บทที่ 58 คุณซูเผชิญหน้ากับอันตราย
หัวหน้าห้องคนสวยมาหาตัวเองเพราะมีธุระ เื่นี้ทำให้เย่จื่อเฉินรู้สึกปลาบปลื้มมาก
“หัวหน้าซุน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรให้ผมรับใช้ครับ ขอเพียงแค่เป็เื่ที่ผมสามารถทำได้ ผมก็จะทำจนสุดความสามารถเลยครับ”
เย่จื่อเฉินทำท่าเหมือนคนรับใช้ในละครทีวี ซุนอี้เกอที่เห็นท่าทางของเขาก็นึกอยากหัวเราะแต่กลับไม่ได้หัวเราะออกมา
คนที่มีนิสัยเก็บตัวก็เป็แบบนี้แหละ ไม่ค่อยชอบแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็น
“นายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”
เสียงของซุนอี้เกออ่อนหวานปานน้ำผึ้ง เย่จื่อเฉินเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเธอพูด
“อีกไม่นานจะถึงวันครบรอบ 60 ปีที่ก่อตั้งมหาลัย ทางมหาลัยขอความร่วมมือจากทุกคณะให้มีการแสดงสักสองสามอย่างฉันอยากขอให้นาย…”
“ให้ฉันไปแสดงใช่ไหม”
เย่จื่อเฉินพูดออกมาก่อนที่ซุนอี้เกอจะพูดจบ อีกฝ่ายมองเขาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“เอ่อ…ฉัน…ที่จริงแล้ว…คือว่า…”
ราวกับซุนอี้เกอกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ เธอคิดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดออกมาเป็ประโยค
เย่จื่อเฉินยิ้มแล้วพูดขึ้น “ได้ ฉันเข้าร่วม”
รอยยิ้มดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซุนอี้เกอ ก่อนจะใช้เสียงเล็กเหมือนยุงพูดขึ้น “ขอบใจนะ”
พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ซุนอี้เกอ แล้วเย่จื่อเฉินก็โบกมือแล้วเดินจากไป
เป็หัวหน้ามาตั้งนานก็ยังเป็แบบนี้ เย่จื่อเฉินก็รู้สึกเสียดายแทนหัวหน้าห้องคนนี้อยู่เหมือนกัน
นิสัยแบบนี้เย่จื่อเฉินพูดไม่ได้ว่าไม่ดี พูดได้แค่ว่านิสัยแบบนี้จะทำให้เสียเปรียบเอาได้ถ้าเข้าไปอยู่ในสังคม
ในตอนที่ส่ายหน้าและถอนหายใจอยู่นั้น เย่จื่อเฉินก็เห็นว่าเทพธิดาซูเหยียนวิ่งออกไปนอกมหาวิทยาลัยด้วยความเร่งรีบ เดินคิดว่าจะโทรไปหาเธอดีหรือไม่ แต่โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู แต่ไม่ทันไรสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็หนักใจ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัย
รถยนต์สีเงินคันหนึ่งจอดลงตรงหน้าเย่จื่อเฉิน ประตูรถถูกเปิดออก ซูอี้อวิ๋นวิ่งลงมาจากรถด้วยสีหน้าแตกตื่น
“เย่จื่อ”
“คุณตาอาการเป็ยังไงบ้าง?”
ใบหน้าตึงเครียดของซูอี้อวิ๋นได้อธิบายหมดแล้วว่าตอนนี้เขาเครียดมากแค่ไหน เดิมทีเย่จื่อเฉินอยากจะปลอบเขาว่าไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือเข้าแล้วเหวี่ยงขึ้นรถทันที
ระหว่างทาง ซูอี้อวิ๋นก็เหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อเห็นสีหน้าที่หนักใจแบบนั้นของเขา หัวใจของเย่จื่อเฉินก็หนักอึ้งไปด้วย
“เ้าสาม นายไม่ต้องห่วงนะ มีฉันอยู่ด้วย ฉันจะทำให้คุณปู่ของนายดีขึ้นมาให้ได้”
โรงพยาบาลเพื่อประชาชนเมืองปิงเฉิง
แสงไฟในห้องฉุกเฉินยังคงสว่างอยู่ คนสิบกว่าคนยืนอยู่ตรงทางเดินนอกประตูห้องฉุกเฉิน
ในดวงตาของทุกคนล้วนแต่ฉายแววหนักใจ ดวงตาจ้องไฟที่ส่องสว่างอยู่ภายในห้องฉุกเฉินเขม็ง
ตึกๆๆ…
เสียงฝีเท้ารีบร้อนสองเสียงดังขึ้นตรงสุดทางเดิน ซึ่งก็คือซูอี้อวิ๋นกับเย่จื่อเฉินนั่นเอง
“เสี่ยวเหยียน อาการคุณปู่เป็ยังไงบ้าง?”
ซูอี้อวิ๋นถามซูเหยียนที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงทางเดินด้วยเสียงที่เบา ซูเหยียนเม้มปากพร้อมหันไปส่ายหน้า
“เ้าสาม นายกับซูเหยียน…”
เย่จื่อเฉินที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ซูอี้อวิ๋ถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น
“ซูเหยียนเป็ลูกของอาฉัน ฉันเป็ลูกพี่ลูกน้องกับเธอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็…”
เย่จื่อเฉินมองซูเหยียนอย่างตกตะลึง ยกมือชี้ไปทางห้องผ่าตัดแล้วพูด
“ข้างในนั้นคือคุณซู”
ซูเหยียนก้มหัวลงเล็กน้อย ซูฉีหู่ที่ยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัดหันหน้ามาหลังจากที่ได้ยินบทสนทนา เมื่อเห็นเย่จื่อเฉินเขาก็ขมวดคิ้วทันที
“ใครพาเขามา?”
แล้วซูฉีหลงก็หันตามมา เมื่อเห็นเย่จื่อเฉินที่ยืนอยู่ข้างซูอี้อวิ๋นเขาก็ตาลุกวาวทันที
เนื่องจากกังวลใจกับอาการของชายชรามากเกินไป เขาเลยลืมนึกถึงยอดมนุษย์คนนี้ไปเลย
คิดไม่ถึงว่าลูกชายของเขาคนนี้จะไปพาตัวยอดมนุษย์คนนี้มา
“อาสอง ผมพาเขามาเองครับ”
ซูอี้อวิ๋นเงยหน้าขึ้นตอบกลับ ซูฉีหู่ถลึงตาโตด่าลั่น
“ที่นี่เป็ที่ที่จะพาใครมาก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ฉีหู่ เสี่ยวเย่ไม่ใช่คนธรรมดา” ซูฉีหลงเอื้อมมือไปตบบ่าซูฉีหู่เล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่ก็รู้จักด้วยเหรอ?” ซูฉีหู่เผยสีหน้าใออกมา จนเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาถึงได้ขมวดคิ้วพูดขึ้น “พี่ครับ ผมไม่สนว่าระหว่างเขากับพวกพี่จะเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ที่นี่มันที่ไหนครับ พี่รู้จักเด็กนี่อย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้วเหรอ ถึงได้พาเขามา”
“ฉีหู่”
จากน้ำเสียงของซูฉีหู่ ซูฉีหลงก็พอจะรู้ว่าน้องชายของเขาคนนี้ดูเหมือนจะตั้งแง่กับเย่จื่อเฉินอยู่มากโข
แต่เขานั้นรู้ดีที่สุดว่าเย่จื่อเฉินนั้นเป็ยอดมนุษย์แน่นอน
“ฉีหู่ หยุดพูดได้แล้ว ถ้ามีเวลาว่างนักก็สวดภาวนาให้คุณพ่อไม่เป็อะไรจะดีกว่า”
ซูฉีหู่เงียบเสียงลง เขาขบกัดฟันแล้วจึงหันกลับไป
เวลาผ่านไปสามชั่วโมงเต็ม การผ่าตัดยังคงดำเนินต่อไป
เย่จื่อเฉินกับซูอี้อวิ๋นยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่อยู่ที่เขตสูบบุหรี่ หลายชั่วโมงมานี้ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรเลยสักประโยคเดียว
เมื่อสูบบุหรี่เสร็จ ทั้งสองคนก็เดินไปทางห้องผ่าตัดเงียบๆ
แล้วจู่ๆ ซูอี้อวิ๋นก็จับบ่าเย่จื่อเฉินเอาไว้
“เย่จื่อ ถ้าหมอช่วยชีวิตปู่ฉันไว้ไม่ได้ นายมีวิธีที่จะสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้หรือเปล่า?”
ในตอนนี้เย่จื่อเฉินถึงได้เห็นว่าดวงตาของซูอี้อวิ๋นมันแดงก่ำไปหมด
รับรู้ได้เลยว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้มันทั้งเครียดมากแล้วก็กดดันมาก เย่จื่อเฉินยิ้มแล้วตบบ่าเล็กน้อย
“คุณซูท่านอายุยืน การผ่าตัดต้องสำเร็จแน่”
“ไม่ ฉันอยากให้นายให้คำตอบที่แน่นอนกับฉัน เทียบกับหมอคนนั้นแล้ว ฉันเชื่อใจนายมากกว่า”
ซูอี้อวิ๋นจ้องเย่จื่อเฉินเขม็ง
คลำดูโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋า สรรพคุณของยาวิเศษคือสามารถช่วยชีวิตคนที่กำลังจะตาย เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหากคุณซูเป็อะไรขึ้นมาจริงๆ ยาวิเศษนี้มันจะได้ผลหรือเปล่า
“เย่จื่อ นายตอบฉันมาสิ”
“ได้!”
จนเมื่อได้ยินแบบนี้ เส้นประสาทที่ตึงเครียดของซูอี้อวิ๋นถึงได้คลายตัวลง เขาหัวเราะเสียงดังก่อนจะโถมตัวกอดเย่จื่อเฉิน
“ขอบใจนะ”
เมื่อได้รับการยืนยันจากเย่จื่อเฉิน สีหน้าของซูอี้อวิ๋นก็ผ่อนคลายขึ้นมาทันที
เมื่อทั้งสองคนกลับมายังทางเดินของห้องผ่าตัด ก็เห็นว่าการผ่าตัดได้สิ้นสุดลงแล้ว
“พ่อครับ การผ่าตัดของปู่เป็ยังไงบ้าง?”
ซูอี้อวิ๋นรีบวิ่งเข้าไปหา แต่หลังจากที่เห็นสีหน้าของซูฉีหู่และซูฉีหลง เขาก็หันไปมองเย่จื่อเฉินทันที
“ประธานซู ผู้พันซู ขอโทษจริงๆ ครับ”
หัวหน้าศัลยแพทย์คือชายชราอายุประมาณหกสิบปี ชื่อเจิ้งเฉิง
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ในขณะที่ทุกคนต่างเงียบและยอมรับกับเื่นี้ จู่ๆ ซูอี้อวิ๋นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง และมองเจิ้งเฉิงด้วยดวงตาแดงก่ำ
“หมอจอมปลอม”
“เสี่ยวอวิ๋น!”
ซูฉีหู่ตวาดใส่ซูอี้อวิ๋น เจิ้งเฉิงนั้นนับว่าเป็ผู้นำในด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน และเป็คนที่เขาเชิญมาเอง
“อะไรครับ คนที่ผ่าตัดไม่สำเร็จ ไม่ใช่หมอปลอมหรอกเหรอครับ?”
ซูอี้อวิ๋นยิ้มเยาะอย่างถือดี
เพียะ!
ซูฉีหู่ยกมือขึ้นตบซูอี้อวิ๋น
“เสี่ยวอวิ๋น หยุดก่อเื่ได้แล้ว!”
ส่วนซูเหยียนก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้าไปแล้ว แต่พอเห็นซูอี้อวิ๋นโดนตบเธอก็รีบปรี่เข้าไปอยู่ข้างเขาทันที ก่อนจะพูดเสียงสะอื้น
“พี่…”
ซูอี้อวิ๋นไม่สนใจความเจ็บบนใบหน้าเลย เขาเพียงแค่หันไปยิ้มให้เย่จื่อเฉินแล้วพูดขึ้น
“เย่จื่อ ที่นายพูดเมื่อกี้เชื่อได้ไหม!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้