ซวี่เฉินฟางนั่งไขว่ห้าง แล้วแกว่งขาไปมาสบายๆ พลางหลุบตาลงกึ่งหนึ่งมองดวงดาวบนฟ้า จู่ๆ เขาก็กล่าว “อาอู่ช่างสะเพร่าจริงๆ เก็บคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมาเป็คู่หมั้น ไม่กลัวว่าสักวันศัตรูของเขาจะตามล้างแค้น ทำให้นางหมดเนื้อหมดตัวหรืออย่างไร”
อินเหิงลูบขนแม่ไก่ป่าเบาๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่ไก่ป่าตัวนี้นั่งยองอยู่บนพนักแขนเก้าอี้เข็น เพราะเขาลูบขนให้มันจนรู้สึกสบายมาก มันจึงหรี่ตาพลางขันกุ๊กๆ เบาๆ
อินเหิงกล่าว “สะเพร่าจริงๆ กล้าพาคนที่ไม่รู้ว่าเป็คนหรือผีกลับเรือน”
ซวี่เฉินฟางยกมือกุมหน้าผากอย่างจงใจ ปอยผมดุจไหมสองสามปอยไหลลอดระหว่างนิ้วของเขา มุมปากยกขึ้นคลุมเครือดุจตะขอ “แม้ข้าจะไม่ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ดูคล้ายจะไม่ได้ชั่วร้ายขนาดนั้น ไฉนถึงแยกไม่ออกว่าเป็คนหรือผีเล่า?”
อินเหิงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า กล่าวว่า “อ้อ เ้ายอมรับแล้วสินะว่าข้ากำลังพูดถึงเ้า?”
ซวี่เฉินฟางยิ้มกล่าว “คนบางคนภายนอกงดงาม ผู้ใดจะรู้ว่าในใจคิดร้ายเช่นไร”
อินเหิงกล่าว “อ้อ? เฉินฟาง เ้ากำลังพูดถึงตนเองอยู่หรือ?”
ซวี่เฉินฟาง “ข้ากำลังพูดถึงเ้า หวังสิง”
อินเหิงกล่าวเสียงแ่เบา “คุณชายซวี่มิอาจอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้ตลอดไป ผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล หมดเนื้อหมดตัว บางคนเลือกที่จะก่อเื่วุ่นวายใหญ่โต สุดท้ายอาจตกอยู่ในสภาพที่น่าอนาถ แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ถอยเพื่อรุก รอคอยโอกาสเงียบๆ เพื่อพลิกฟื้น หาก้าบรรลุนิพพานจริงๆ และ้าใช้ชีวิตในหมู่บ้านโดยห่างไกลจากความเร่งรีบและความวุ่นวายของโลกมนุษย์ เ้าก็ไปอยู่ในูเาลึกป่าเก่าแก่ที่ไร้ผู้คนแล้วปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม หรืออยู่โดดเดี่ยวจนแก่เฒ่า หรือหาต้นไม้แห้งแล้วแขวนคอตนเองอยู่บนนั้นไม่ดีกว่าหรือ?”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตา สีหน้าท่าทางคาดเดาไม่ได้
ซวี่เฉินฟางเอ่ยถาม “เ้าปากร้ายขนาดนี้ อาอู่รู้หรือไม่?”
อินเหิงกล่าว “อาอู่ไม่จำเป็ต้องรู้ หากออกจากเรือนหลังนี้ไปแล้ว คุณชายซวี่จะไปที่ใดก็เชิญตามแต่ใจ แต่หากคิดจะสร้างปัญหาในเรือนหลังนี้ เกรงว่าจะไม่เป็ดั่งใจที่เ้าปรารถนา”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ดูคล้ายที่นี่ก็ไม่ใช่เรือนของเ้า”
อินเหิงกล่าวเนิบช้าและสมเหตุสมผล “ข้าเป็สามีแต่งเข้าของอาอู่ โดยธรรมชาติแล้วที่นี่คือเรือนของข้า”
นี่เป็เื่ปกติเมื่อข้าเข้าประตูเรือนข้าก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เขายังพูดได้อย่างเป็ธรรมชาติด้วย
ซวี่เฉินฟางจุปาก “ยังไม่ได้แต่งงาน ยิ่งไม่ได้เข้าหอ จะนับเป็คู่สามีภรรยากันได้อย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าในอนาคตนางจะเป็ของเ้าหรือไม่ เื่เช่นนี้ไม่ได้ดำเนินการภายในวันเดียว เพียงวันเดียวก็ยังไม่รู้กระมัง วันเวลาข้างหน้าที่จะอยู่ร่วมกับนางคงสนุกไม่น้อย”
ซวี่เฉินฟางถอนหายใจอย่างเสแสร้ง กล่าวต่อว่า “เฮ้อ อาอู่เป็เด็กสาวที่ตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตา น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้พบเจอนางก่อนหน้านี้”
ไม่ว่าเขาจะหมายตาเมิ่งอู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาสนุกกับการเข้ามาแทรกกลางระหว่างอินเหิงกับเมิ่งอู่
สีหน้าของอินเหิงน่าเกลียดนิดหน่อย
เมิ่งอู่เดินออกมาจากห้องน้ำ เช็ดผมพลางกล่าวว่า “พวกเ้าพูดอันใดกันอยู่หรือ?”
ซวี่เฉินฟางชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้ายามราตรี ก่อนหันกลับมายิ้มสุภาพอ่อนโยนและสง่างามให้เมิ่งอู่ กล่าวว่า “อ้อ คืนนี้ดวงจันทร์งามจริงๆ”
“อาอู่ มานี่สิ” อินเหิงกล่าว
เมิ่งอู่รีบวิ่งเข้าไปหาอินเหิงอย่างตื่นเต้นทันที
เมื่อซวี่เฉินฟางเห็นสถานการณ์อย่างนั้นก็กล่าวว่า “ญาติผู้น้องอาอู่ เ้าออกมาตากลมกระมัง มานี่สิ ข้าจะยกเก้าอี้เอนตัวนี้ให้เ้า”
ยามนี้เมิ่งอู่ไม่สนใจเก้าอี้เอนอีกต่อไป นางเดินไปหาอินเหิง นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก แล้วหันหลังให้อินเหิง จากนั้นก็ยื่นผ้าขนหนูให้เขาช่วยเช็ดผมให้นาง
อินเหิงประคองศีรษะของนางเข้าใกล้ขาของตนเองมากขึ้น
คราแรกเมิ่งอู่ไม่ค่อยกล้า นางกล่าวว่า “อาเหิง ขาของเ้ายังทนรับแรงกดไม่ได้ หากศีรษะข้ากระแทกขาของเ้าเข้าจะทำเช่นไร?”
อินเหิงกล่าว “ขาคู่นี้ไร้ประโยชน์ ยามนี้มีประโยชน์เพียงให้อาอู่หนุนศีรษะ อาอู่ไม่ยอมให้เกียรติข้าหรือ?”
เมิ่งอู่ทนไม่ได้ที่จะทำลายความภาคภูมิใจในตนเองของเขา หากนางยังไม่ยอมแม้แต่ใช้หนุนศีรษะ เขาคงคิดว่าขาของเขายิ่งไร้ประโยชน์กระมัง?
ไม่ได้การๆ เมิ่งอู่กล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมต้องให้เกียรติเ้า ข้าจะพิงเบาๆ นะ หากเ้าเจ็บก็บอกข้า”
อินเหิง “อืม”
เมิ่งอู่เอนศีรษะเอียงหน้า สุดท้ายค่อยๆ พิงขาของอินเหิงช้าๆ
เส้นผมเปียกชื้นของนางกระจายอยู่บนตักของเขา อินเหิงเช็ดผมให้นางอย่างเนิบช้าและอ่อนโยน
เมิ่งอู่ดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างรวดเร็ว สีหน้าเพลิดเพลิน อินเหิงมองซวี่เฉินฟางที่อยู่ด้านข้างราวกับเป็อากาศธาตุ แม้แต่เมิ่งอู่ก็ค่อยๆ ลืมไปว่าด้านข้างยังมีคนที่มีชีวิตอีกหนึ่งคน
นางเปลี่ยนท่า หนุนตักของอินเหิง ก่อนเอื้อมมือไปเล่นกับชายเสื้อของเขา จากนั้นจึงเลื่อนมือลูบไปตามตัวเขาขึ้นไปที่ท้ายทอยแล้วดึงปิ่นไม้ที่เขาใช้ขมวดผมไว้ออก
ทันใดนั้นเรือนผมดำขลับของอินเหิงก็สยายลงมาคลุมเสื้อผ้า
เมิ่งอู่กลับมาหนุนตักของเขาอีกครั้ง ก่อนหยิบปอยผมของเขามาพันเป็เกลียวระหว่างนิ้วเล่นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ต่อมาซวี่เฉินฟางลุกขึ้นยืน สะบัดชายเสื้อ หันหลังเดินเข้าห้อง เขาบิดเอวก่อนเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ทนดูไม่ไหว ข้าไปนอนแล้ว”
เมิ่งอู่รู้สึกสบายจนเกือบเคลิ้มหลับ อินเหิงก้มลงมองนาง ตอบกลับเบาๆ “ไม่ได้ขอให้เ้าดูสักหน่อย”
เมิ่งอู่รู้สึกตัว นางเงยหน้ามองก็เห็นซวี่เฉินฟางเดินไปใต้ชายคาเรือน แสงสีเหลืองแวววาวในห้องสว่างออกมาอย่างสม่ำเสมออาบย้อมเงาร่างของเขาให้หลอมรวมเป็ภาพสีทองและแดงเข้ม
ซวี่เฉินฟางหยุดฝีเท้า เหลียวกลับมามองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวกับอินเหิง “สภาพของเ้าก็ไม่ดีไปกว่าข้าเท่าไร เมื่อครู่เ้าพูดอันใดกับข้า ข้าขอคืนคำพูดนั้นให้เ้าทั้งหมด”
เมิ่งอู่เอ่ยถาม “อาเหิง เ้าพูดอันใดกับเขาหรือ?”
อินเหิงกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าบอกเขาว่าไม่ว่าจะพบอุปสรรคใดๆ ก็อย่าละทิ้งและยอมแพ้ ต้องยืนหยัดสู้จนถึงที่สุด จึงจะได้รับชัยชนะในตอนท้าย”
เมิ่งอู่รู้สึกประทับใจ “ไม่คิดเลยว่าอาเหิงจะให้กำลังใจคนเก่งถึงเพียงนี้”
อินเหิงกล่าว “ถึงอย่างไรชีวิตก็ยากลำบาก เส้นทางชีวิตยาวไกล คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่ง่ายเลย”
ซวี่เฉินฟางที่เพิ่งเหยียบธรณีประตูทนไม่ไหว หันกลับมาเอ่ย “หวังสิง เ้าไม่เหนื่อยหรือที่ต้องลืมตาพูดโกหกอย่างไร้ศีลธรรมเช่นนี้?”
อินเหิงช้อนตามองอีกฝ่าย กล่าวเสียงแ่เบาและเนิบช้า “ไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย”
เมิ่งอู่ชะเง้อชะแง้มองตาม กล่าวเสริม “มิใช่ว่าเ้าจะนอนแล้วหรือ เหตุใดถึงไม่ปิดประตู?”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอู่จะไปเก็บผักในทุ่ง พร้อมถือโอกาสถอนวัชพืช
วันนี้แดดดี ท้องฟ้าแจ่มใส
ทุกครั้งที่เมิ่งอู่จะออกจากเรือน แน่นอนว่าซวี่เฉินฟางย่อมอารมณ์ดี เพราะเขาสามารถเดินตามเมิ่งอู่ออกจากเรือนได้อย่างเปิดเผยและสมเหตุสมผล ส่วนอินเหิงทำไม่ได้
ซวี่เฉินฟางหยิบหมวกสานไม้ไผ่ที่แขวนอยู่บนกำแพง เอาไว้ใช้บังแดดโดยเฉพาะ บนนั้นมีอยู่สองใบ เมิ่งอู่ใส่ใบหนึ่ง นางเซี่ยก็ใส่อีกใบหนึ่งยามออกไปทำงานก่อนหน้านี้
ซวี่เฉินฟางยกมือข้างเดียวขึ้นสวมหมวกสานอย่างสง่างาม ชุดแดงเรือนผมดำและรอยยิ้มบูดเบี้ยวบางเบาใต้หมวกสานช่างงดงามจับใจ
เขาสวมหมวกสานอีกใบให้เมิ่งอู่ กล่าวกับอินเหิงยิ้มๆ “ข้าจะออกไปกับญาติผู้น้องอาอู่ ต้องรบกวนเ้าเฝ้าเรือนแล้ว”
เมิ่งอู่เพิ่งจะสะพายตะกร้าไว้บนหลัง ก็ได้ยินอินเหิงเอ่ยเบาๆ “ข้าจะไปด้วย”
เมิ่งอู่หันขวับกลับมามองอินเหิง เขาสวมชุดขาวสะอาดไร้ตำหนิ แต่สีหน้าอ้างว้างเดียวดาย ชวนให้เมิ่งอู่ใจสั่นสะท้าน
อินเหิงกล่าว “พูดไปแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยออกจากเรือนหลังนี้ไปข้างนอกเลย อาอู่ ทิวทัศน์ในหมู่บ้านนี้งามหรือไม่?”