ฉีตงหยวนก้มศีรษะอยู่จึงมองไม่เห็นสายตาเ็าของเหยียนอู๋อวี้ ทว่าจวินอู๋เสียกลับเห็นมันชัดเจน เขากับฉีตงหยวนเคยมีมิตรภาพต่อกัน ปีนั้นเพราะความสัมพันธ์ของอวิ๋นอู่เหยียน ทั้งสองจึงสนิทสนมกัน ฉีตงหยวนเป็คนนำข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาอวิ๋นมาบอกเขา ต่อมาพวกเขาสองคนค่อยๆ กลายเป็คนแปลกหน้า แม้พบกันในวังก็ทำเป็ไม่รู้จักกัน แค่เพียงพยักหน้าให้กันเท่านั้น
“คุณหนู เจอตัวท่านเสียที” ป้าโฉ่ววิ่งเข้ามาจากประตูทางเข้า ตอนแรกนางเฝ้าอยู่อีกประตูหนึ่งและไม่เห็นฉีตงหยวนเข้ามา นางจึงเข้ามาเตือนไม่ทัน ต่อมาเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขาด้านใน นางจึงจงใจมาช้าเล็กน้อยและแสร้งทำทีเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน
เหยียนอู๋อวี้ถูกเสียงป้าโฉ่วปลุกให้ตื่น สีหน้านางกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง นางทำท่าทางยื่นมือคล้ายประคองฉีตงหยวนพลางกล่าว “ข้าเข้าวังมาได้ไม่นานจึงหลงทาง เดิมทีคิดจะรบกวนให้องค์ชายจวินช่วยชี้ทาง ในเมื่อท่านแม่ทัพมาแล้ว สะดวกนำทางให้ข้าได้หรือไม่?”
ฉีตงหยวนไหนจะเลยจะไม่ตอบตกลง เขากล่าวลาจวินอู๋เสียแล้วพาเหยียนอู๋อวี้จากไป
ตลอดทางเหยียนอู๋อวี้นิ่งเงียบมองแผ่นหลังของเขา นางขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายสายตานางพลันหยุดอยู่บนมือเขา
ใช่แล้ว เมื่อครู่ั้แ่เขาเข้ามา นางก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เพียงแต่นางหาสาเหตุไม่พบ ขณะนี้เมื่อเห็นท่าทางการถือกระบี่ของเขา ในที่สุดก็นึกออกว่าตรงใดที่ผิดปกติ
เขาถือกระบี่ด้วยมือขวา ทว่าเมื่อก่อนเขาถือด้วยมือซ้าย
เกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่?
ในใจเหยียนอู๋อวี้เกิดความสงสัย นางอ้าปากพูดโดยมิได้ตั้งใจ “หัวหน้าฉี? แล้วแม่ทัพฉีผู้นั้นเล่า?”
ฉีตงหยวนตะลึงงันครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ทูลฉายเหริน นั่นเป็เมื่อก่อน ตอนนี้กระหม่อมแยกมาดูแลกองทหารรักษาพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้กล่าวอีกครั้ง “ตอนข้าอยู่ในห้องเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านแม่ทัพว่าตัดศีรษะโจรชั่วมานับไม่ถ้วน ยามนี้เมื่อได้เจอก็รู้สึกประหลาดใจจริงๆ”
ภายในดวงตาของฉีตงหยวนเศร้าหมองเล็กน้อย บนใบหน้าไร้ซึ่งสีหน้าอื่นใด เขาเพียงแค่เผยสีหน้าซาบซึ้งตามปกติ กล่าวขอบคุณพระสนมหนึ่งประโยคแล้วไม่เอ่ยอันใดอีก
เหยียนอู๋อวี้กล่าวแย้มยิ้ม “กลับกัน ควรเป็ข้าที่ขอบคุณท่าน หากไม่ใช่เพราะวีรบุรุษอย่างใต้เท้าฉีปกป้องแคว้นเซวียน ข้าคงไม่มีโอกาสมายืนพูดจาฉะฉานอยู่ที่นี่ และเป็เป้ารังแกของแคว้นอื่นนานแล้ว ยามนี้แม่ทัพฉีบรรลุผลสำเร็จแล้วถอนตัวออกมาบัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ปกป้องวังต้องห้าม ข้ายิ่งสบายใจ”
ฉีตงหยวนรู้สึกว่านางพูดจาฉอเลาะไปเรื่อย ทว่าอย่างไรแล้วนางก็เป็นายหญิง จำใจต้องอดทน และไม่คาดคิดเลยว่าเหยียนฉายเหรินผู้นี้จะยิ่งพูดเลยเถิด นางชี้ไปที่หินใหญ่ก้อนหนึ่งพลางกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาบ่อยๆ ว่าใต้เท้าฉีห้าวหาญไร้เทียมทาน ยามนี้ช่วยเปิดหูเปิดตาให้ข้าดูพลังของท่านสักหน่อยได้หรือไม่?”
ฉีตงหยวนขมวดคิ้วแน่นและพลันรู้สึกอับอาย เขาแอบสบถด่าซ่งอี้เฉินอยู่ในใจ หลายปีมานี้สตรีที่ถูกเลือกเข้าวังหลวงล้วนเป็พวกไม่ได้เื่ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนไร้สมองเช่นนี้ด้วย ไม่มีผู้ใดเหมือนศิษย์พี่หญิงในยามนั้นเลย...…
เมื่อนึกถึงเื่นี้เขาจึงยับยั้งความคิดทันทีและเผชิญกับแววตาของเหยียนอู๋อวี้ จากนั้นจึงเดินไปที่หินใหญ่ก้อนนั้น นางเป็นายหญิง เขามิอาจขัดคำสั่งได้
เขายกสองมือขึ้นครู่หนึ่ง มือข้างซ้ายไม่เป็ดั่งใจหวังพลันตกลง เขาตกตะลึงยังไม่ทันได้สติ จากนั้นก็จึงนึกขึ้นได้ว่ามือซ้ายของตนเองใช้การไม่ได้แล้ว
นางกำนัลด้านข้างถือผ้ามาช่วยเช็ดมือให้เขา เหยียนอู๋อวี้ที่อยู่ด้านหลังปรบมือพลางกล่าวอย่างมีความสุข “ใต้เท้าฉีห้าวหาญไร้เทียมทานจริงดังคาด ข้าจะให้ฝ่าาชมเชยและตกรางวัลแก่ท่าน!”
เขาขอบคุณอย่างไม่เต็มใจนัก รีบส่งนางกลับตำหนักเฟิ่งชัย จากนั้นจึงจากไปทันที
เหยียนอู๋อวี้มองแผ่นหลังของเขาพลางเอ่ยถามเสียงเข้ม “เห็นอันใดบ้าง?”
ป้าโฉ่วตอบกลับเสียงเบา “เมื่อครู่บ่าวถือโอกาสจับชีพจรยามเช็ดมือให้เขา พบว่า…”
“พบอันใด?”
ป้าโฉ่วคล้ายจะทนไม่ไหว ทว่ายังคงกล่าวว่า “เส้นเอ็นมือซ้ายของเขาขาดแล้ว ยกของหนักไม่ได้เลยเพคะ”
เหยียนอู๋อวี้พลันหมุนกายกลับมามองนางอย่างใ “เ้าว่าอย่างไรนะ?”
“เส้นเอ็นมือของใต้เท้าฉีคล้ายจะถูกคนตัดขาดแล้วเพคะ” ป้าโฉ่วเอ่ยเสียงเบาอีกรอบ เมื่อเห็นสีหน้านางค่อยๆ ซีดขาว ป้าโฉ่วจึงรีบประคองนางพลางเอ่ยถามอย่างเป็กังวล “คุณหนู ท่านเป็อันใดหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนเพคะ?”
“เ้าลิงน้อยใช้มือซ้ายั้แ่เริ่มเรียนกระบี่ บิดาข้าปรับปรุงวิชากระบี่ตระกูลอวิ๋นให้เหมาะกับมือซ้ายของเขาโดยเฉพาะ ทว่ายามนี้...…มือซ้ายเขา...…”
เมื่อครู่ยามที่พบกับฉีตงหยวนครั้งแรก นางเพียงแค่รู้สึกโกรธในใจ แม้การที่คนคนหนึ่งสามารถหลบหนีจากภัยพิบัติใหญ่ครั้งนั้นของตระกูลอวิ๋นได้เป็เื่ที่ดี ทว่าหลายปีมานี้ฉีตงหยวนมีชีวิตไหลไปตามน้ำ นางรู้สึกไม่พอใจ ไหนเลยจะทำตัวดีกับเขาได้
ไม่คาดคิดเลยว่ามือซ้ายของเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว
เหยียนอู๋อวี้แอบรู้สึกสำนึกผิด นางไม่ควรตัดสินเขาทั้งที่ยังไม่ได้สืบหาความจริง วันนี้ได้ยินข้อมูลมากเช่นนี้ นางจึงสงบสติอารมณ์ไม่ได้เลย
นางทั้งหวังให้ฉีตงหยวนได้ดี ทั้งกังวลว่าเขาจะลืมความตั้งใจแรกเริ่มไปแล้ว และไม่อยากให้เขาพัวพันกับความขัดแย้งนี้ ทว่าเมื่ออยู่ในเมืองนี้ มีผู้ใดบ้างที่ไม่เกี่ยวข้อง?
ในเมื่อยามนี้นางเลือกเดินเข้ามาแล้วคงหลีกเลี่ยงผู้คนและเื่ราวในวันวานไม่ได้อย่างแน่นอน จวินอู๋เสียเอย ฉีตงหยวนเอย บางทีอาจจะมีคนที่นางคุ้นเคยอีกมาก
......
เหยียนอู๋อวี้ใช้เวลาหลายวันกว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้ โชคดีที่มีอู๋เจี๋ยอวี๋คอยรังควานนาง ส่วนซ่งอี้เฉินหลายวันมานี้ไม่ได้ปรากฏตัว แม้นางจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ทว่ายามนี้นางไม่มีเวลาไปสนใจเื่ของซ่งอี้เฉิน
ยามที่คำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงร้อยบุปผาขององค์หญิงใหญ่ส่งมาถึงตำหนักเฟิ่งชัย เหยียนอู๋อวี้กำลังนั่งอยู่ใต้ชั้นวางดอกหล่าปาในเรือน นางกำนัลหลายสิบคนเดินเรียงแถวมาเบื้องหน้า บางคนเฉลียวฉลาด บางคนขลาดกลัว บางคนกระวนกระวาย บางคนสงบนิ่ง
โจวหลู่ชิงผู้ดูแลกรมกิจการภายในวังหลวงแย้มยิ้มอย่างพอเหมาะพอควร ไม่ประจบสอพลอและไม่ได้เย่อหยิ่ง ประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิกระทบผิวหน้า ชวนให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
เขาดูแลอยู่ในกรมกิจการภายในวังหลวงมาเกือบยี่สิบปี เห็นความรุ่งโรจน์และร่วงโรยจนชินชาและได้ฝึกฝนจนมีเนตรอัคคีทองคำ[1]แล้ว นายหญิงน้อยตรงหน้าผู้นี้ เขาก็ใช้เวลาไม่นานเช่นกัน รู้ว่านางเป็บุตรสาวเ้าเมือง เมื่อได้รับความโปรดปรานก็แยกเหนือใต้ตะวันออกตะวันตกไม่เป็ ทว่าความโปรดปรานกลับยังไม่จางหายไป ด้วยความที่นางชอบแยกเขี้ยวยิงฟัน ราวกับว่าจะไปล่วงเกินแทบทุกคนทั้งหกตำหนัก
คนเช่นนี้เดินไปได้ไม่ไกล ทว่าโชคของนางก็ไม่เลวจริงๆ นางเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็ดีได้แทบทุกครั้ง หนำซ้ำยังได้เลื่อนตำแหน่งติดๆ กันเป็ขั้นสามจนได้นั่งอยู่บนตำแหน่งฉายเหริน ต้องรู้ว่าซูเฟยกับฮ่องเต้ในปีนั้นรักใคร่กันมาก และต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะได้นั่งตำแหน่งซูเฟย น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งอีกเลย
ตามธรรมเนียมเดิม ทางกรมกิจการภายในวังจะเป็คนส่งนางกำนัลให้นางสนมตำหนักหลังโดยตรง เมื่อไปถึงตำแหน่งพระสนมจึงจะมีโอกาสเอ่ยปากขอพระราชทานจากฮ่องเต้ นางสามารถเลือกได้หนึ่งถึงสองคน ถือเป็กรณีพิเศษ
ซึ่งกรณีพิเศษคือการแสดงความโปรดปราน ดังนั้นเวลานี้นายหญิงผู้นี้ยังต้องปรนนิบัติรับใช้ให้ดีๆ ไม่แน่บางทีอนาคตอาจเดินไปได้ไกลกว่านี้ ทว่าจากการคาดการณ์ของเขา มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถไปถึงตำแหน่งเจาอี๋ ซูเฟยกับเต๋อเฟยไม่มีทางยอมให้ผู้ใดมีศักดิ์เทียบเท่าตนเองอย่างเด็ดขาด
เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มของโจวหลู่ชิงจึงดูสนิทสนมมากเป็เท่าตัว เขากล่าวอย่างนอบน้อม “ทูลฉายเหริน นี่คือนางกำนัลที่เพิ่งได้รับการอบรมเป็อย่างดี แต่ละคนฉลาดหลักแหลมนัก”
เหยียนอู๋อวี้ไม่รีบร้อนเลือก นางหยิบช้อนเงินค่อยๆ คนโจ๊กรังนกนางแอ่นที่เพิ่งส่งมา นิ้วเรียวยาวจับช้อนเงินยิ่งขับให้ผิวพรรณดูเกลี้ยงเกลา
นางมิได้ตอบกลับโจวหลู่ชิง เพียงแค่หยุดสายตาอยู่บนชั้นวางดอกหล่าปา ใบไม้เขียวชอุ่มพลิ้วไหว ส่งเสียงซ่าซ่า ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต
เชิงอรรถ
[1] เนตรอัคคีทองคำ เปรียบเปรยถึงสายตาเฉียบคมแม่นยำ