สภาพจิตใจหวังซื่อสงบมั่นคงขึ้นมาก เริ่มจัดการงานภายในบ้านได้เป็ระเบียบแบบแผน
ปลอบขวัญเหลียงซื่อที่ร้องไห้จนอีกนิดเกือบจะเป็ลมไปแล้ว ต่อจากนั้นปลอบโยนชุ่ยจูกับผิงซุ่นที่กระวนกระวายใจไม่สงบอยู่ตลอด
หลังจากนั้นให้ชายชราสกุลหูกับหูฉางกุ้ยหารือเื่ชื่อของหลานชายคนเล็ก
สุดท้ายทั้งครอบครัวปรึกษาวันที่จะไปวันโบราณชิงเหยียน
เนื่องจากคนจำนวนมากในหมู่บ้าน ล้วนรู้ข่าวว่าเหลียงซื่อคลอดลูกวันที่ห้าเดือนห้า อีกทั้งไม่มีวิธีหลบๆ ซ่อนๆ จึงแสดงออกอย่างชัดเจนไปเลย รอให้ทารกอายุครบหนึ่งเดือนไปแล้ว ก็ไปวัดโบราณชิงเหยียนอย่างอึกทึกครึกโครม และเชิญพระอาจารย์คงอู้มาปรับเปลี่ยนดวงชะตาวันเกิด
หากได้รับคำนวณดวงชะตาจากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ต่อให้คำนินทาในหมู่บ้านมากมายแค่ไหนก็ล้วนไม่ควรค่าให้น่าเป็ห่วง
คำนินทาในหมู่บ้านแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เวลาไม่ถึงหนึ่งวันทั้งหมู่บ้านวั้งหลินล้วนรู้กันทั่ว ว่าครอบครัวใหญ่ลูกสะใภ้คนโตของสกุลหูคลอดลูกชายหนึ่งคนในวันเทศกาลเดือนห้า [1]
ชั่วขณะหนึ่งข่าวลือได้แพร่กระจายราวกับหญ้าป่าลุกลามในฤดูใบไม้ผลิ
“เด็กคลอดออกมาวันที่ห้าเดือนห้า พวกบรรพบุรุษสกุลหูเขาก็ยังกล้าเก็บไว้ไม่กลัวเด็กดวงแข็งกร้าว [2] แล้วเล่นงานทั้งครอบครัวหรือ?”
“ได้ยินข้างบ้านพวกเขากล่าวว่า เดิมทียังห่างไปอีกสองสามวันจึงจะถึงวันคลอด แต่ลูกสะใภ้คนโตของครอบครัวเขาเห็นแก่กิน เลยมาตรงกับวันที่ห้าเดือนห้านี่เข้า”
“อาจเป็ชะตาชีวิตของนางควรเป็เช่นนี้ ไม่เช่นนั้น ใกล้จะถึงวันคลอดแล้วเกิดตะกละขึ้นมาได้อย่างไร”
“ข้าว่า หมู่นี้สกุลหูเจริญรุ่งเรืองเกินไปแล้ว ์ทนมองไม่ได้กระมัง เพราะเป็แบบนี้เลยลงโทษเข้าให้”
“เ้าว่า แม่สามีสกุลหูจะทิ้งเด็กหรือไม่?”
“ไม่อย่างแน่นอนกระมัง หากจะทิ้งคงทิ้งั้แ่วันคลอดนั้นแล้ว เด็กชายสืบสกุลครอบครัวนางมีน้อย กว่าจะรอให้หลานกำเนิดออกมาได้ไม่ง่ายเลย ต้องตัดใจทำไม่ลงอย่างแน่นอน”
“ตัดใจทำไม่ลง? เชอะ เก็บไว้สร้างหายนะให้ทั้งตระกูลหรือไร”
เฝิงซื่อมารดาของเหลียงซื่อ กำลังตีบุตรสาวของตนเองด้วยความโกรธเคือง หลานชายดีๆ ต้องแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายอย่างพกพาดวงเล่นงานบิดามารดาไว้ ล้วนเป็เพราะความตะกละของนาง มีอาหารประเภทเนื้อที่ดีเพียงนั้น เก็บไว้ให้มารดาของตนเองไม่ดีกว่าหรือ อ้วนจนจะกลายเป็หมูอยู่แล้วยังเอาแต่กิน
เมื่อเฝิงซื่อเพิ่งเข้าหมู่บ้านวั้งหลินมาก็ถูกชาวบ้านที่ชอบยุ่งเื่ของคนอื่นห้อมล้อมไว้ แต่ละคนล้วนไม่สบายใจและมีความหวังดีราวกับดูการแสดงสนุกๆ เฝิงซื่อเก็บความโกรธไว้ในใจพอเข้ามาในห้องเหลียงซื่อ ความโกรธทั้งหมดล้วนปล่อยใส่ที่นาง
เหลียงซื่อถูกมารดาตนเองตีจนร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กน้อย แรงมือของมารดานางไม่ใช่ล้อเล่นเลย
“…โอ๊ย ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ความผิดแล้ว ท่านหยุดตีข้าได้แล้วเ้าค่ะ”
แต่เฝิงซื่อกลับไม่หยุดยั้ง มองไปที่ร่างกายมีเนื้ออ้วนของบุตรสาว ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ตีอยู่พักหนึ่ง “เพียะๆๆ”
หวังซื่ออยู่นอกห้องได้ยินชัดเจนแต่ทำหูทวนลม คิดในใจว่าหากเหลียงซื่อไม่ถูกตีสั่งสอนสักทีต่อไปไม่แน่ว่าจะก่อความวุ่นวายอะไรขึ้นอีก มารดาของนางตีสักครั้งก็ดีจะได้ไม่ก่อความวุ่นวายไปทั่วให้ต้องกังวลใจ
ส่วนข่าวลือในหมู่บ้าน หวังซื่อให้หูฉางหลินไปจัดการแล้ว โดยสั่งให้เขาไปทางเข้าหมู่บ้านซื้อเนื้อสองชั่งมาต้อนรับญาติที่ครอบครัวดองกัน แล้วถือโอกาสถ่ายทอดข่าวเื่ที่จะให้พระอาจารย์มาปรับเปลี่ยนดวงชะตาให้ออกไปด้วย เพียงรอให้ผิงซั่นอายุครบเดือนไปแล้ว จึงจะไปหาพระอาจารย์คงอู้จากวัดโบราณชิงเหยียน
ผิงซั่นเป็ชื่อที่ตั้งให้หลานชายคนเล็ก หวังว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากวันที่ห้าเดือนห้า เมื่อเติบโตไปแล้วจะได้มีจิตใจเมตตาและซื่อสัตย์ ความประพฤติสุภาพอ่อนโยนและรักกันฉันมิตร
สมญานามของพระอาจารย์คงอู้ดังก้องกังวานตามที่คาด พอหูฉางหลินกล่าวออกไปชาวบ้านที่ห้อมล้อมต่างก็ตะลึงงัน
“ดวงชะตาวันเกิดก็สามารถปรับเปลี่ยนได้หรือ?”
“เ้าไม่ได้ยินที่ฉางหลินกล่าวหรือ ทารกที่คลอดออกมาวันที่ห้าเดือนห้าของครอบครัวร่ำรวยล้วนแก้ไขโชคชะตากันเช่นนี้ หลังจากพระอาจารย์ปรับเปลี่ยนแล้ว คนเขาล้วนมีชีวิตอยู่ได้อย่างดี”
“ครอบครัวร่ำรวยก็มีเด็กทารกที่เกิดออกมาวันที่ห้าเดือนห้าหรือ? ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนวันคลอดนะ?”
“เพ้ย เ้าคิดว่าสตรีคลอดลูกเป็การตกปลาริมแม่น้ำหรือ ยังจะเปลี่ยนเป็วันอื่นได้ ทำไมเ้าไม่ให้ภรรยาตัวเองเลือกวันดีแล้วค่อยคลอดล่ะ”
“แหะๆ ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะแล้ว แต่สกุลหูหาพระอาจารย์มาแก้ไขดวงชะตาต้องจ่ายเงินมากมายเลยกระมัง?”
“จ่ายเงินจะนับว่าเป็อะไร ตราบใดที่เปลี่ยนดวงชะตาวันเกิดได้ ต่อไปเด็กจะมีอนาคตที่ดี เช่นนั้นสกุลหูก็ไม่ต้องกลุ้มใจ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สกุลหูไม่ได้ขาดแคลนเงินแล้วด้วย”
ข่าวลือในหมู่บ้านเปลี่ยนทิศทางทันที ทุกคนต่างพากันอิจฉาเด็กน้อยที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาของสกุลหู จ่ายเงินเปลี่ยนดวงชะตาวันเกิดให้ดีได้ พอเด็กเติบโตไปแล้วจะยิ่งกลายเป็บุคคลที่มีความสามารถง่ายขึ้นไปอีก
จ้าวเหวินเฉียงเดินเล่นในหมู่บ้านหนึ่งรอบ ครั้นกลับมาถึงบ้านถอนหายใจไม่หยุด
หวงซื่อเห็นเช่นนั้นจึงถามขึ้น “ออกไปแต่เช้าตรู่ กลับมาก็กลัดกลุ้มถอนหายใจไม่หยุดเลย เป็อะไรไป?”
“ข้ากำลังทอดถอนใจเื่สกุลหู”
จ้าวเหวินเฉียงยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นรินใส่ถ้วยชาให้ตัวเอง
“สกุลหูทำไมอีกหรือ? เอาเด็กที่เกิดวันที่ห้าเดือนห้าไปทิ้งแล้ว หรือทำให้จมน้ำแล้วหรือ?” หวงซื่อถามด้วยความประหลาดใจ
“ผายลมสิ! หากเ้าเป็หวังซื่อจะเอาหลานชายดีๆ ของตนเองไปทิ้ง หรือทำให้จมน้ำได้หรือ พูดจาไม่ผ่านสมองสักนิด” จ้าวเหวินเฉียงถลึงตาพลางตวาดใส่นาง
หวงซื่อถูกตอกหน้าหงาย จึงจ้องกลับด้วยความโกรธเคือง “เ้าตาแก่น่าตายนี่ เด็กวันที่ห้าเดือนห้านั่นไม่ใช่ล้วนจัดการกันเช่นนี้หรือ? ต่อให้ใจแข็งทำไม่ลง แต่ก็ทำให้ทั้งครอบครัวซวยไปด้วยทั้งหมดไม่ได้กระมัง”
“เป็ฟู่เหรินที่ผมยาวแต่ความรู้สั้นจริงๆ คนสกุลหูเขาไม่ได้โง่เช่นนั้น เขาหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดได้แล้ว” จ้าวเหวินเฉียงดื่มชาแล้วถอนหายใจ
“…” หวงซื่อมองเขาด้วยความขุ่นเคืองทีหนึ่ง คนของตนเองคิดอะไรอยู่กัน ถึงได้พูดจาออกมาครึ่งหนึ่งอมพะนำไว้ครึ่งหนึ่ง
จ้าวเหวินเฉียงมองภรรยาตนเองที่เริ่มมีอารมณ์ขึ้น จึงนำวิธีของสกุลหูบอกแก่นาง
“นี่... มีประโยชน์จริงหรือ?” หวงซื่อไม่เชื่อถือ
“จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร นั่นเป็พระอาจารย์คงอู้เลยนะ คนสูงศักดิ์ครอบครัวร่ำรวยต่างเรียงแถวอยากเข้าเยี่ยมคารวะตั้งเท่าไร หากสกุลหูไม่มีช่องทางคงไม่มีทางเข้าพบได้หรอก” ไต้ซือ [3] คงอู้ของวัดโบราณชิงเหยียนอยู่อำเภอเจิ้นอัน ถึงขั้นเป็ไต้ซือที่มีชื่อเสียงอย่างมากไปทั่วทั้งอำเภอแม้กระทั่งเมืองหลวง หากสกุลหูอยากให้ไต้ซือคงอู้คำนวณและเขียนดวงชะตาให้เด็กทารกด้วยตนเอง เกรงว่าต้องสิ้นเปลืองเวลาไปพักหนึ่งเลย
ความคิดของจ้าวเหวินเฉียงที่รอดูความคึกคักได้พังทลายลงในวันต่อมา
“เ้า... เ้าว่าอะไรนะ?”
หัวหน้าหมู่บ้านที่น่าเกรงขามมาโดยตลอดกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก
บุรุษร่างกายแข็งแรงตรงหน้า สีหน้าเปล่งปลั่งสายตาแวววาว นอกจากใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความซื่อติดอยู่สองสามส่วนแล้ว ไม่มีความต่ำต้อยขี้ขลาดเช่นเดิมเหลืออยู่เลย
“ครอบครัวเ้าจะสร้างโรงเรียนบุ๋นและบู๊? เด็กในหมู่บ้านล้วนเข้าฝึกการต่อสู้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย?” จ้าวเหวินเฉียงไม่อยากจะเชื่อ สกุลหูเพิ่งหลุดพ้นความยากจนมาได้ ไม่นึกเลยว่าจะประโคมสร้างโรงเรียนให้สิ้นเปลืองเงินจำนวนมากเช่นนี้ แล้วยังไม่เสียค่าใช้จ่ายอีก
“ใช่แล้วขอรับ หัวหน้าหมู่บ้าน ครอบครัวข้าล้วนหารือกันแล้ว จะสร้างห้องของโรงเรียนสองหลังขึ้นข้างริมฝั่งแม่น้ำ แล้วจะเชิญฟูจื่อ [4] มาสอนหนังสือหนึ่งคน อาจารย์สอนการต่อสู้หนึ่งคนขอรับ” หูฉางกุ้ยกล่าวออกไปช้าๆ อย่างละเอียดตามความคิดเห็นของเจินจูด้วยความสงบ
เขาได้หารือกับชายชราสกุลหูกับท่านแม่และพี่ชายทั้งหมดแล้ว สามคนรู้สึกตะลึงใไปตามๆ กัน ความคิดของทุกคนที่ปรากฏออกมาเป็อันดับแรกคือ นี่ต้องสิ้นเปลืองเงินเหลียงมากเท่าไร? หูฉางกุ้ยคำนวณค่าใช้จ่ายโดยประมาณหนึ่งรอบ ห้องของโรงเรียนสองหลังกะประมาณหนึ่งร้อยเหลียง อาจารย์กับฟูจื่อที่เชิญมาล้วนเดือนละหนึ่งเหลียงต่อคน นอกเหนือจากนี้ยังมีข้าวและธัญพืชในปริมาณที่แน่นอน ของจุกจิกรวมกันแล้วที่จริงไม่นับว่ามากเกินไป
เด็กชายอายุเจ็ดปีไปจนถึงสิบสองปีล้วนสามารถเข้าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้สามปี นักเรียนที่ขยันหมั่นเพียรมีพร์ได้รับการยอมรับจากฟูจื่อหรืออาจารย์ สามารถขยายเวลาเรียนออกไปได้ตามความเหมาะสม
จ้าวเหวินเฉียงตกตะลึงอยู่ครึ่งค่อนวัน อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง สกุลหูจะสร้างโรงเรียนขึ้นที่หมู่บ้านวั้งหลิน อีกทั้งยังรับสมัครเด็กชายในหมู่บ้านมาเข้าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นนั้นอีกสองสามปีจากนี้ไป ทั่วทั้งหมู่บ้านวั้งหลินจะมีเด็กชายที่เดินบนเส้นทางชีวิตการเป็ขุนนางได้ไม่มากก็น้อย แม้ไม่แน่ว่าจะสอบผ่านตำแหน่งที่มีชื่อเสียงได้จริงๆ แต่อย่างน้อยชื่อเสียงของหมู่บ้านวั้งหลินก็สามารถมีคุณภาพที่ก้าวะโขึ้นได้ และในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านวั้งหลิน ชื่อเสียงบารมีก็จะยกระดับขึ้นไม่เหมือนเดิมเช่นกัน
ทั้งหมดต่างเป็ผลดีต่อทั้งชาวบ้านและต่อตัวเอง ชื่อเสียงของสกุลหูก็พลอยได้รับประโยชน์อย่างมากไปด้วย
ชื่อเสียงดีแล้วผู้ใดก็ไม่มีทางรังเกียจ
“ฟูจื่อสอนหนังสือกับอาจารย์สอนการต่อสู้สกุลหูจะเป็ผู้เชิญมาเอง ท่านอาจ้าว รอให้โรงเรียนสร้างเสร็จ การเรียกระดมพลในหมู่บ้านต้องพึ่งพาท่านแล้วขอรับ” หลังจากหูฉางกุ้ยนำคำพูดกล่าวออกมาชัดเจน จึงผ่อนลมหายใจ เื่นี้ เจินจูให้เขามาเจรจาหารือกับหัวหน้าหมู่บ้าน เขาปากหนักไม่มีความสามารถในการพูดจา กลัวมากว่าจะเอ่ยอะไรผิดไป ยังดีที่ล้วนอธิบายออกมาได้อย่างสุขุมและมั่นคง
แม้สามารถเรียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่คนที่จะส่งบุตรมาเรียนหนังสือและฝึกการต่อสู้จริงๆ ไม่แน่ว่าจะได้รับเสียงตอบรับจากทุกคน ตลอดมาคนที่เรียนหนังสือรู้ตัวอักษรมักถูกชาวบ้านเทิดทูนไม่เลว แต่เด็กชายที่ค่อนข้างโตนับเป็แรงงานครึ่งหนึ่งของครอบครัว ชาวบ้านที่ทำมาหากินในผืนดินเพื่อดำรงชีวิตมักยินยอมให้ลูกทำงานเพาะปลูกเหยียบอยู่บนพื้น แทนที่จะสิ้นเปลืองเวลาหลายปีอย่างทะเยอทะยานเกินตัวเพื่อไปเดิมพันกับอนาคตอันห่างไกลเกินเอื้อม
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าไปเรียนจริงๆ ยังไม่รู้ว่าจะมีเด็กมาสักกี่คนเลย
จ้าวเหวินเฉียงราวกับมีความตื่นตัวในใจ “ฉางกุ้ย เ้าวางใจ นี่เป็ความกรุณาและบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของชาวบ้าน รอให้โรงเรียนสร้างเสร็จ อาจ้าวจะต้องให้เด็กที่อายุเหมาะสมไปเข้าเรียนอย่างแน่นอน
หูฉางกุ้ยกลับรีบโบกไม้โบกมือ บุตรสาวกล่าวว่าจะเข้าหรือไม่เข้าโรงเรียน เอาตามความสมัครใจของชาวบ้าน ไม่ได้บังคับ แค่ผ่านการรับสมัครปีนี้ไป เช่นนั้นต้องรอปีหน้าถึงจะสมัครใหม่ได้
จ้าวเหวินเฉียงพยักหน้าราวกับกำลังพิจารณาบางสิ่งและแสดงออกว่าเข้าใจ
ออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หูฉางกุ้ยไปบ้านเก่าสกุลหูอีกครั้ง
เสียงร้องไห้ของเด็กทารกแว่วออกมาจากห้องที่เหลียงซื่ออยู่ เป็ห้องที่อยู่ด้านข้างโถงใหญ่และห้องสำคัญ
ั้แ่เหลียงซื่อรู้ว่าดวงชะตาวันเกิดของลูกสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อารมณ์และจิตใจก็แปรปรวน ภายในหนึ่งวันทั้งเศร้าสลดมากทั้งมีความสุขมาก และตื่นเต้นจนเกินพอดีแล้วเป็ลมไป
สองวันมานี้นางอยู่ในห้องให้นมลูกแต่โดยดี ให้อะไรมาก็ทานอย่างนั้น ไม่กล้าออกไปก่อเื่วุ่นวายส่งเสียงอีก
“ฉางกุ้ย หัวหน้าหมู่บ้านว่าอย่างไร?” หวังซื่อถามด้วยความร้อนใจ
เจินจู้าสร้างโรงเรียนสองหลัง ตอนแรกในใจหวังซื่อคัดค้าน รู้สึกว่าหลานสาวผู้นี้ทำนั่นทำนี่เกินไปแล้วจริงๆ ปลูกหนึ่งหลังไม่พอ ยังจะปลูกเพิ่มอีกหนึ่งหลัง ไม่เห็นความสำคัญของเงินจากที่บ้านมากเกินไปแล้ว ตามความเป็จริง นางสามารถหาเงินได้มาก แต่ความสามารถในการจ่ายเงินกลับรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
ดูสิดู บุตรชายคนเล็กของนางที่ทำงานหนักและใช้ชีวิตมัธยัสถ์มาโดยตลอด ล้วนเอนเอียงเสียคนไปแล้ว กล่าวออกมาว่า... นับได้ว่าไม่มากเกินไปอะไร หนึ่งร้อยกว่าเหลียงเลยนะ คนต้องมีความมั่นใจแค่ไหนถึงจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาได้
ปีที่แล้วสกุลหูยังทานรำข้าวกลืนผักด้วยความทุกข์ยากอยู่เลย นี่เพิ่งจะนานแค่ไหนกันเชียว เงินหนึ่งร้อยกว่าเหลียงล้วนไม่เห็นค่าแล้ว ตอนนั้นเส้นเืหน้าผากของหวังซื่อเต้นตุบๆ
แต่ก็นะ เมื่อบุตรชายคนเล็กมากระซิบข้างหูนางสองสามประโยค ทำเอานางใจนอีกนิดเกือบร่วงลงจากเก้าอี้
คุณพระคุณเ้าช่วย โสมคนสิบกว่าต้นเลยนะ! นั่นเป็หัวไชเท้าหรือผักกาดขาวกัน!
หวังซื่อทั้งใระคนยินดี ดูท่าเช่นนี้แล้ว หนึ่งร้อยกว่าเหลียงไม่นับว่ามากเกินไปจริงๆ
“หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่าเป็ความกรุณาและบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของชาวบ้าน เขาเห็นด้วยอย่างมาก รอให้สร้างเสร็จ เขาจึงจะเรียกระดมพลเด็กชายที่อายุเหมาะสมในหมู่บ้านให้ไปเข้าเรียนที่โรงเรียน” หูฉางกุ้ยกล่าวเลียนแบบต้นน้ำเต้า [5]
หวังซื่อพยักหน้าดีใจ “เขากล่าวเช่นนี้ก็ดี ฉางกุ้ย เช่นนั้นเ้าเร่งความเร็วของโรงเรียนสองหลัง หากทำโรงเรียนเสร็จแล้วมันจะมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงสกุลหูของพวกเรา แล้วก็สามารถทำให้ชื่อเสียงหลานชายคนเล็กของเ้าดีขึ้นได้นิดหน่อยพอดีเลย”
หวังซื่อคิดมาอย่างรอบคอบ ล้วนกล่าวกันว่าดวงชะตาเด็กที่เกิดวันที่ห้าเดือนห้าไม่ดีไม่ใช่หรือ ตราบใดที่ชีวิตของตระกูลหูดีขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงที่ยิ่งดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นดวงแข็งกร้าวที่กล่าวกันว่าจะเล่นงานบิดามารดาย่อมหักล้างไปอย่างแน่นอน วันข้างหน้าผิงซั่นตัวน้อยก็ไม่ต้องผูกมัดติดกับข่าวลือเช่นนี้อีกแล้ว
เชิงอรรถ
[1] วันเทศกาลเดือนห้า คือ อีกหนึ่งชื่อเรียกของเทศกาลตวนอู่ หรือเทศกาลบ๊ะจ่าง หรือเทศกาลแข่งเรือั
[2] ดวงแข็งกร้าว คือ ความเชื่อในเื่ของคนที่เกิดในวันไม่ดี ไม่เป็มงคล อาจทำให้ครอบครัวเกิดการล้มหายตายจาก เ้าของดวงมีชีวิตยากลำบาก มีดวงชะตายืนนานเพื่อเผชิญกับความทุกข์
[3] ไต้ซือ (大师) หมายถึง เ้าอาวาส
[4] ฟูจื่อ (夫子) หมายถึง คำเรียกคนที่มีความรู้ในสมัยโบราณ
[5] กล่าวเลียนแบบต้นน้ำเต้า หมายถึง การเลียนแบบตามผู้อื่น ไม่ได้ใส่ความเห็นเสริมแต่งเข้าไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้