เย่เฟิงเดินทางในเขาเฉียนคุน ซึ่งใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน จนในที่สุดเย่เฟิงก็มาถึงใจกลางเขาเฉียนคุน แต่หลังจากข้ามยอดเขาสูงชันอีกหนึ่งลูก พื้นที่ราบก็ปรากฏที่เบื้องหน้าของเย่เฟิง
พื้นที่ราบแห่งนี้กว้างขวาง มีขนาดเท่าเมือง รอบด้านโอบล้อมไปด้วยูเา ราวกับแดน์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
พืชพรรณปกคลุมทั่วพื้นดิน บางครั้งมีสัตว์อสูรปรากฏตัวที่นี่ แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็สัตว์อสูรปฐีระดับต่ำ เมื่อพวกมันรับรู้ได้ถึงพลังปราณที่แผ่ออกจากร่างเย่เฟิง สัตว์อสูรเ่าั้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เย่เฟิง
ส่วนสาเหตุที่เย่เฟิงมายังพื้นที่ราบแห่งนี้ นั่นเป็เพราะเขาััได้ถึงกลิ่นอายไม่ธรรมดาที่มาจากอีกฟากหนึ่งของูเา มันก็คือพลังฟ้าดินอันบริสุทธิ์
บัดนี้อำนาจฟ้าดินของเย่เฟิงเพิ่งบรรลุขั้นกายา่ต้น เขามิอาจหาวิธีที่จะทะลวงไปต่อได้ แต่พลังฟ้าดินอันบริสุทธิ์สามารถช่วยยกระดับอำนาจฟ้าดินของเย่เฟิงได้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงไม่มีทางพลาดโอกาสนี้
เย่เฟิงตามกลิ่นอายนั้นไป โดยผ่านป่าทึบของพื้นที่ราบ จนผ่านไปครึ่งชั่วยามก็เริ่มมีหมอกสีขาวปกคลุม เมื่อเขาเข้าไปลึกเรื่อย ๆ หมอกสีขาวนั้นก็เริ่มหนาแน่นและบดบังทัศนวิสัย
“หมอกสีขาวนี้แฝงด้วยพลังฟ้าดินที่เข้มข้น หากไปถึงต้นตอของพลังฟ้าดินจะเป็อย่างไรกันนะ?” เย่เฟิงคิดในใจ
เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจแหล่งกำเนิดของพลังฟ้าดินนั้น ขณะเดียวกันเขาก็เร่งฝีเท้า ผ่านไปสักพักป่าทึบเริ่มเบาบางลง หมอกสีขาวที่ลอยไปมาในอากาศก็ถึงระดับหนาแน่นสุดขีด พลังฟ้าดินราวกับเปลี่ยนไปเป็แถบผ้าที่ลอยวนไปมาในอากาศ
รูขุมขนบนร่างเย่เฟิงเปิดกว้าง โดยปล่อยพลังฟ้าดินเ่าั้ไหลผ่านรูขุมขนเข้าสู่ร่างกาย
ภายในร่างเย่เฟิง พลังหยวนเริ่มไหลไปทั่วเส้นลมปราณราวกับเดือดพล่านขึ้นมา จากนั้นพลังฟ้าดินที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ไหลเวียนในเส้นลมปราณ พลังหยวนที่ผสานกับพลังฟ้าดินราวกับว่าแฝงไปด้วยท่วงทำนองพิเศษ และเปลี่ยนไปบริสุทธิ์ขึ้น
เย่เฟิงลองพยายามผสานกับพลังฟ้าดิน จากนั้นพลังฟ้าดินที่เย่เฟิงผสานก็ถึงขีดจำกัดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ส่วนพลังหยวนในเส้นลมปราณก็เปลี่ยนไปมีชีวิตชีวามากขึ้น และไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง
“พลังฟ้าดินของที่นี่ไม่ธรรมดาตามคาด เพียงผสานกันธรรมดาก็ทำให้ข้ารู้สึกถึงโอกาสที่จะทะลวงแล้ว” เย่เฟิงคิดในใจพร้อมดวงตาเผยประกายแสง
อย่างไรก็ตาม เมื่อตบะถึงขั้นยุทธ์แท้ หาก้าทะลวงไปยังขั้นต่อไปมันไม่ง่ายดายเพียงนั้น เมื่อไม่มีโอกาสทะลวงที่ดี ต่อให้มีพร์เยี่ยมยอดเพียงใด หลายปีหรือกระทั่งสิบปีก็ไม่มีทางทะลวงได้
นี่คือสาเหตุที่หาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดได้ยาก มีหลาย ๆ คนที่เข้าวัยกลางคนหรือวัยชราก็เพิ่งทะลวงขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 หรือ 7 คนประเภทนี้ใช้เวลาทะลวงค่อนข้างนาน และมักจะใช้เวลาเป็แปดปีสิบปีในการทะลวงหนึ่งขั้น
ยกเว้นอัจฉริยะอย่างเว่ยเจิ้นเทียนและซือคงเสวียน พวกเขาคือสัตว์ประหลาด ที่บรรลุขั้นยุทธ์แท้สูงสุดตอนอายุยังไม่ถึง 25 ปี ส่วนเย่เฟิงทะลวงขั้นยุทธ์แท้ถึง 3 ชั้นในเวลาไม่กี่เดือน นี่ก็ถือว่าน่าทึ่งเป็อย่างมาก
บัดนี้ผสานกับพลังฟ้าดิน ทำให้เย่เฟิงััได้ถึงโอกาสที่จะทะลวง เช่นนั้นเย่เฟิงจะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไร?
เย่เฟิงหยุดฝีเท้าและไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นพลังหุนหยวนแผ่ออกจากร่างเย่เฟิง เก้าวัชรหุนหยวนโคจร เมื่ออาศัยพลังของเก้าวัชรหุนหยวนก็จะทำให้มีอัตราสำเร็จที่สูงกว่าเดิม
เย่เฟิงบำเพ็ญตบะไปด้วยและไม่ลืมที่จะผสานกับพลังฟ้าดินนั้นไปด้วย ผ่านไปประมาณสองชั่วยาม ร่างเย่เฟิงเรืองแสงสีทองจาง ๆ ส่องระยิบระยับ
ภายในร่างกาย พลังหยวนไหลไปทั่วเส้นลมปราณ โลหิตก็เริ่มเดือดพล่าน จุดตันเถียนชี่ไห่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เส้นลมปราณก็ขยายตัวเช่นกัน เปลี่ยนไปยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถบรรจุพลังหยวนได้มากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่หยุด เย่เฟิงก็รู้ว่าตัวเองใกล้จะทะลวงแล้ว ดังนั้นจึงเริ่มระมัดระวังเป็พิเศษ
เก้าวัชรหุนหยวนโคจรอย่างบ้าคลั่ง แสงส่องระยิบระยับทั่วฟ้าดิน ร่างเย่เฟิงยังเรืองแสงเป็ประกาย จากนั้นร่างเขาค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้า คล้ายถูกห่อหุ้มด้วยพลังประหลาด แสงสีทองสว่างประหนึ่งเทวกายาทองคำก็ไม่ปาน
กระแสอากาศเริ่มแปรปรวน เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้จะทะลวง เวลานั้นจะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ในที่สุดหลังเสียงประหลาดดังขึ้น แสงรอบกายเย่เฟิงก็จางหายไป ร่างร่อนลงสู่พื้นตามเดิม
เย่เฟิงลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมแสงดุจดวงดาวปะทุออกจากดวงตา ขณะเดียวกันลมปราณของเย่เฟิงเปลี่ยนไปสุขุมขึ้นกว่าเดิม และให้ความรู้สึกลึกซึ้งมากขึ้น
“สำเร็จแล้ว!”
ความตื่นเต้นทอประกายในดวงตาของเย่เฟิง การทะลวงทำให้ศักยภาพของเขาเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง หากเขาในเวลานี้ประมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดทั่วไป เขาสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ แน่นอน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ แม้จะทะลวงลำบาก แต่หลังจากทะลวงอย่างแท้จริง ศักยภาพของพวกเขาจะเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า
ต่อจากนั้นเย่เฟิงยังคงรั้งอยู่ที่นี่และนั่งฌานต่อไป ก่อนจะเริ่มโคจรพลังเพื่อทำให้ตบะเสถียรภาพ เมื่อตบะไม่เสถียรภาพ หากพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง สำหรับเย่เฟิงแล้ว ย่อมไม่ใช่เื่ดีเลย
เย่เฟิงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการทำให้ตบะเสถียรภาพ ก่อนจะเดินทางต่อ
ตอนนี้ป่าทึบเริ่มเบาบางลง ผ่านไปไม่นานก็ออกมาจากป่าทึบ ปรากฏให้เห็นสระน้ำที่เบื้องหน้าของเย่เฟิง มิหนำซ้ำพลังฟ้าดินที่ล่องลอยไปมาในอากาศก็เข้มข้นจนทำให้เย่เฟิงใ
“ข้าััได้ ต้นตอของพลังฟ้าดินนั่นอยู่ในสระน้ำแห่งนี้ หากเรียนรู้พลังฟ้าดินในสระน้ำนี้ มันต้องมีประโยชน์ต่ออำนาจฟ้าดินของข้าเป็แน่” เย่เฟิงคิดในใจ จากนั้นเขาเดินลงสระน้ำอย่างไม่ลังเล
ตอนที่เย่เฟิงก้าวไปข้างหน้าก็ได้โคจรเคล็ดวิชา พยายามยกร่างตัวเองและแช่น้ำเพียงครึ่งตัว เช่นนี้เย่เฟิงจะััถึงพลังฟ้าดินอันบริสุทธิ์ที่ไร้สิ้นสุดนั่นได้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่เย่เฟิงเดินอยู่ในสระน้ำและลึกลงไปเรื่อย ๆ เขาก็มั่นใจว่าต้นตอของพลังฟ้าดินที่เข้มข้นนั่นอยู่ในสระน้ำแห่งนี้ ผ่านไปสักพัก เย่เฟิงก็มาถึงจุดที่มีพลังฟ้าดินเข้มข้นที่สุด เขาจึงหยุดอยู่ตรงบริเวณนั้น
อาจกล่าวได้ว่าสระน้ำแห่งนี้มีรูปร่างแปลกประหลาด ผนวกกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันเป็เอกลักษณ์ จึงก่อตัวเป็แหล่งรวบรวมพลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยลี้
ด้วยเหตุนี้ในสระน้ำจึงเต็มไปด้วยพลังฟ้าดิน หากอยู่ในระยะใกล้ ๆ ก็จะััได้ถึงพลังฟ้าดินนั้นที่แผ่ออกมาจาง ๆ
อย่างไรก็ตามตอนที่เย่เฟิงััและเรียนรู้พลังฟ้าดินอย่างเงียบ ๆ สายลมที่พัดผ่านมายังแฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งกลิ่นหอมนั้นลอยเข้าไปในจมูกของเย่เฟิงจนรู้สึกได้ถึงความมึนเมา
“หอมจัง!” เย่เฟิงพึมพำ เขาแน่ใจว่ากลิ่นหอมนี้มาจากกายสตรี แต่ว่าจะมีผู้หญิงปรากฏตัวในที่แห่งนี้ได้อย่างไร นี่ทำให้เย่เฟิงไม่เข้าใจ
หมอกเริ่มปกคลุมสระน้ำ ทัศนวิสัยเริ่มเลือนราง ทำให้เย่เฟิงมองไม่เห็นสิ่งรอบข้างได้ด้วยตาเปล่า เย่เฟิงจึงใช้พลังจิตของตนเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ ซึ่งหลังจากเปิดร่างเจตจำนง พลังจิตของเย่เฟิงก็แก่กล้าขึ้นหลายเท่า
แม้จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ พลังจิตก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง
เมื่อพลังจิตของเย่เฟิงแผ่ปกคลุมทั่วพื้นที่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรากฏอย่างชัดเจน ซึ่งเห็นว่าสระน้ำยังคงมีคลื่นกระเพื่อม และมีสองเงาร่างงดงามปรากฏในสายตาของเย่เฟิงซึ่งอยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้ง
สองเงาร่างนี้สวยงดงาม เพียงเห็นแผ่นหลังก็ดึงดูดความสนใจได้แล้ว อีกอย่างกลิ่นหอมนั้นก็มาจากสองเงาร่างนี้
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ สองเงาร่างนี้เปลือยกายครึ่งท่อน ผิวอันขาวนวลนั้นจึงปรากฏในสายตา เสื้อคลุมสีดำคลุมไหล่อย่างหลวม ๆ สิ่งเหล่านี้เป็สิ่งล่อใจผู้คนได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สองเงาร่างนี้ไม่ขยับเขยื้อน แต่ร่างที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์นั้นยังปกคลุมด้วยแสงจาง ๆ หนึ่งชั้น คล้ายกำลังอยู่ในสภาวะตระหนักรู้บางอย่าง
“ไม่คิดว่าจะมีคนพบที่นี่และเรียนรู้พลังฟ้าดินก่อนข้า” เย่เฟิงคิดในใจ จากนั้นเขาเตรียมจะกลับไปที่เดิม เพราะเขารู้ว่าไม่ควรรบกวนอีกฝ่าย
“ศิษย์พี่ ข้ารู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังแอบมองพวกเราสองคนอยู่!”
ขณะนั้นหญิงผู้หนึ่งขยับตัวและลืมตาขึ้น พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนกล่าวเช่นนั้นกับอีกเงาร่างหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ
หญิงอีกคนได้ยินคำพูดของหญิงผู้นั้นก็ลืมตาขึ้นฉับพลัน พร้อมไอเย็นปะทุออกจากร่าง
“ใครน่ะ?” หญิงผู้นั้นที่เพิ่งตื่นขึ้นมาตวาดเสียงดังด้วยเสียงเ็า
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพบเขาเร็วเพียงนี้
“ข้ามาที่นี่ในฐานะผู้ตระหนักรู้ มิได้ตั้งใจทำให้ขุ่นเคือง ไยต้องสนใจข้าด้วยเล่า?”
เย่เฟิงกล่าวเสียงสูง ด้วยน้ำเสียงไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งเกินไป
