หลังจากสำรวจมิติแห่งนี้มาทั้งคืน ในที่สุดเคอโยวหรานกับต้วนเหลยถิงก็รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้เฒ่าทั้งสองถึงได้อยากอยู่ภายในมิติแห่งนี้มากนัก
ที่แท้ภายในหอคอยโบราณทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยตำราแพทย์พิษโบราณที่สูญหายไปเนิ่นนานแล้ว
ด้านหลังหอคอยยังเป็ผืนดินสีดำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซึ่งแบ่งออกเป็สองฝั่งในสัดส่วนเท่ากัน ภายในนั้นปลูกพืชนานาชนิด มีทั้งสมุนไพรล้ำค่าหายากและพืชพิษอีกด้วย
ผู้เฒ่าทั้งสองไม่เพียงสามารถศึกษาตำรา แต่ยังมีแหล่งให้เก็บพืชสมุนไพรไม่มีวันหมดสิ้น
สำหรับผู้เฒ่าทั้งสองที่หลงใหลในวิชาแพทย์และพิษแล้วนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนคือแรงดึงดูดอันทรงพลังโดยไม่ต้องสงสัย มิน่าเล่า พวกเขาทั้งสองคนถึงได้พยายามตามหามิติหมาป่าอย่างลำบากลำบนขนาดนั้น...
เพราะการสื่อสารกับอิ๋นเยวี่ยผ่านทางความคิด เคอโยวหรานจึงรู้ว่าตัวนางก็คือผู้มีอำนาจชี้ขาดของมิติวิเศษแห่งนี้
ั้แ่ครั้งแรกที่นางเข้ามาในมิติ นางก็ได้ทำพันธสัญญากับสระบัวเจ็ดสีเอาไว้แล้ว น้ำทิพย์ภายในสระบัวเ่าั้ ขอเพียงนางนึกคิดก็จะสามารถนำมาใช้ได้ทุกเมื่อ
เคอโยวหรานแทบจะหลั่งน้ำตาเพราะความโง่เขลาของตนเอง ทุกครั้งที่เข้ามา นางยังเอาขวดน้ำแร่มากรอกน้ำในสระบัวอย่างโง่เง่า หมาป่าดำจะต้องหัวเราะเยาะตนจนท้องแข็งอยู่ในใจเป็แน่!
ส่วนต้วนเหลยถิงทำพันธสัญญากับโม่เจวี๋ย สามารถเข้าออกมิติได้ตามอำเภอใจ ทั้งหยิบจับข้าวของภายในมิติได้ แต่กลับมิอาจแตะต้องน้ำในสระบัวเจ็ดสี
นี่เหมือนกับผู้ถือบัตรหลักกับผู้ถือบัตรเสริมของธนาคาร เคอโยวหรานก็คือผู้ถือบัตรหลัก มีอำนาจในการกระทำสิ่งต่างๆ ได้ไม่น้อย ทว่าต้วนเหลยถิงคือผู้ถือบัตรเสริม สามารถใช้งานตามสิทธิ์ในส่วนของบัตรเสริมเท่านั้น
นอกจากนี้มิใช่ว่าจะเข้าออกได้ทุกแห่งหนภายในมิติ เพราะส่วนที่มีม่านหมอกปกคลุม นอกจากพ่อหมาป่าที่สามารถพาลูกหมาป่าเข้าออกได้
กระทั่งเคอโยวหรานก็ยังมิอาจย่างก้าวเข้าไป ม่านหมอกเ่าั้เปรียบเสมือนสิ่งกีดขวางที่คอยบดบังเอาไว้
ไม่ว่าต้วนเหลยถิงกับเคอโยวหรานจะพยายามคิดหาหนทางเช่นไรก็ยังมิอาจเข้าไป
เพียงแต่พวกนางทั้งสองไม่ได้ยึดติดกับปัญหานี้แต่อย่างใด ยามนี้มีสระบัวเจ็ดสี หอเล็กฝานหวา หอคอยโบราณ และยังมีน้ำพุร้อนธรรมชาติ เท่านี้พวกนางก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว
ขณะที่เคอโยวหรานกับต้วนเหลยถิงกำลังสำรวจมิติวิเศษ ท้องฟ้าเพิ่งจะโผล่แสงรุ่งอรุณ เถ้าแก่อวี๋ก็สั่งให้คนเทียมรถม้ามุ่งหน้าไปยังเรือนผู้ใหญ่บ้านเฉินอย่างรีบร้อน
เพราะเขาถูกศิษย์น้องหญิงที่มิอาจวางใจของนายท่านขุดหลุมฝังจนน่าเวทนาเสียแล้ว
เมื่อวานเถ้าแก่อวี๋ถึงขั้นผุดความคิดอยากตายเนื่องจากถูกเหล่าแเื่เข้าล้อมโรงสุรา เขาจึงไม่อยากประสบกับเื่ราวเช่นนั้นอีกครั้ง
หากวันนี้สินค้ายังขาดตลาด เช่นนั้นโรงสุราของพวกเขาคงต้องปิดประตูพักกิจการแล้วจริงๆ
ทันทีที่เถ้าแก่อวี๋คิดว่านายท่านที่รักเงินดุจชีวิตผู้นั้นรู้ว่าตนปิดโรงสุรา แม้ว่าจะขาดรายได้ไปเพียงวันเดียว นายท่านย่อมมีวิธีการมากมายที่ไม่รู้จักหมดสิ้นมาทรมานคน...
เถ้าแก่อวี๋ไม่กล้าคิดต่อ เมื่อมาถึงเรือนผู้ใหญ่บ้านเฉิน เขาพลันะโลงจากรถม้าทั้งที่ยังไม่ทันจอดสนิทเลยด้วยซ้ำ
ครั้นเห็นเถ้าแก่อวี๋ ขมับของผู้ใหญ่บ้านเฉินก็ถึงกับเต้นตุบ เมื่อนึกถึงเื่ที่ตนผิดสัญญา ทั้งวันก่อนกับวันนี้ล้วนแต่มิได้ทำเต้าหู้กับเต้าฮวย จึงเกิดเป็ความรู้สึกใจฝ่อหาใดเปรียบ
แต่ผู้ใดจะนึกว่าเมื่อเถ้าแก่อวี๋เห็นเขา กลับยกยิ้มจนใบหน้ายับย่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุนยิ่งนัก
“ไอ้หยา ผู้ใหญ่บ้านเฉิน ท่านเป็อย่างไรบ้าง? ปกติเห็นเพียงบุตรชายทั้งสองของท่านไปส่งเต้าหู้ มิได้พบท่านผู้เฒ่ามาสักพักแล้วจริงๆ”
น้ำเสียงอ่อนน้อมและสีหน้าประจบเอาใจของเถ้าแก่อวี๋ทำให้คนทั้งเรือนผู้ใหญ่บ้านเฉินมึนงงเสียแล้ว
ครั้นเห็นผู้ใหญ่บ้านเฉินนิ่งงันไม่เอ่ยสิ่งใด เถ้าแก่อวี๋จึงเอ่ยประจบว่า “ผู้ใหญ่บ้านเฉิน เหตุใดเมื่อวานท่านถึงไม่ไปส่งเต้าหู้กับเต้าฮวยงั้นหรือ? วันนี้จะทำให้ข้าสักเล็กน้อยเพื่อเอาไปแก้ขัดสักหน่อยได้หรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินเผยสีหน้าลังเล เพราะโยวหรานยังไม่ทันบอกเื่ใดต่อเขา หากบุ่มบ่ามทำเต้าหู้อีกครั้งจะเกิดปัญหาใดขึ้นหรือไม่?
ครั้นเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่อวี๋ ผู้ใหญ่บ้านเฉินก็มิอาจหาข้ออ้างเพื่อบอกปัดได้และกำลังลำบากใจ
เฉินต้าจ้วงดูออกว่าบิดาของตนกำลังลำบากใจ จึงฉวยโอกาสขณะเถ้าแก่อวี๋ไม่ทันสังเกตแอบออกจากเรือน จากนั้นวิ่งห้อตะบึงไปยังเรือนสกุลต้วน
เพิ่งจะเข้ามาในเรือนสกุลต้วน เฉินต้าจ้วงถึงกับหายใจไม่ทันจนแทบจะเป็ลมล้มหงาย
เคอเจิ้งตงที่กำลังเตรียมจะเดินทางไปสำนักศึกษารีบเข้าไปประคอง ก่อนเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “เกิดเื่ใดขึ้นหรือ? เหตุใดท่านอาใหญ่เฉินถึงรีบร้อนเช่นนี้?”
ต้วนต้าหลางกับต้วนเอ้อร์หลางรีบเข้ามาห้อมล้อม พวกเขาทอดมองเฉินต้าจ้วงด้วยสายตาเป็กังวล ภายในใจต่างคาดเดาว่าเป็เพราะเกิดเื่อันใดกับซานหลางแล้วใช่หรือไม่?
เพราะต้วนเหลยถิงกับเคอโยวหรานไล่ตามชายชุดดำสวมผ้าคลุมไปหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังไม่กลับมา คนผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขุนนาง เมื่อซานหลางเผชิญหน้ากับชายชุดดำสวมผ้าคลุมจึงนับว่าอันตรายมากเกินไป
ทว่าผู้ใดจะคาดคิด หลังเฉินต้าจ้วงปรับลมหายใจจนสงบลง สิ่งที่เอ่ยออกมาเป็ประโยคแรกกลับคือ “ซานหลางกับโยวหรานอยู่หรือไม่? เถ้าแก่อวี๋ของโรงสุราฟู่หยวนมารับเต้าหู้ถึงเรือนด้วยตนเอง เช่นนี้พวกเราจะทำหรือไม่ทำดี?”
เคอเจิ้งตงเอ่ยด้วยความไม่สบายใจ “ซานหลางกับโยวหรานยังมิได้บอกพวกท่านหรือว่าพวกเขาลงนามในสัญญาฉบับใหม่กับโรงสุราฟู่หยวนแล้ว ตกลงปันกำไรสุทธิจากการขายเต้าหู้กับเต้าฮวยฝ่ายละห้าต่อห้า ควรจะเริ่มทำเต้าหู้และส่งไปั้แ่เมื่อวานแล้วขอรับ
“หะ...ห้า...ห้าต่อห้า?” เฉินต้าจ้วงถึงขั้นโง่เซ่อไปเสียแล้ว
เต้าฮวยหนึ่งถ้วยขายราคาหนึ่งตำลึง หากแบ่งกำไรห้าต่อห้าจะเป็เงินตั้งเท่าใด? เดิมทีสมองของเฉินต้าจ้วงก็ไม่ค่อยจะพอใช้งานนัก จึงมิอาจคำนวณว่าพวกเขาจะได้เงินมากน้อยเพียงใดจากการแบ่งกำไรเช่นนี้
เฉินต้าจ้วงถึงขั้นรู้สึกว่าฝีเท้าเบาหวิวราวกับยืนอยู่บนปุยฝ้าย คล้ายจะลอยละล่องไปเสียแล้ว?
กระทั่งกลับมาถึงเรือน เฉินต้าจ้วงยังคงเหม่อลอยอยู่บ้าง เฉินเอ้อร์จ้วงเห็นอีกฝ่ายเป็เช่นนี้จึงรู้สึกงุนงงยิ่งนัก
เขารีบร้อนดึงเฉินต้าจ้วงให้เดินไปด้านข้างแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปเรือนสกุลต้วนแล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง? ท่านยังมัวเหม่ออันใด? แท้จริงแล้วเกิดเื่ใดขึ้นหรือขอรับ?”
ครั้นเฉินเอ้อร์จ้วงเห็นท่าทางเช่นนี้ของพี่ชายตน หัวใจถึงกับว้าวุ่นและเต้นระส่ำจนแทบกระโจนออกมาจากลำคอ คงมิใช่ว่าเกิดเื่อันใดขึ้นกับสกุลต้วนแล้วกระมัง?
เฉินต้าจ้วงสูดลมหายใจเข้าลึกหลายเฮือกก่อนจะบอกเล่าเื่ที่เกิดขึ้นออกมาหนึ่งรอบอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาของเฉินเอ้อร์จ้วงถึงกับเลื่อนลอยโดยพลัน
“นะ...นี่...นี่โยวหรานทำอย่างไร...ไปหารือกันเช่นไรมา? ชะ...ช่าง...”
“เก่งกาจเกินไปแล้วใช่หรือไม่?” ครั้นเห็นน้องชายของตนตกตะลึงจนลิ้นพันกัน เฉินต้าจ้วงจึงเอ่ยเสริมประโยคของอีกฝ่ายให้สมบูรณ์
กล่าวตามตรง จนถึงยามนี้เฉินต้าจ้วงก็ยังอุทานอยู่ในใจไม่ยอมหยุด โยวหรานของเรือนผู้เฒ่าเคอจะเก่งกาจเกินไปแล้ว!
ไม่รู้จริงๆ ว่าเรือนผู้เฒ่าเคอหลังนั้นคิดสิ่งใด ถึงได้ผลักไสต้นไม้เขย่าทรัพย์เช่นนี้ออกไป เห็นทีคงสมองบวมแล้วกระมัง?
“มิสู้เอาเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านเฉินบอกข้าว่าเรือนของซานหลางอยู่ที่ใด ข้าจะไปหารือกับฮูหยินน้อยสกุลต้วนสักหน่อย วันนี้มิอาจปล่อยให้สินค้าขาดตลาดได้อีกแล้วจริงๆ!”
ขณะเฉินต้าจ้วงกับเฉินเอ้อร์จ้วงกำลังสนทนากันเสียงเบา อีกฝั่งหนึ่งได้มีเสียงวิงวอนของเถ้าแก่อวี๋ดังขึ้น
เฉินต้าจ้วงพลันได้สติกลับมา รีบสาวเท้าไปตรงหน้าเถ้าแก่อวี๋แล้วประสานมือคารวะเอ่ยว่า
“ต้องขออภัยเถ้าแก่อวี๋เป็อย่างยิ่ง เมื่อวานมีเื่ทำให้เสียเวลาจนมิอาจทำเต้าหู้ เอาเช่นนี้ ท่านกลับไปก่อน อย่างช้าที่สุดคือเที่ยงวัน พวกเราจะทำเต้าหู้กับเต้าฮวยหนึ่งหม้อแล้วส่งไปให้ท่านอย่างแน่นอนขอรับ”
“จริงหรือ?” เถ้าแก่อวี๋เผยสีหน้ายินดี ก้มหน้าค้อมเอวกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้งอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงค่อยปาดเหงื่อแล้วนั่งรถม้ากลับโรงสุราฟู่หยวน
ผู้ใหญ่บ้านเฉินจ้องมองด้านหลังของเถ้าแก่อวี๋ที่กำลังจากไปอย่างงุนงง “โรงสุราฟู่หยวนอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน? เกิดความผิดพลาดประการใดหรือไม่?”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ วันนี้เถ้าแก่อวี๋ผู้นี้กินยาผิดแล้วกระมัง?
แม้อยู่ต่อหน้านายอำเภอ เถ้าแก่อวี๋ก็ยังไม่เอ่ยเสียงเบาอย่างอ่อนน้อมเช่นนี้กับท่านนายอำเภอเลยด้วยซ้ำ?
ผู้ใหญ่บ้านเฉินพลันคิดว่า เมื่อวานตนนอนผิดท่าแล้วหรือไม่ ยามนี้อาจยังไม่ตื่น นี่คงเป็ความฝันกระมัง?