขังอยู่ในตำหนักบรรทมของตนเอง หลังเอ่ยจบนางก็เอ่ยเื่เส้นทางลับในตำหนักบรรทมที่อู๋เจาหรงอยู่ให้นางฟังหนึ่งรอบ และยังอธิบายสถานที่คุมขังอาลักษณ์อู๋ให้เหยียนอู๋อวี้ฟังอย่างละเอียดอีกด้วย
เหยียนอู๋อวี้คาดไม่ถึงกับเื่นี้มากทีเดียว ซวงสี่เข้าไปกระซิบใกล้ๆ “ใต้เท้าบอกว่านายหญิงอาจต้องใช้มันเพคะ”
แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีไว้เพื่ออันใดกันแน่ ทว่าเหยียนอู๋อวี้ยังคงจำไว้ให้มั่น โจวหลู่ชิงสามารถนั่งในตำแหน่งผู้ดูแลกรมกิจการภายในวังหลวงได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เหยียนอู๋อวี้จดจำเื่เหล่านี้ไว้ จากนั้นจึงเอ่ยกับซวงสี่และฉางฮวน “เตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปตำหนักบรรทมที่ที่อู๋เจาหรงอยู่”
ทั้งสองคนตอบรับเสียงเบาแล้วถอยออกไปจากห้อง ป้าโฉ่วเอ่ยโน้มน้าวอีกครั้ง “ยามนี้อู๋เจาหรงกำลังอยู่บนยอดพายุ คุณหนูไปพบนาง เกรงว่าจะกลายเป็ความเดือดร้อนมากกว่า ฝั่งไทเฮานั้น...…”
“ไทเฮาตัดสินในตัวข้าแล้ว ไม่ว่าข้าทำอันใด ไทเฮาก็ไม่มีความสุข” เหยียนอู๋อวี้รับอาภรณ์มาจากป้าโฉ่ว นางสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อก่อนกางแขนให้ป้าโฉ่วเปลี่ยนอาภรณ์ให้ตนเองอีกครั้ง
“หากคุณหนูไปจะถูกไทเฮาลงโทษหรือไม่เพคะ?”
“เข้าไปในทางลับอย่างระมัดระวังสักหน่อยคงไม่ถูกผู้ใดพบเข้า ทางลับนี้อยู่ในสวนวังหลวง ข้าจะให้ฉางฮวนกับซวงสี่เฝ้าไว้ คิดว่าคงไม่เป็ปัญหาใหญ่” เหยียนอู๋อวี้ตอบกลับ
ป้าโฉ่วใเสียใหญ่โต “นายหญิงไม่พาบ่าวไปด้วยหรือ? ฉางฮวนกับซวงสี่ไว้ใจได้หรือเ้าคะ?”
เมื่อเหยียนอู๋อวี้สวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วจึงดึงแขนเสื้อขึ้น จากนั้นหันมาพูดกับนาง “อู๋เจาหรงได้รับความโปรดปรานไม่กี่วันก็เกิดเื่ ยามนี้ทุกคนต่างจับจ้องตำหนักเฟิ่งชัย เมื่อข้าถูกไทเฮาลากลงมาต้องมีธนูลับจำนวนมากยิงมาแน่ เ้าช่วยข้าดูแลอยู่ในตำหนัก ข้าออกไปจะได้สบายใจ ส่วนพวกนางสองคน ยามนี้โจวหลู่ชิงคงไม่ปล่อยให้ข้าเกิดเื่ขึ้น”
“ทว่าซูอิ่ง...…”
“เ้าดูซูอิ่งไปก่อนเถิด” เหยียนอู๋อวี้กล่าวเสียงเบา “แม้นางส่งรายชื่อมาให้แล้วก็ยังต้องจับตาดูไว้ก่อน ตอนนี้ที่ข้าสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงเ้า”
ป้าโฉ่วโค้งคำนับ เหยียนอู๋อวี้กล่าวต่ออีกว่า “ข้าจะรีบกลับมา”
เหยียนอู๋อวี้เดินนำซวงสี่กับฉางฮวนออกจากตำหนักเฟิ่งชัยตรงไปยังสวนในวังหลวง
เพราะเื่เมื่อวาน เหล่านางสนมในตำหนักหลังจึงรอข่าวอยู่ในตำหนักบรรทมของตนเองเงียบๆ มีเพียงเหยียนอู๋อวี้ผู้เดียวที่ออกจากตำหนัก กล้าหาญเกินไปแล้ว ทว่าเหยียนอู๋อวี้มิได้กังวล นางเคยตรวจสอบเส้นทางแล้วพบว่าทางลับนี้อยู่ใกล้กับตำหนักบรรทมของซ่งอี้เฉิน นางอยู่ในสวนวังหลวงสักครู่หนึ่งโดยมิได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น
เมื่อเดินไปถึงทางเข้าเส้นทางลับก็พบว่ามีูเาจำลองเชื่อมอยู่ลูกหนึ่ง เมื่อคิดว่านี่เป็ทางเข้าที่สามที่จวินอู๋เสียกำหนดไว้ให้ตนเองในยามนั้น นางพลันยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะทิ้งบ่าวรับใช้ไว้บริเวณทางเข้า ซวงสี่แสร้งทำตัวเป็เหยียนอู๋อวี้ที่กำลังอยู่ในสวนทันที ขณะที่เหยียนอู๋อวี้เข้าไปในนั้นด้วยตนเอง
นางเร่งฝีเท้าอยู่ในทางลับ ไม่นานก็เห็นแสงสว่าง ขณะที่ผลักประตูออกเบาๆ ประตูพลันเลื่อนเปิดออก เหยียนอู๋อวี้จึงพบว่าคล้ายตนเองจะยืนอยู่ในตำแหน่งห้องครัว
ยามที่ก่อสร้างพระราชวังต้องห้าม ฮ่องเต้มักสร้างทางลับไว้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งมิใช่เื่ใหม่อันใด ที่น่าแปลกคือทางลับนี้มิได้อยู่ในห้องนอน ทว่าดันอยู่ในห้องครัว
หลังจากมีรับสั่งห้ามมิให้ติดตั้งเตาไฟส่วนตัวในปีนั้น ควันไฟก็เป็สิ่งต้องห้ามในแต่ละตำหนัก แม้แต่ที่ประทับของฮ่องเต้ก็ไม่มีข้อยกเว้น หากกุ้ยเหรินในตำหนักอยากทำอาหารถวายฮ่องเต้ก็ต้องไปที่ห้องเครื่อง คนครัวที่แต่ก่อนเคยรับใช้อยู่ในแต่ละตำหนักต่างถูกส่งไปยังห้องครัวเล็กของห้องเครื่อง เพื่อแบ่งกันดูแลมื้ออาหารของนายท่านตนเอง
เหยียนอู๋อวี้เดินออกมาจากห้องครัว จากนั้นพลันได้ยินเสียงะโในตำหนักบรรทมของอู๋เจาหรงแว่วๆ หากแต่องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูยังคงแน่นิ่งไม่ขยับ
เหยียนอู๋อวี้ออกจากครัวเดินเข้าไปในเส้นทางเล็กอีกทางหนึ่งที่โจวหลู่ชิงให้ไว้ ก่อนจะปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าอู๋เจาหรง
เมื่ออู๋เจาหรงเห็นเหยียนอู๋อวี้พลันใอย่างยิ่ง “เหยียนอู๋อวี้เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
เหยียนอู๋อวี้มิได้เอ่ยตอบ เพียงแค่มองนางเงียบๆ อู๋เจาหรงหวาดกลัวจนขดตัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงะโสุดเสียงทันที “องครักษ์ องครักษ์ ช่วยด้วย! องครักษ์”
องครักษ์ด้านนอกได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หนึ่งในนั้นกำลังจะผลักประตูเข้ามาตรวจสอบ ไม่คาดคิดว่าจะถูกอีกคนหนึ่งหยุดไว้ อีกคนเอ่ยเตือนเขาเสียงเบา “นางเป็บ้ามาเกือบวันแล้ว เ้าจะเข้าไปให้ถูกทุบตีหรือ?”
อีกคนกล่าวอย่างลังเล “แต่เสียงนางดูกลัวมาก...…”
อีกฝ่ายยิ้มเยาะพลางกล่าว “เ้าอยากเข้าไปข้าก็จะไม่ห้าม แต่เ้าห้ามลากข้าไปเอี่ยว องครักษ์สองคนที่ติดตามนางเมื่อวาน วันนี้หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว”
อีกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้พลันตัวสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัวและยืนตัวตรง เขาทำหูทวนลมต่อเสียงภายในห้องทันที
อู๋เจาหรงทุบประตูอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่มีผู้ใดตอบกลับจึงหันศีรษะไปมองนาง หนำซ้ำยังคิดว่าตนเองเห็นภาพลวงตาจึงกระโจนเข้าใส่เพื่อทำลายภาพลวงตานั่น นางมิได้กินอันใดมาหนึ่งวันแล้ว เมื่อคืนยังถูกองครักษ์สองคนนั้นกระทำชำเราอีก ร่างกายนางจึงอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง เดินไปได้สองก้าวก็ล้มพับลงบนพื้น คลานไปได้เล็กน้อยก็ถึงเบื้องหน้าเหยียนอู๋อวี้แล้ว ตนเองคิดว่าหากฟาดลงไปคงจะกำจัดภาพลวงตานี้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะััโดนปลายเท้าของเหยียนอู๋อวี้เข้าเต็มๆ นางตกตะลึง ก่อนจะไล่ขึ้นไปตามกระโปรงและในที่สุดก็เห็นเหยียนอู๋อวี้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดผวา “เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้ามาดูพี่เจาหรงสักหน่อย” เหยียนอู๋อวี้เผยสีหน้าอ่อนโยนพลางเคลื่อนกายกลับเข้าไปด้านในห้องให้อยู่ห่างจากประตูพอสมควร เวลาสนทนากันจะได้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
อู๋เจาหรงคลานไปไม่กี่ครั้งก็ถึงเบื้องหน้านาง ก่อนจะส่งเสียงอ้อนวอนเศร้าสร้อย “เ้าเข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ เ้าได้โปรดพาเข้าออกไป ข้าขอร้องเ้า...…”
อู๋เจาหรงยังคงสวมอาภรณ์แบบเดียวกับเมื่อคืน เพียงแต่เป็เพราะถูกกระทำชำเราทั้งคืน เนื้อตัวนางจึงสกปรกมอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง มีเพียงใบหน้าที่สะอาดสะอ้าน ไหนเลยจะมีท่าทางสูงส่งเหมือนอู๋เจาหรงในวันวาน? เหยียนอู๋อวี้มองนางพลางอดคิดไม่ได้ว่าหากอวิ๋นอู๋เหยียนในปีนั้นมิได้ถูกซ่งอี้เฉินฆ่าตาย เมื่อกลับไปที่ตำหนักจะมีท่าทางเหมือนเช่นตอนนี้หรือไม่?
คาดว่าคงเลวร้ายยิ่งกว่านี้กระมัง ฉีตงหยวนถูกตัดเอ็นที่มือขาดสะบั้น เกรงว่านางคงถูกคนทำให้กลายเป็สุกร เพียงเท่านี้ไทเฮาและพวกก็จะนอนหลับฝันดี
เหยียนอู๋อวี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว นางไม่ได้วางแผนที่จะอยู่กับอู๋เจาหรงนานเกินไปจึงกล่าวว่า “พี่เจาหรงคิดแต่อยากจะออกไป เคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดตนเองจึงเข้ามา?”
อู๋เจาหรงน้ำตาไหลริน “ข้าถูกใส่ร้าย บิดาข้าไม่เคยเขียนจดหมายพวกนั้นให้ข้า พิษกู่อันใดข้ายิ่งไม่รู้จัก เมื่อวานหลังจากถูกเหยียดหยามกระทำชำเรา เว่ยกงกงเพิ่งเอ่ยออกมา ตาเฒ่านั่น เมื่อก่อนข้าดูแลเขาอย่างดี นึกไม่ถึงว่าจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ เมื่อออกไปได้ ข้าจะฆ่าเขาแน่นอน!”
ยังโง่เขลาอยู่เช่นนี้ ไปอวดดีอันใดกับขันที? นอกจากนี้เขายังเป็คนของซ่งอี้เฉิน เหยียนอู๋อวี้ส่ายศีรษะ นี่มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง เพียงแต่เมื่อเห็นสภาพของอู๋เจาหรงที่ยังคงไม่มีทางเลือกในยามนี้ นางจึงกล่าว “ดูเหมือนพี่เจาหรงจะไม่อยากรู้ว่าผู้ใดใส่ร้ายท่าน”
“ผู้ใดใส่ร้ายข้า ผู้ใดใส่ร้ายข้าแล้วเกี่ยวอันใด! ตอนนี้ข้า้าออกไป ข้าแค่อยากออกไป”
“พี่หญิงคิดให้ละเอียด ในเมื่อท่านถูกใส่ร้าย มิใช่ว่าต้องตามหาคนร้ายตัวจริงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านหรือ? หากหาคนร้ายตัวจริงไม่พบ เช่นนั้นจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างไร?”
“ใช่ เ้าพูดถูก แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดคือคนร้ายตัวจริง ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ ทำเื่อันใดก็ไม่ได้!” อู๋เจาหรงเอ่ยพลางหันศีรษะไปทางเหยียนอู๋อวี้อย่างกะทันหัน ในดวงตานางเต็มไปด้วยความสงสัย “จู่ๆ เ้าก็ปรากฏตัวออกมาพูดกับข้า! เ้าใช่หรือไม่ เ้าเห็นว่าข้าแย่งชิงความโปรดปรานจากฝ่าาไปจึงคิดหาวิธีใส่ร้ายป้ายสีข้า เ้าคนสารเลว!”
อู๋เจาหรงเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมเตรียมจะกระโจนใส่ร่างของเหยียนอู๋อวี้ เหยียนอู๋อวี้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะมองนางด้วยสายตาเ็าพลางกล่าวว่า “พี่หญิง หากเป็เช่นนี้อีก ข้าจะไปแล้ว!”