“คุณหนูอวี้มาวันนี้เพื่อมาบอกให้รู้ว่าข้าทำเกินไปกระนั้นหรือ?” โม่เสวี่ยถงทำตาโต กวาดมองพิจารณาอีกฝ่ายั้แ่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หัวเราะราวกับประหลาดใจ “ที่แท้คุณหนูอวี้ก็มิได้มาเยี่ยมพวกเรา แต่มาหาเื่ต่างหากเล่า”
ดวงตากรุ่นไอเยาะหยันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็การท้าทายอวี้ซือหรงโดยตรง ถูกคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเย้ยหยันเลยเชียวนะ!
“นังแพศยาชั้นต่ำ” อวี้ซือหรงโกรธจนหน้ามืด พุ่งเข้ามาพร้อมตวัดมือหมายจะตบโม่เสวี่ยถง
โม่เสวี่ยฉงที่อยู่ด้านข้างแกล้งทำเป็ไม่เห็น ทว่ามุมปากกระดกยิ้มอย่างพึงพอใจ
โม่เยี่ยเข้าขวางในฉับพลัน คว้าข้อมือของอวี้ซือหรงตรึงไว้ก่อนผลักออกไป อวี้ซือหรงหรือจะสู้แรงของโม่เยี่ยได้ พลันโอนเอนกระเด็นออกไป สาวใช้ทั้งสองของนางมีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไว เข้ามารับตัวผู้เป็นายไว้ทัน จึงไม่ล้มลงไปคลุกดินเฉอะแฉะให้ยิ่งอัปลักษณ์ แต่แม้จะเป็เช่นนั้นผมเผ้าที่เกล้าสูงมาอย่างวิจิตรก็คลายหลวม ลุ่ยลงมาประปราย ชายอาภรณ์กวาดผ่านพื้นดินเฉอะแฉะจนเลอะเป็ด่างดวง
สภาพอเนจอนาถคืออย่างไร ก็เป็อย่างนั้น
“โม่เสวี่ยถง เ้ากล้าดียังไง... เ้ากล้ากับข้าได้ยังไง!” อวี้ซือหรงฉุนขาดลั่นวาจาโอหังทั้งที่ยังขวัญผวา
โม่เสวี่ยถงยืนมองด้วยสายตาเหยียดหยัน แววตาไร้ความอบอุ่น ปรายตามองโม่เสวี่ยฉงปราดหนึ่งก่อนหันกลับมาที่อวี้ซือหรงอีกครั้ง “ข้ามีอะไรต้องไม่กล้าเล่า คุณหนูอวี้มาสั่งสอนข้าถึงจวนโม่ คิดว่าจวนโม่จะยอมให้ข่มเหงรังแกกันง่ายๆ กระนั้นหรือ”
“โม่เสวี่ยถง!” อวี้ซือหรงตวาดลั่น นางโกรธจนตัวสั่น ผมเผ้าตกลงมาปรกหน้า เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย “เด็กที่ไร้มารดาสั่งสอนอย่างเ้า ก็สมควรให้ข้าชี้แนะอยู่แล้ว”
“อวี้ซือหรง ไม่ว่าข้าจะมีมารดาสั่งสอนหรือไม่ ก็ไม่ต้องให้เ้าเข้ามายุ่ง เื่ของพวกเราสกุลโม่ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลอวี้ของพวกเ้า ไม่ยักรู้ว่าสกุลอวี้มีสิทธิยื่นมือยื่นเท้าเข้ามาได้ั้แ่เมื่อไร เชิญ! จวนโม่ของเราไม่ต้อนรับเ้า” ดวงตาเย็นเยียบจากก้นบึ้ง กวาดมองไปที่อวี้ซือหรง ทำให้นางรู้สึกหนาวเยือกขนหัวลุก นี่ใช่โม่เสวี่ยถงที่เคยถูกคนรังแกจนต้องแอบไปร้องไห้ขี้มูกโป่งจริงๆ หรือ?
อวี้ซือหรงโกรธจนตัวสั่น สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีดสลับไปมา ไหนเลยจะยอมลงให้ง่ายๆ หากที่นี่เป็เมืองอวิ๋นเฉิง นางคงสั่งให้สาวใช้สั่งสอนโม่เสวี่ยถงไปนานแล้ว
“คุณหนูอวี้กลับไปก่อนเถิด วันนี้พี่สามของข้าคงไปกินดินปืนมา อารมณ์ไม่ดี ท่านก็อย่าใส่ใจ รอข้าไปรายงานให้ท่านพ่อรับทราบก่อน ค่อยให้นางไปขอโทษท่านถึงจวนด้วยตนเอง” โม่เสวี่ยฉงแสร้งยิ้มเอาใจ เข้าไปประคองอวี้ซือหรง “ท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ประโยชน์พรรค์นั้นเลย”
กล่าวจบก็ปรายหางตายั่วยุโม่เสวี่ยถง พี่สาวที่นางเห็นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาอย่างยิ่ง
“โม่เสวี่ยฉง หากเ้าดูแคลนคนในจวนโม่ของตนเองนักก็เชิญออกไปได้เลย ที่นี่ไม่ต้อนรับเ้าเช่นกัน ว่าข้ามีมารดาให้กำเนิดแต่ไม่มีมารดาสั่งสอน แล้วเ้าล่ะ มีดีตรงไหน หากเลิกคบกับอวี้ซือหรงไม่ได้ก็เปลี่ยนไปใช้สกุลอวี้เสียเลยสิ คอยดูเถิด หลังจากที่ท่านพ่อทราบเื่เ้าก็ไม่รอดเช่นกัน” โม่เสวี่ยถงกำมือแน่น ดวงตาวาวโรจน์ประดุจเพลิงน้ำแข็งที่ฉายแววเย็นะเืราวกับสามารถแช่แข็งคนได้
อวี้ซือหรงเหิมเกริมถึงขั้นด่าทอมารดา แตะขีดความอดทนขั้นต่ำของนางแล้ว นางอาจทนความปากร้ายของโม่เสวี่ยฉงได้ แต่ไม่อาจให้คนวาจาสามหาวล่วงเกินท่านแม่มาเป็แขกของจวนได้อีกต่อไป เมื่อโม่เสวี่ยฉงกล้าท้าทายอำนาจของบุตรสาวภรรยาเอกอย่างนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็คงจะต้องให้อีกฝ่ายได้กระจ่างใจเสียทีว่าอะไรคือข้อแตกต่างระหว่างบุตรภรรยาเอกกับบุตรอนุ
“ท่านแม่ถูกหยามหยัน เ้าผู้เป็บุตรอนุภรรยาไม่เพียงแต่นิ่งดูดาย ยังช่วยแก้ต่างแทนผู้อื่น จิตสำนึกอยู่ที่ไหน คุณธรรมความกตัญญูยังมีอยู่หรือไม่ สกุลโม่ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้ายังทำไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีความละอายใจเลยสักนิด เสียทีที่เกิดมาเป็สตรี เสียทีที่เกิดมาเป็ลูกคน!”
โม่เสวี่ยฉงถูกด่าจนอึ้งงัน แม้แต่อวี้ซือหรงก็มองโม่เสวี่ยถงอย่างตะลึงพรึงเพริด รังสีความเดียดฉันท์ชวนขนลุกแผ่กำจายออกมาจากใบหน้างาม จนพวกนางไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
เสียงปรบมือดังและเสียงหัวเราะดังลอยมา พร้อมกับถ้อยวาจาที่นุ่มนวลของบุรุษผู้หนึ่ง “พูดได้ดี ตัวเป็สตรีหากไม่รู้จักปกป้องบิดามารดาของตนเองก็ถือว่าเสียชาติเกิด ที่กำเนิดมาเป็บุตรของมนุษย์โดยแท้”
ทุกคนต่างใขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อเห็นโม่ฮว่าเหวินก้าวเข้ามาพร้อมกับคุณชายผู้งามสง่าคนหนึ่ง
คุณชายที่เดินมาอยู่ตรงหน้าผู้นี้สวมชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวขลิบชายสีดำทับบนอาภรณ์ไหมสีน้ำเงิน สายคาดเอวหยกอุ่นร้อยด้วยเส้นไหมทองคำสลับน้ำเงิน มุ่นมวยผมครอบด้วยเกี้ยวมาลาหยกขาวประกายแสงแวววาว รูปร่างผึ่งผาย ใบหน้าคมสันหล่อเหลาเป็ที่สุด รังสีสูงศักดิ์แผ่กำจายออกมาทั่วร่างอย่างเข้มข้น นี่คือฉู่อ๋อง-เฟิงเจวี๋ยเสวียน
เมื่อเห็นโม่ฮว่าเหวินปรากฏตัว โม่เสวี่ยฉงก็แสดงสีหน้าเหมือนถูกกลั่นแกล้ง บีบน้ำตามองหน้าผู้เป็บิดา “ท่านพ่อ... พี่สามด่าข้า...” แต่เมื่อเห็นแววตาที่ยิ่งดำทะมึนขึ้นทุกขณะของโม่ฮว่าเหวินก็ปากคอสั่นระริก ไม่กล้าพูดต่อ
“เด็กๆ มาพาตัวคุณหนูสี่ไปห้องบูชาบรรพชน คืนนี้ให้นางนั่งคุกเข่าสำนึกกตัญญูต่อหน้าฮูหยิน” โม่ฮว่าเหวินกล่าวเสียงเย็น
สาวใช้าุโสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้ามาพาตัวโม่เสวี่ยฉงออกไป
“ท่านลุง...” อวี้ซือหรงเห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้ามาคารวะเตรียมจะอธิบาย แต่ถูกโม่ฮว่าเหวินตัดบทอย่างไม่ไว้ไมตรี “ข้าคงไม่อาจรับคำเรียกว่าท่านลุงจากคุณหนูใหญ่แห่งสกุลอวี้ได้ คุณหนูผู้สูงส่งวันนี้อุตส่าห์มาอบรมสั่งบุตรสาวแทนข้าถึงในจวน แต่ลูกของข้าไม่ว่าจะมีมารดาสั่งสอนหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลอวี้ และมิใช่กงการอันใดที่คุณหนูในห้องหอคนหนึ่งจะเข้ามาสอนนางว่าควรทำตัวอย่างไร ข้ามิได้ไร้ความสามารถ ย่อมสั่งสอนบุตรของตนเองได้”
คำพูดนี้เป็การฉีกหน้าโดยตรง อวี้ซือหรงไปแตะเกล็ดย้อนของโม่ฮว่าเหวินเข้า สตรีที่เขารักมากที่สุดชั่วชีวิตนี้มีเพียงลั่วเสีย หากไม่ใช่เพราะเป็เจตนาของลั่วเสีย เขาก็อาจไม่แต่งอนุภรรยาเข้าบ้าน คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาจะสมคบกับคนนอกรังแกถงเอ๋อร์ ทั้งยังลามปามให้ร้ายมาถึงลั่วเสีย แล้วโม่ฮว่าเหวินจะยังไว้หน้าอวี้ซือหรงอยู่ไปทำไมเล่า
เขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าชังเหมือนกับฟางอี๋เหนียง เพราะเป็สตรีที่มาจากสกุลอวี้ ความคิดจิตใจจึงเลวร้ายไม่ต่างกันใช่หรือไม่ ตอนนี้เขาได้แต่นึกเสียใจที่ยอมให้ฟางอี๋เหนียงก้าวเข้ามาในจวน ตอนนั้นเห็นนางทุ่มเทกายใจปรนนิบัติลั่วเสียอย่างอ่อนโยนและเอาใจใส่ นึกว่าจะเป็คนดี ที่แท้ก็แอบซ่อนตัวตนไว้มิดชิดเยี่ยงนี้เอง
“ฮือ...” เมื่อถูกโม่ฮว่าเหวินขับไล่อย่างไม่อ้อมค้อม สีหน้าของอวี้ซือหรงเดี๋ยวดำ เดี๋ยวแดง ไหนเลยจะบากหน้าอยู่ต่อได้ ในที่สุดก็ร้องไห้เสียงดังลั่น วิ่งออกไปข้างนอก สาวใช้สองคนร้องเรียกพลางวิ่งตามหลังออกไปอย่างรีบร้อน
โม่เสวี่ยถงมองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยสายตาเ็า มือที่กำแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อค่อยๆ คลายออก ขบเม้มริมฝีปากพยายามข่มกลั้นความเ็ปที่หลั่งออกมาพร้อมน้ำตา
“ถงเอ๋อร์ อย่ากลัวไปเลยลูก ทุกอย่างพ่อจัดการให้หมดแล้ว” น้ำเสียงแ่เบาของโม่ฮว่าเหวินกระซิบข้างหู นางเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตานองหน้า เห็นความรักของบิดาเอ่อท้นเต็มดวงตาอย่ามิอาจซ่อนเร้น จึงยิ่งมิอาจกลั้นความโศกเศร้าได้ ถลาเข้าหาอ้อมอกของโม่ฮว่าเหวินทันที น้ำตาไหลพรากอยู่เงียบๆ
ชาติที่แล้วอวี้ซือหรงแสร้งทำเป็มิตรกับนางเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น แต่ลับหลังกลับวางแผนทำลายนางครั้งแล้วครั้งเล่า จวนฉินอยู่ในความควบคุมของนางกับอวี้ซื่อ ปล่อยข่าวลือว่านางเป็สตรีไร้มารยาทขาดการอบรมสั่งสอน ไม่เพียงแต่ทำลายชื่อเสียงของนาง แม้แต่มารดาของนางก็ถูกติฉินนินทาไปด้วย หลายต่อหลายครั้งที่เหล่าคนรับใช้ในจวนฉินกล่าวเหยียบย่ำมารดา ยามนั้นตนเองยังขลาดเขลาอ่อนแอ ได้แต่แอบร้องไห้อยู่คนเดียว
แต่ในที่สุดยามนี้นางก็สามารถด่าออกมาได้เต็มปากเต็มเสียง ความรู้สึกอัดอั้นเหมือนได้รับการปลดปล่อย หัวใจปลอดโปร่งโล่งสบายได้เสียที!
ใช่แล้ว ชีวิตนี้ นางจะไม่ยอมให้ใครรังแกเปล่าๆ ได้อีก
หนี้แค้นทุกหยาดหยด นางต้องเอาคืนทั้งหมด
“ถงเอ๋อร์เด็กดี หยุดร้องไห้เถิด ยังมีผู้อื่นอยู่นะ” โม่ฮว่าเหวินกอดนางไว้ในอ้อมอก รู้สึกได้ว่าบุตรสาวตัวสั่นเล็กน้อย จึงตบไหล่นางเบาๆ อย่างรักใคร่
โม่เสวี่ยถงเริ่มรู้สึกถึงสายตาคนที่จับจ้องนางอยู่ จึงค่อยสงบลงอย่างช้าๆ ถอยออกมาจากอ้อมแขนของโม่ฮว่าเหวิน หันหน้าหลบไปด้านข้าง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา แล้วเดินเข้าไปย่อกายคารวะต่อเฟิงเจวี๋ยเสวียนอย่างอ่อนช้อยมีมารยาท “หม่อมฉันถวายบังคมฉู่อ๋องเพคะ”
“คุณหนูสามมิต้องมากพิธี” เฟิงเจวี๋ยเสวียนยิ้มตอบรับ สายตาจับบนใบหน้าที่ยังเปียกรื้น ใบหน้างดงามตรึงใจที่ปรากฏอยู่ในความฝันของตนเองหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งงดงามชวนให้ใจสั่น ขนตายาวงามงอนกะพริบปริบๆ สองสามครา ดวงตาอ่อนหวานพริ้มเพรา ริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มแลดูขาวซีด บอบบางคล้ายใกล้จะแตกสลาย
ใครเล่าจะไม่ใจละลาย ด้วยความสงสารและเวทนา
“คุณหนูสามไม่จำเป็ต้องมากพิธีขนาดนั้น ข้ากับพี่ใหญ่แค่มาดูสวนของจวนโม่ พี่ใหญ่ของข้าได้ยินมาว่าการวางผังเรือนของจวนโม่แตกต่างจากบ้านอื่น จึงอยากมาดูให้เห็นกับตา คิดไม่ถึงว่าจะเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้เข้า” น้ำเสียงเอ้อระเหยที่คุ้นเคยลอยมาจากอีกทางหนึ่ง โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้นก็เห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านยืนพิงประตูโค้งที่เชื่อมลานสวนอยู่ ใบหน้าหล่อร้ายยังคงโปรยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ทว่าโม่เสวี่ยถงกลับจับความรู้สึกได้ว่าในรอยยิ้มของเขามีอันตรายฉายแววอยู่วาบๆ ทำให้รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ
ใครไปยั่วให้ท่านอ๋องปีศาจแล่นมาพาลผู้อื่นถึงที่นี่กันล่ะเนี่ย!
โม่เสวี่ยถงตาใสสว่างขึ้นมาทันที หันไปทางเขาแล้วย่อกายคารวะอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ถอยไปอยู่ด้านหลังของโม่ฮว่าเหวิน แล้วกระซิบกับบิดาเบาๆ “ท่านพ่อ ลูกขอตัวก่อน”
แม้ไม่ทราบว่าฉู่อ๋องกับเซวียนอ๋องจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในบ้านของตนเองด้วยธุระอันใด แต่นางก็ไม่อยากรู้แม้แต่น้อย รู้สึกถึงกลิ่นอันตรายแปลกๆ ยามนี้นางสงบจิตใจลงได้แล้วจึงคิดแต่จะแวบหนีเท่านั้น
“ไปเถิด” โม่ฮว่าเหวินพยักหน้า ที่นี่มีแต่บุรุษภายนอก โม่เสวี่ยถงเป็คุณหนูในห้องหอมาเตร่อยู่ที่นี่ย่อมไม่เหมาะสม
สายตาของเฟิงเจวี๋ยเสวียนมองตามเงาร่างของโม่เสวี่ยถงที่เดินจากไปโดยไม่รู้ตัว ครั้งแรกที่พบนาง นางดูเศร้าสลดหลังจากมอบต้นกล้วยไม้ให้กับแม่นมของเสด็จอาแล้ว ภายนอกที่ดูเปราะบางอ่อนแอ แต่กลับมีความเด็ดเดี่ยว แล้วจะไม่ให้เขานึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวนางได้อย่างไร...
“ใต้เท้าโม่ ไม่ทราบว่าธิดาน้อยสุดที่รักของท่านหมั้นหมายกับผู้ใดแล้วหรือยัง?” เฟิงเจวี๋ยหร่านเดินเข้ามา ดวงตาเรียวกระดกขึ้นเล็กน้อย มองโม่ฮว่าเหวินด้วยแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
คำพูดนี้ไร้มารยาทเป็ที่สุด แต่เพราะผู้ถามคือเซวียนอ๋องผู้ขึ้นชื่อเื่การชอบกระทำการแหวกขนบ โม่ฮว่าเหวินจึงจำต้องแข็งใจตอบ “ั้แ่เล็กมารดาของนางก็มีกำหนดหมั้นหมายไว้ให้แล้ว”
“โอ... ช่างน่าเสียดายยิ่ง” เฟิงเจวี๋ยหร่านแสดงท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ “แล้วพอจะหาทางถอนหมั้นได้หรือไม่?”
คำกล่าวนี้เกือบทำให้โม่ฮว่าเหวินะเิอารมณ์ออกไป
“น้องแปดห้ามเสียมารยาท!” ยามนี้เฟิงเจวี๋ยเสวียนเพิ่งได้สติคืนมา ยิ้มแล้วเอ่ยปรามออกไปประโยคหนึ่ง ก่อนหันมาพูดปลอบโม่ฮว่าเหวิน “น้องแปดเป็คนขี้เล่น ใต้เท้าโม่โปรดอย่าถือสา”
“กระหม่อมมิกล้า” โม่ฮว่าเหวินหรือจะกล้าว่าอะไรองค์ชายรูปงามราวกับปีศาจพระองค์นี้ ได้แต่ปาดเหงื่อแล้วพยักหน้าตอบรับคำ
“ใต้เท้าโม่ จวนของท่านดูแปลกจากที่อื่นจริงๆ ด้วย ข้าเคยได้ยินมาว่าที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของจิ้นอ๋องเคยหมายตาที่นี่ไว้ หนึ่งภูผา หนึ่งวารีในนี้แม้จะไม่ใหญ่นัก แต่กลับงามวิจิตร เสด็จพ่อพระราชทานจวนนี้ให้แก่ท่าน แสดงว่าทรงให้ความสำคัญแก่ท่านเป็อย่างยิ่ง” เฟิงเจวี๋ยเสวียนยิ้มพลางยกเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครนำพาต่อเื่เล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
“ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้นของฝ่าา ทรงเล็งเห็นว่ากระหม่อมยังขาดที่อยู่อาศัย จึงพระราชทานจวนหลังนี้มาให้พ่ะย่ะค่ะ” โม่ฮว่าเหวินตอบอย่างระมัดระวัง
“ใต้เท้าโม่เป็คนเก่าแก่ของเสด็จพ่อ ย่อมมิอาจเทียบกับผู้อื่น หากพระองค์ไม่ทรงให้ความสำคัญกับท่านแล้วจะให้ใครได้” เฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวอย่างมีนัยแอบแฝง
แต่คำกล่าวนี้โม่ฮว่าเหวินรับไม่ไหวจริงๆ ได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ขณะที่กำลังจะตอบกลับ กลับได้ยินเฟิงเจวี๋ยหร่านเอ่ยปากขึ้นก่อนอย่างเบื่อหน่าย “พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราแค่มาชมจวนและเยี่ยมเยียนใต้เท้าโม่ ท่านก็ให้นายช่างฝีมือดี รีบๆ วาดรูปให้เสร็จจะได้ไปกันเสียที อีกประเดี๋ยวข้ามีรับคำเชิญจากสหายสองสามคนต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่หอร้อยบุปผา หากไปสายเกรงว่าจะไม่ดี”
หอร้อยบุปผาที่ว่านั่น หาใช่สถานที่ดีงามแต่อย่างไร แต่เป็หอคณิกาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
แต่มาพูดถึงเื่นี้เวลานี้ ผู้อื่นต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มีเพียงเฟิงเจวี๋ยหร่านที่ยังหน้ารื่นไม่รู้สึกรู้สม
เฟิงเจวี๋ยเสวียนกระแอมกระไอทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องแปด อย่ารีบร้อน วนดูอีกสักรอบก็พอแล้ว ฝีมือการวาดของช่างภาพถือว่ารวดเร็วอยู่”
“ได้ เช่นนั้นก็เร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้