เมื่อเห็นว่าหลางฉาไม่ได้รับาเ็หลังจากโดนโจมตีเข้าไปเต็มๆ แล้วนั้น ทุกคนก็รู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้รู้ผลแล้ว ไม่มีความจำเป็ต้องคาดเดาเื่แพ้ชนะอีก แส้ที่หลี่หนิงหว่านภูมิใจเป็หนักหนานั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหลางฉากลับไม่มีความน่าเกรงขามใดๆ ทั้งสิ้น
หลี่หนิงหว่านรู้สึกร้อนรนโกรธเคืองอยู่ในใจ นางเป็คนที่คิดว่าตนเป็ศูนย์กลางของทุกอย่าง คนที่ตามใจนาง นางอาจไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่คนที่ต่อต้านนางต้องไม่อาจอยู่เป็สุขได้ การประลองครั้งนี้ถึงแม้นางจะรู้ว่าตนเองคงไม่อาจได้อันดับต้นๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องจบั้แ่การแข่งขันรอบแรก!
“เพียะ...”
“เพียะ...เพียะ...”
เสียงดุดันของแส้ดังครั้งแล้วครั้งเล่าสะท้านเข้าหูผู้คน หลี่หนิงหว่านไม่เสียทีที่เป็สตรีอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินใหญ่ สามารถใช้แส้นั่นได้อย่างรุนแรงทำให้ผู้คนตกตะลึงจนตาลาย ไม่ออมมือแม้แต่น้อย ค่อยๆ ไล่บี้หลางฉาเข้าไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะถูกนางไล่บี้จนต้องถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่คนที่อยู่โดยรอบก็มองออกว่านางแค่ปล่อยพลังรุนแรงออกมาเพราะอับจนหนทางแล้วจึงออกกระบวนท่าไปส่งๆ ในทางกลับกันคู่ต่อสู้ของนางนั้นไม่รีบไม่ร้อนราวกับเดินเล่นก็ไม่ปาน ผู้คนที่ด้านล่างเวทีอดกลืนน้ำลายไม่ได้ แต่ละคนเบิกตากลมโต
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ถึงแม้หลี่หนิงหว่านจะเป็สตรี แต่วรยุทธ์ของหลี่หนิงหว่านนั้นก็สุดยอดจริงๆ คนในที่นี้ราวๆ แปดส่วนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แต่หลางฉากลับยังสงบนิ่งอย่างยิ่งภายใต้แส้ที่โหมกระหน่ำไม่หยุดพักของนาง
แส้ของหลี่หนิงหว่านนั้น...หลางฉาแค่ยื่นมือออกไปก็คว้าได้อย่างง่ายดาย ถึงต่อให้นางจะไม่ยินดีเอื้อมมือไปคว้า แต่ถูกหวดบ้างสักเล็กน้อยคงไม่น่ากลัวอะไร ยิ่งกว่านั้นนางยังมีวิชาตัวเบาที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ั้แ่เริ่มต้น!
ทุกคนมองเงาร่างของนางแล้วยังตาลายกว่ามองแส้ของหลี่หนิงหว่านเสียอีก ผู้คนด้านล่างเวทีต่างเงียบสนิทไร้เสียง
จิ่งเซียงมองเหยียนเฟิงเกอแล้วมองจิ่งฝาน ถามว่า “หากเป็พวกท่านสองคน จะสามารถโจมตีนางได้หรือไม่?”
คนทั้งสองยังไม่ตอบคำ จิ่งจื่อก็แย่งตอบว่า “ได้แน่นอนอยู่แล้ว!”
จิ่งเซียงกลอกตา “ไม่ได้ถามเ้าเสียหน่อย”
จิ่งจื่อเชิดคาง ท่าทางโอหัง “คำตอบของข้าก็คือคำตอบของพวกเขาสองคน”
จิ่งเซียงมองทั้งสองคนแล้วเห็นว่าล้วนมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็ไม่ได้แย้งจิ่งจื่อ คาดว่าคงเป็เช่นนั้น
จิ่งจื่อเอาแต่ไล่ตามเหยียนเฟิงเกอเพื่อจะได้โดนซัดจนน่วม สำหรับความสามารถของเหยียนเฟิงเกอนั้นเขาคุ้นเคยเป็อย่างดี แต่เหยียนเฟิงเกอยังสู้จิ่งฝานไม่ได้ หลางฉาร้ายกาจก็จริง แต่จิ่งจื่อคิดว่าเหยียนเฟิงเกอแข็งแกร่งกว่านางแน่นอน
พวกเขาคุยกันหาได้ลดเสียงให้เบาลงไม่ คนรอบข้างจึงมีที่ได้ยินบ้าง
คนหัวโตผู้หนึ่งทำสีหน้าดูถูก ท่าทางแปลกประหลาด “พวกท่านนี่ช่าง ‘เปิดเผยตรงไปตรงมาเสียจริง’ ทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับปากที่พูดหรืออย่างไร หรือดูไม่ชัดว่าตนเป็ผู้ใด?”
คนที่มาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ครั้งนี้...ที่อายุมากที่สุดก็ไม่เกินยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด คนหัวโตตรงหน้านี้ถึงแม้จะโกนหนวดเรียบร้อย แต่คางที่เขียวคล้ำ หน้าเหลี่ยมจอนหนา ผิวดำเหลือง ดูแล้วเหมือนชายแก่อายุสามสิบสี่สิบ
อ๋าวหรานอดสงสัยไม่ได้ คนผู้นี้ไปฉีดฮอร์โมนมาหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้ดูแก่ถึงเพียงนี้
จิ่งเซียงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะพยายามแสดงท่าทีเรียบร้อยอ่อนโยน แต่ในกระดูกดำก็นับว่าเป็คนแข็งไม่ยอมคน แล้วนางยังเป็คนชอบถือหางปกป้อง ผู้อื่นด่าว่านางนางสามารถทนได้ แต่หากด่าว่าพี่ชายนางหรือเพื่อนนาง เช่นนั้นนางย่อมทนไม่ไหวแน่ จึงหันศีรษะไปถลึงตาใส่เ้าหัวใหญ่นั่นด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “เ้าเป็ผู้ใดกัน? พวกเราพูดกันเอง ถึงตาเ้าพูดแทรกเข้ามาั้แ่เมื่อไร? ในเมื่อเ้ามองชัดเจนดีว่าตนเป็ผู้ใด เช่นนั้นเ้ารู้ว่าเมื่อออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกควรมีมารยาทเช่นไรบ้างหรือไม่?”
ถ้าเ้าคนตัวโตนั่นกล้าพูดแทรกเข้ามาก็แสดงว่าไม่ใช่ธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากับสาวน้อยเช่นจิ่งเซียงก็ไม่มีท่าทีอ่อนข้อใดๆ ถ่างคิ้วถลึงตา ยิ่งรวมกับหัวอันใหญ่โตนั่นแล้วดูค่อนข้างน่ากลัวยิ่ง “มารยาท? ข้ารู้แค่ว่าอยู่นอกบ้านหมัดเป็ใหญ่ที่สุด!”
พูดแล้วก็ยื่นหมัดขนาดเท่าอิฐพุ่งมาตรงหน้าของจิ่งเซียง หมัดใหญ่ดำมะเมื่อมนั้นราวกับจะมีขนาดพอๆ กับหัวของจิ่งเซียงเลย ทำให้จิ่งเซียงใจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
อ๋าวหรานยื่นมือไปจับหมัดเขาไว้แล้วออกแรงที่มือ ดันเ้าคนตัวใหญ่ที่น่าจะมีขนาดเท่ากับอ๋าวหรานสองคนครึ่งได้ขนานไปกับพื้นจนถอยหลังไปหลายก้าว คนผู้นั้นชัดเจนว่าถูกมือที่เข้ามากะทันหันนี้ทำให้ตกตะลึงจนนิ่งอึ้งไป เนิ่นนานก็ยังไม่อาจดึงสติกลับมาได้
อ๋าวหรานหาได้สนใจความตกตะลึงของเขาไม่ แรงที่มือไม่ลดกลับยิ่งเพิ่มขึ้น คนตัวโตนั่นมีสีหน้าเ็ปในทันทีแล้วจึงดึงสติกลับมาได้ อ๋าวหรานยิ้มให้อย่างอบอุ่นสว่างไสวราวกับหนุ่มน้อยที่ไร้เดียงสาแสนเชื่อฟัง “ท่านลุง…”
คำว่า ‘ท่านลุง’ นี้เรียกด้วยเสียงอันใสกังวานสะท้อนไปมา แต่คนที่ฟังอยู่ข้างๆ ล้วนรับรู้ได้ถึงความประสงค์ร้ายที่แรงกล้า “หมัดใหญ่จะมีประโยชน์อันใดกัน! หมัดแข็งแรงต่างหากถึงจะใช้ได้ ท่านอย่าโตแค่อายุหรือร่างกายเลย อย่างน้อยสมองก็ต้องโตตามไปด้วย”
อ๋าวหรานในโลกนี้อายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตาอ่อนเยาว์ขาวสะอาด ั์ตาดำราวกับขนกาเปล่งประกาย ตอนนี้มากะพริบตาเรียกท่านลุงก็ไม่ดูแปลกแม้แต่น้อย กลับดูน่ารักอยู่หลายส่วนจนทำให้พวกจิ่งเซียงปากอ้าตาค้าง อึ้งไปตามๆ กัน
ไม่ว่าปากจะพูดไปอย่างไร แต่ในใจอ๋าวหรานนั้นตัวสั่นไปสามรอบแล้ว เขาที่เป็คนแมนอย่างที่สุด ไม่เคยทำท่าทางน่ารักหรือเสียงบ้องแบ๊วมาก่อน ตอนนี้เพื่อจะทำให้ผู้อื่นขนลุกจึงไม่อาจไม่ฝืนตัวเอง ก็เปรียบเสมือนกับตัวเองฆ่าศัตรูไปได้พันคนแต่ฝ่ายตัวเองกลับต้องเสียไพร่พลไปแปดร้อยคน ตัวเขาตอนนี้รู้สึกขนลุกไปทั้งร่างแล้ว
ฉากเล็กๆ นี้ของพวกเขา...ใน่หลังคนบนเวทีก็พอได้ยิน หลางฉาชัดเจนว่าไม่มีความอดทนจะเล่นอีกต่อไปแล้ว รอบกายนางจึงปกคลุมไปด้วยหมอกขาวเป็ชั้นๆ บางกว่าที่เคยปกคลุมอยู่ที่มือนางมากนัก หากไม่ตั้งใจสังเกตให้ดีจะไม่มีทางมองเห็นเลย
อ๋าวหรานคาดว่าความหนาบางของหมอกนี้น่าจะแสดงถึงระดับของ ‘จี๋เต้า’ หมอกขาวยิ่งชัดเจนก็ยิ่งแข็งแกร่ง ในทางกลับกันหากไม่ชัดเจนเท่าไรก็ยิ่งอ่อนแอเท่านั้น แสดงว่าความสามารถของหลางฉายังไม่เท่าไร แค่ตอนที่รวมอยู่ที่มือเท่านั้นหมอกถึงจะเข้มขึ้นมา หากใช้ทั้งร่างก็จะเบาบางลงอย่างมาก ไม่รู้ว่าถ้าฝึกจนถึงระดับของทางเต๋อรั่วแล้วจะเป็อย่างไร?
ขบคิดเพียงครู่เดียวหลางฉาก็จับแส้ในมือของหลี่หนิงหว่านไว้เรียบร้อยแล้ว ดูแล้วไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย แล้วสะบัดทั้งคนและแส้ตกลงไปด้านล่างเวที ผู้คนด้านล่างเวทีที่รุมล้อมดูการแข่งขันของพวกนางสองคนอยู่นั้นมีมากมาย หลี่หนิงหว่านถูกสะบัดลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวหรือป้องกันใดๆ ก็ถูกสะบัดลงไปทั้งอย่างนั้นเลย โชคดีที่มีคนรักหยกถนอมบุปผาอยู่ด้านล่างหลายคน แต่ละคนรีบพุ่งเข้าไปเตรียมรับตัวนางไว้
หลี่หนิงหว่านถูกหนุ่มน้อยที่หน้าตานับว่าหล่อเหลารับไว้เต็มอ้อมแขน สีหน้าของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยความลุ่มหลง น่าเสียดายชัดเจนว่าคนงามกำลังโกรธจัดอยู่จึงรีบผลักเขาออกไป ส่งเสียงดังเฮอะอย่างเ็าออกมาแล้วหมุนตัวจากไป
เทียบกับกลุ่ม ‘ท่อนไม้ตายแล้ว’ ผู้โง่เขลาที่เอาแต่มองหญิงงาม พวกจิ่งเฟิงกั๋วที่อยู่บนที่นั่งหลักกับกลุ่มหลัวฉี่นั้นชัดเจนว่าไม่อาจใจเย็นได้ จิ่งเฟิงกั๋วนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางมาตลอด ไม่แม้แต่จะขยับก้นไปไหน ตอนนี้ทั้งร่างกลับลุกยืนขึ้นมา สีหน้ามืดครึ้มมองดูหลางฉาที่กำลังยิ้มเย้ายวน
สามารถเอาชนะหลี่หนิงหว่านได้ไม่ใช่เื่น่าแปลกใจอะไร แต่สิ่งที่ทำให้พวกจิ่งเฟิงกั๋วประหลาดใจก็คือวรยุทธ์ของหลางฉาที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
บนแผ่นดินใหญ่นี้แต่ละตระกูลใหญ่ล้วนกระจัดกระจายกันอยู่แต่ละมุม กลายเป็าาเผด็จการในเขตของตัวเอง ระหว่างพวกเขาเองก็มีการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ระแวดระวังกัน ตระกูลหวางสามารถส่งสายลับเข้าไปในแต่ละตระกูลใหญ่ได้ ตระกูลอื่นเองก็เช่นกัน อย่างไรเสียหากไม่ใช่ตระกูลตนเอง ทุกคนล้วนน่าสงสัยหมด รู้เขารู้เราถึงจะสามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งได้
ดังนั้นตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลบนแผ่นดินใหญ่...ในตระกูลมีกี่คน ใช้วรยุทธ์อะไร ยอดฝีมือมีเท่าไร ระหว่างพวกเขาด้วยกันในใจก็ล้วนรู้ทั้งสิ้น รวมถึงห้องข่าวไวของตระกูลจิ่งที่เคยพูดถึงเมื่อก่อนเองก็มีหน้าที่สืบข่าวเื่พวกนี้
ในแผ่นดินใหญ่มีตระกูลใหม่ใดปรากฏขึ้นมา มีวรยุทธ์ใหม่ๆ ที่แข็งแกร่งอย่างไร ส่วนใหญ่ล้วนรู้ไปถึงหูของบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น แล้วยังถูกสืบหาตื้นลึกหนาบางอย่างว่องไว หากว่าแข็งแกร่งเกินไปหรือมีอำนาจถึงขนาดข่มขู่ตระกูลใหญ่ได้ คาดว่าก็คงจะถูกข่มไว้อย่างรวดเร็ว แน่นอนก็มีบ้างเหมือนกันที่ทั้งแข็งแกร่งและเ้าเล่ห์ ทำเป็เชื่อมสัมพันธ์ด้วย สุดท้ายก็ลอบกัดฆ่าฟันกันอย่างนองเื
แต่ทว่าจิ่งเฟิงกั๋วค้นหาข้อมูลทุกอย่างในหัว ล้วนไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตระกูลทางเลย และยิ่งไม่มีวรยุทธ์ของตระกูลใดที่เหมือนกับแม่นางบนเวทีผู้นี้ สามารถเอาชนะคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ได้อย่างง่ายดาย แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้จัก แบบนี้ยอมไม่ได้แล้ว
จิ่งเฟิงกั๋วกวักมือ แล้วบุรุษผู้มีท่าทางไม่สะดุดตาที่หลบมุมอยู่ผู้หนึ่งก็รีบเดินมาอยู่ด้านหลังเขาอย่างไว
จิ่งเฟิงกั๋วมีสีหน้าเข้มงวด “รีบไปแจ้งห้องข่าวไว รีบสืบหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลทางให้เร็วที่สุด!”
ชายผู้นั้นก็พยักหน้ารับว่าขอรับ
หลางฉาน่าจะเป็เพียงคนเดียวตอนนี้ที่ค่อยๆ เดินลงจากเวทีอย่างช้าๆ ภายใต้ดวงตานับหมื่นคู่ของคนทั้งหมด แม้แต่หลัวฉี่ก็เกรงว่าคงจะไม่ดูยิ่งใหญ่เท่านางแน่ ทุกที่ที่นางเดินผ่าน ทุกคนล้วนหลีกทางให้เป็แถว หลางฉาก็ดูไม่กลัวแม้แต่น้อย ผ่าเผยและสงบนิ่งยิ่งนัก ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางไม่ได้เป็เพียงลูกสาวบุญธรรมจากตระกูลเล็กๆ กลับเหมือนเ้านายจากตระกูลใหญ่ที่ทุกคนล้วนเคารพนอบน้อม
เมื่อกลับมาถึงตรงหน้าทางเต๋อรั่ว หลางฉาก็คารวะอีก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ “คุณชาย ข้าชนะแล้วเ้าค่ะ”
ทางเต๋อรั่วรับไปคำหนึ่งอย่างเรียบเฉย ไม่มีท่าทางดีใจหรือชื่นชมแม้แต่น้อย ท่าทางสงบนิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องเป็เช่นนี้อยู่แล้วและไม่คู่ควรจะพูดขึ้นมาอะไรอย่างนั้น
คนโดยรอบที่ตอนนี้กราบไหว้อยู่ใต้ชายกระโปรงของหลางฉาแล้วเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันใด เทพธิดาสูงศักดิ์ในใจพวกเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เขากลับไม่ส่งสายตามองมาแม้สักนิด ความแตกต่างขนาดนี้เกินจะรับไหวจริงๆ
แต่ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่อให้จะไร้สมองสักเพียงไรก็ไม่มีทางไปท้าทายทางเต๋อรั่ว ต่อให้จะโง่งมแค่ไหนก็ยังพอดูคนออก
จิ่งเฟิงจั๋วมองความเคลื่อนไหวด้านล่าง คิ้วและเคราขาวแทบจะขมวดปมเข้าหากันอยู่แล้ว “ตระกูลทางนี้ตกลงว่ามาจากที่ใดกัน?”
จิ่งเฟิงกั๋วส่ายหน้า สีหน้าไม่น่ามองนัก “เหวินซาน งานเลี้ยงวันนี้มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่”
จิ่งเหวินซานขมวดคิ้วและรู้สึกตระหนกใเพิ่มขึ้นหลายส่วน “เมื่อครู่ข้าก็พูดไปทั้งหมดแล้ว ความไม่ปกติเดียวก็คือเ้าเด็กตระกูลสวีนั้นนอบน้อมต่อเขามาก ทั้งหวาดกลัวทั้งประจบเอาใจ ปรนนิบัติทางเต๋อรั่วผู้นั้นราวกับปรนนิบัติเ้านายก็ไม่ปาน”
จิ่งเฟิงกั๋วดูเหมือนยังไม่ตายใจ “เท่านี้หรือ?”
ตระกูลสวีนั่นเอาแต่หมุนรอบทางเต๋อรั่ว ข้อนี้เขาสังเกตเห็นนานแล้ว จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตระกูลทางนั้นเป็ตระกูลลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาได้ เช่นนั้นหลายสิบปีมานี้เขาก็อยู่มาเสียเปล่าแล้ว!
แต่ตระกูลลึกลับที่แอบซ่อนอยู่หลายปีเช่นนี้ เหตุใดถึงโผล่ออกมากะทันหัน แล้วยังมาร่วมงานประลองครั้งนี้อีก ทำให้จิ่งเฟิงกั๋วไม่อาจไม่คิดมากได้
เนื้อบนใบหน้าของจิ่งเหวินซานแทบจะบิดเบี้ยวแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็คิดอะไรบางอย่างออก “ยังมีเื่ประหลาดอยู่อีกอย่างขอรับ เ้าเด็กทางเต๋อรั่วนี่ดูสูงส่งเสียเหลือเกิน ในงานเลี้ยงทุกคนพูดกับเขาตั้งหลายคำ เขาก็หาได้สนใจไม่ แต่ว่าเขากลับเข้าไปพูดคุยกับคนผู้หนึ่งก่อน”
“ผู้ใด!” จิ่งเฟิงกั๋วสายตาแหลมคมราวกับเหยี่ยวที่จ้องเหยื่อ
จิ่งเหวินซานถูกมองจนสั่นสะท้าน “เป็เ้า...เ้าเด็กจากตระกูลอ๋าวที่ยังเหลืออยู่เพียงผู้เดียวนั่น”
จิ่งเหวินซานเห็นสีหน้าของจิ่งเฟิงกั๋วปรากฏแววสงสัยก็อธิบายอีกว่า “ก็คือเด็กที่พวกจิ่งฝานช่วยเอาไว้ คนที่ถูกฆ่าล้างตระกูลผู้นั้น”
เมื่อพูดเช่นนี้จิ่งเฟิงกั๋วจึงนึกออก ดวงตาดำขาวหรี่ลง คิ้วขมวดมุ่นเข้าด้วยกัน ริมฝีปากที่เดิมทีเหยียดลงก็ยิ่งเหยียดลงมากกว่าเดิม จิ่งเหวินซานถูกท่าทางเช่นนั้นของเขาทำให้ตกตะลึงเสียจนขาสั่น เหงื่อซึมหน้าผาก
จิ่งเฟิงกั๋วไม่สนใจเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ส่งคนไปแจ้งห้องข่าวไวอีกว่าให้พวกเขาสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทางกับตระกูลอ๋าวด้วย พยายามสืบให้ได้ว่าผู้ที่ฆ่าล้างตระกูลอ๋าวแท้จริงแล้วเป็ผู้ใด!”
จิ่งเหวินซานรีบพยักหน้า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะแสนงุนงง แต่ความน่าเกรงขามของจิ่งเฟิงกั๋วก็ยังสามารถจี้ให้เขารีบเร่งทำงานได้อย่างมือเท้าพันกัน
ความวุ่นวายบนที่นั่งหลักไม่ได้ขัดขวางการประลองยุทธ์ด้านล่างไม่ให้ดำเนินไปแต่อย่างใด เมื่อเด็กรับใช้ตระกูลจิ่งจัดการเวทีประลองเรียบร้อยแล้ว ชายร่างใหญ่ก็ตีกลองให้สัญญาณ
รอบนี้ถึงตาอ๋าวหรานลงสนามแล้ว
ถึงแม้คนของจิ่งฝานจะเก่งกาจสักเพียงไร แต่ชัดเจนว่าคงไม่สามารถสืบหาคนผู้หนึ่งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อแซ่ที่รู้มานั้นเป็ของจริงหรือไม่ได้ภายในเวลาแค่สองชั่วยาม
อ๋าวหรานหันศีรษะไปมองพวกเขา หลังจากนั้นก็หันศีรษะกลับไปอย่างตัดตะปูตัดเหล็ก เดินขึ้นเวทีโดยไม่หันศีรษะกลับมาอีก
จิ่งฝานมอง่ไหล่ของเขาที่ตอนนี้นับว่าสูงชะลูดด้วยสติล่องลอยอย่างน่าตื่นตะลึง ในสายตามีเงาคนมากมาย แต่ก็ราวกับล่องลอยไม่ใช่ของจริง มีเพียงเงาร่างสีฟ้านั่นที่ชัดเจนเปล่งประกาย รูปร่างที่มองเห็นภายใต้ชุดสีฟ้านั้นดูผอมบาง ข้อต่อชัดเจน แต่กลับทำให้เขารู้สึกว่าน่ามองอย่างประหลาด
จิ่งฝานรู้สึกว่าหัวใจดวงนั้นของตัวเองเหมือนจะเต้นตึกตักอยู่หลายที รุนแรงจนรู้สึกเหมือนใจสั่น
