ไม่ว่าโจวชิงหวาจะขอโทษอย่างไร กู่อวี่เสวียนก็ยังคงก่นด่า ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ
คนของเว่ยฉีหรานสังเกตเห็นจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของชายหนุ่ม จึงรู้ว่าเขาเป็คนที่ถูกไป๋หานส่งมา ก็เอ่ยปากขอร้องอีกแรง
กู่อวี่เสวียนถือโอกาสทำตัวตามน้ำ ทั้งยังพยายามหาข้ออ้าง เพื่อที่จะช่วยให้ชายหนุ่มไม่ต้องเข้าไปพบเว่ยฉีหราน และไล่เขาออกจากวังทันที
ดังนั้นโจวชิงหวาจึงไม่ได้เจอหน้าแม่ทัพเว่ยฉี นับว่าเป็การลดความเสี่ยงไปได้อีกทางหนึ่ง
…
พอกลับมาถึงสำนักฝูเซิง โจวชิงหวาก็ไปจัดการธุระต่างๆ ให้เรียบร้อย ก่อนมุ่งหน้าไปยังห้องพักของหนีเจียเอ๋อร์ และเล่าเื่เกี่ยวกับห้องลับให้ฟัง
หญิงสาวจึงยิ่งมั่นใจ ว่าจะต้องมีความลับซุกซ่อนอยู่ที่นั่นเป็แน่ จึงตัดสินใจจะลงมือวางยาทุกคนในงานเลี้ยงวันเกิดของไป๋หาน ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกห้าวันหลังจากนี้ และฉวยโอกาสลอบเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง ระหว่างที่ทุกคนกำลังป่วย
เมื่อได้ยินแผนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ไม่เห็นด้วยนัก เพราะไม่อยากให้นางต้องมาเสี่ยงอีก จึงบอกให้นางอยู่ที่งานเลี้ยง โดยเขาจะเข้าไปสำรวจเอง
ขณะกำลังคุยกันถึงรายละเอียดของการวางยา จู่ๆ โจวชิงหวาก็เปลี่ยนท่าทีไปเป็เคร่งขรึม เงียบเสียงลง และใช้สายตาส่งสัญญาณเตือนว่ามีคนมา
หนีเจียเอ๋อร์กลืนคำพูดลงคอ แล้วเปลี่ยนเื่คุย “อาหวา ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน หลังติดตามท่านรองเ้าสำนัก เ้าคงจะยุ่งมากล่ะสิ ข้าละอิจฉาจริงๆ!”
โจวชิงหวานั่งลงฝั่งตรงกันข้าม นิ้วเรียวยาวยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และใช้ฝาปาดใบชาปากถ้วย พลางตอบ “อย่าอิจฉาเลย รีบรักษาตัวให้หายเถอะ ถึงตอนนั้นค่อยออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน”
ปัง!
ประตูถูกผลักเข้ามาจากด้านนอกอย่างไม่ทันตั้งตัว
พอหันไปมอง ก็พบว่าอิ้นฮู่เว่ยกำลังยืนทำหน้าถมึงทึง จ้องพวกเขาด้วยสายตาแปลกพิกล
หนีเจียเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “โอ้! ลมอันใดหอบท่านมาถึงนี่”
จากนั้นก็ค้อมตัว ผายมือเป็เชิงเชื้อเชิญ
อิ้นฮู่เว่ยแสดงสีหน้ารังเกียจ มองอาหนีที่เตี้ยกว่าตัวเอง แล้วเอ่ยเสียงหยัน “วันนี้ เ้าพอจะมีแรงลุกออกจากเตียงได้แล้วหรือ?”
ไม่รู้ว่ารองเ้าสำนักเห็นดีอะไร ถึงได้พาคนผู้นี้เข้าสำนักฝูเซิง สองวันทำงานเจ็ดวันล้มป่วย นอกจากเลี้ยงเสียข้าวสุกแล้ว ก็ไม่เห็นทำงานทำการใดๆ
หนีเจียเอ๋อร์สบสายตาเหยียดหยามของอิ้นฮู่เว่ย แล้วพูดอย่างใจเย็น “มีผู้ใดในโลกใบนี้ ที่ไม่เคยล้มป่วยบ้างเล่า?”
พอมองไปที่อีกฝ่าย ก็คิดว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาจะรู้ว่าตัวเองผิดพลาดไปมากเพียงใด
โจวชิงหวาวางถ้วยชาลงอย่างสง่างาม แล้วลุกขึ้น ก่อนยกยิ้มมุมปาก “อิ้นฮู่เว่ย เป็อย่างไรบ้าง? อยากให้อาหนีช่วยจ่ายยาแก้ช้ำในสักห่อหรือไม่!”
ดวงตาของชายหนุ่ม คล้ายจะแฝงไว้ด้วยการดูิ่
อิ้นฮู่เว่ยกำหมัดแน่น ถลึงตามอง ประหนึ่งอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายๆ ไปเสีย
วันนั้น อาหวาปะทะกับตนโดยไร้ซึ่งอาวุธ แต่พอเวลาผ่านไป เขากลับพบว่าการแลกหมัดเช่นนั้น ถือเป็การต่อสู้ซึ่งโหดร้ายที่สุด เพราะความจริงแล้ว อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังต่อยตีด้วยความโเี้และเฉียบขาด หาใช่ทุบตีอย่างสะเปะสะปะแต่อย่างใด
ในยามนั้น แม้อิ้นฮู่เว่ยจะรู้สึกเ็ปเหลือทน แต่เมื่อเห็นว่าไร้ซึ่งาแ ก็คิดง่ายๆ ว่าวันสองวันคงหาย แต่ผ่านมาเกินสามวันแล้ว รอยช้ำบนร่างกายกลับแย่ลง เขาจึงตกอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก อึดอัดไร้ทางออก ครั้นจะไปขอความช่วยเหลือจากไป๋หาน ก็มีแต่จะอับอายยิ่งขึ้น
ส่วนบรรดาหมอทั้งหลาย ก็คงไม่อาจรักษาเขาได้
เดิมทีที่เขามาหาอาหนีเพื่อรักษาอาการาเ็ คิดว่าหลังจากรักษาเสร็จ ค่อยขู่อีกฝ่ายให้เก็บเป็ความลับ แต่ไม่คิดว่าจะมีปีศาจร้ายอย่างอาหวาอยู่ด้วย
สิ่งที่อิ้นฮู่เว่ยไม่ทราบก็คือ เมื่อครั้งยังเด็ก โจวชิงหวาเคยถูกรังแกเพียงเพราะเกิดมายากจน ไม่ว่าจะเป็สถานที่แห่งใดก็มิได้ให้การยอมรับ จนเขาต้องผันตัวไปฝึกวรยุทธ์เพื่อเอาคืนผู้คนเ่าั้
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงฝึกวิธีการต่อยตีที่ไม่ทิ้งาแให้คู่ต่อสู้ แต่กลับสามารถสร้างความทรมานได้มากกว่าการถูกกระบี่ฟันเสียอีก ทั้งยังต้องใช้เวลาพักฟื้นนานพอสมควรกว่าจะหายเป็ปกติ
ในโลกใบนี้ มีผู้คนมากมายที่มารังแกโจวชิงหวา เพราะเห็นว่าเขามีพื้นเพต่ำต้อย แต่สุดท้ายก็ต้องได้รับผลกรรมไปตามๆ กัน
อิ้นฮู่เว่ยจับจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ก่อนหันไปมองหนีเจียเอ๋อร์ และกล่าวว่า “เ้ามาอาศัยกินนอนในสำนักหลายวัน ป่วยก็มีที่ซุกหัวนอน ไม่มีใครต่อว่า ตอนนี้ดูท่าทางน่าจะสบายดีแล้ว เช่นนั้นก็อย่าเอาแต่เป็ภาระให้กับสำนัก รู้จักทำตัวเป็ประโยชน์เสียบ้าง... เ้าคนสันหลังยาว!”
ดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์ พลันฉายแววเยียบเย็น
...
สามวันต่อมา
อิ้นฮู่เว่ยรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก เพราะเ็ปจนไม่อาจเดินเหินได้ตามปกติ จนต้องมาหาหมอ แต่ยามนี้ รองเ้าสำนักได้พาแพทย์ประจำสำนักออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงอาหนีเท่านั้น เขาจึงต้องแบกหน้ามาพบอีกฝ่าย
กระบวนการรักษาสร้างความเ็ปมากเพียงใด หนีเจียเอ๋อร์ย่อมทราบเื่นี้ดี อิ้นฮู่เว่ยกับโจวชิงหวาก็เช่นกัน
แต่นั่นมิได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะรับรู้ด้วย ดังนั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเจียนตายของอิ้นฮู่เว่ย ทุกคนก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความฉงน... แน่ใจหรือว่าอาหนีกำลังรักษาอาการาเ็อยู่จริงๆ?
ด้วยไม่เคยได้ยินเสียงร้องที่น่าสังเวชเช่นนี้มาก่อน แม้จะถูกลูกศรยิงทะลุร่าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดแหกปากร้องอย่างน่าอับอายเช่นนี้
มิหนำซ้ำ เขายังเป็ผู้ที่แข็งแกร่งรองมาจากท่านรองเ้าสำนัก!
หลังการรักษาสิ้นสุด หนีเจียเอ๋อร์ก็ขอร้องให้คนกลุ่มหนึ่ง มาอุ้มร่างของอิ้นฮู่เว่ยกลับไปยังห้องพักของเขา
...
ั้แ่พวกนางไปอยู่ที่เมืองเย่มาจนถึงบัดนี้ ในทุกๆ ห้าวัน หญิงสาวจะเขียนจดหมายส่งกลับบ้านเพื่อคลายความกังวลให้คนในครอบครัว เว่ยอี๋เหนียงกับพี่ชายจะได้ไม่เป็ห่วงมากนัก
ในเวลาเดียวกัน เว่ยฉีหรานที่ต้องพำนักอยู่ในพระราชวังชั่วคราว เพื่อคุ้มครององค์หญิงใหญ่ ก็ให้คนแอบสืบหาที่มาของมือสังหารในวันนั้น แต่กลับพบว่าแท้จริงแล้ว บุคคลผู้นั้นหาใช่มือสังหารอันใด ทว่าเป็องครักษ์ข้างกายของกู่อวี่เสวียนนั่นเอง
แม่ทัพเว่ยจึงครุ่นคิด ว่าเหตุใดทุกอย่างมันดูแปลกๆ...
เมื่อคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก็พลันนึกถึงศิษย์แปลกหน้าคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องลับในครานั้น... เื่นี้น่าจะมีความเชื่อมโยงกับเล่ห์กลขององค์หญิงกู่อวี่เสวียน!
ล่อเสือออกจากถ้ำอย่างนั้นหรือ?
เว่ยฉีหรานโบกมือไล่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มารายงานข่าว แล้วหันมากวาดสายตาอันเยือกเย็นไปรอบๆ
ในสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ราวกับจะมีกลิ่นอายสังหารโชยมาแต่ไกล...
“ใครก็ได้ มานี่สิ!”
เพียงสองประโยค ก็ข่มขวัญผู้คนจนหวาดกลัว
ผู้ติดตามที่อยู่นอกประตู จึงร้องถามขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ มีอะไรจะสั่งหรือขอรับ?”
“เตรียมม้าให้ข้าที!”
อิ้นฮู่เว่ยเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ ฝ่าาทรงรับสั่งไว้ ว่าหากยังจับตัวมือสังหารมิได้ ท่านเ้าสำนักก็ไม่อาจย่างกรายออกจากตำหนักองค์หญิงใหญ่ได้ มิใช่หรือ?
นอกจากนี้ ในวังก็มีกฎระเบียบชัดเจน ว่าห้ามมิให้ผู้ใดขี่ม้าในเขตพระราชฐาน นอกจากผู้ส่งสารด่วนเท่านั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้คนในราชวงศ์!
แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยปาก เพียงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบกุลีกุจอไปเตรียมม้าตามคำสั่ง
เว่ยฉีหรานกระตุ้นม้าให้ออกเดิน แต่ระหว่างทางที่จะไปยังสำนักฝูเซิง สายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นนกพิราบสื่อสาร กำลังบินออกมาจากสำนัก เขาจึงหยุดม้าและยื่นมือออกมา “เอาธนูมาสิ!”
อิ้นฮู่เว่ยหยิบธนูและลูกศรจากถุงข้างอานม้า ออกมายื่นให้
เว่ยฉีหรานรีบมันมา ขึ้นคันธนู ก่อนยิงลูกศรออกไป
ฉึก!
ลูกธนูพุ่งทะลุหัวนกพิราบ จนมันร่วงหล่น ผู้ติดตามจึงควบม้าเข้าไปรับมาได้แบบพอดิบพอดี
เขาถอดม้วนจดหมาย ที่มัดไว้กับขาของนกพิราบสื่อสารออกมา แล้วยื่นให้เว่ยฉีหรานทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้