ตลาดตั้งอยู่ที่เชิงของยอดเขาแห่งหนึ่งในแดนชีพจรเสวียนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
ในอดีต สถานที่แห่งนี้เป็เพียงสถานที่แลกเปลี่ยนสิ่งของตามความ้าของสายชีพจรเสวียนและสายชีพจรหวง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายมาเป็ตลาดขึ้นชื่อของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และยังได้รับการยอมรับจากผู้นำระดับสูงของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
เมื่อเข้าสู่ตลาด จะมีชุดสีดำและหน้ากากให้ยืมใช้เพื่อปกปิดตัวตน ที่เป็เช่นนี้ก็เพื่อให้ศิษย์แต่ละคนสามารถซื้อขายกันได้อย่างมั่นใจ เพียงแต่ จะต้องใช้แต้มสนับสนุนหนึ่งแต้มต่อการยืมใช้หนึ่งครั้ง
“คนใกล้ตายอย่างเ้าต้องยืมใช้ชุดคลุมดำไปทำไม? มันไม่สิ้นเปลืองแต้มสนับสนุนไปเปล่าๆ หรือ?” จางอี้เหวินพึมพำอยู่ในใจ และทำการยืมชุดคลุมสีดำสองตัวมาอย่างไม่เต็มใจ หลังจากสวมชุดคลุม เขาก็เดินเข้าไปในตลาดพร้อมกับฉินอวี่
ทันทีที่เข้าไปในตลาด ฉินอวี่ก็มีความรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังตลาดของเมืองหลักเทียนอู่ เมื่อมองเพียงครู่เดียว ก็มองเห็นภาพของศิษย์นับพันที่นั่งลงกับพื้น จัดเรียงสิ่งของที่้าขาย เสียงะโร้อง และเสียงสนทนาของแต่ละคนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“ยาหุยชุนระดับสาม เป็ของจำเป็ต้องใช้เมื่อต้องเข้าไปในแดนขัดเกลา ้าเพียงห้าแต้มเท่านั้น”
“โอสถหลอมปราณระดับสูงสุด ใช้สี่สิบห้าแต้ม เหลือแค่สองเม็ดสุดท้ายแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องท่านใดที่้ายกระดับฝึกฝนสู่ขั้นเทียนชุ่ย โปรดอย่าได้รอช้า!”
“อาวุธิญญาป้องกันระดับสาม ใช้เพียงสิบห้าแต้ม อาวุธิญญาป้องกันระดับสี่ แลกเพียงห้าสิบห้าแต้มเท่านั้น”
เสียงะโของแต่ละคนดังขึ้นมากมาย เมื่อจางอี้เหวินได้ยินดังนั้น เขาก็กระสับกระส่ายขึ้นมาทันที และพูดออกไปด้วยความหงุดหงิด “นี่มันโกงกันเกินไปหรือไม่? ก่อนหน้านี้โอสถหลอมปราณระดับสูงสุดมีค่าไม่ถึงสิบห้าแต้ม ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นมาถึงสามเท่า? อาวุธิญญาป้องกันระดับสาม มูลค่ามากที่สุดก่อนหน้านี้ก็แค่ห้าแต้ม อาวุธิญญาป้องกันระดับสี่ ก็ยังไม่ถึงยี่สิบแต้มด้วยซ้ำ เหตุใดจึงราคาสูงขึ้นมากขนาดนี้?”
“ไม่ได้การแล้ว ข้ามีแต้มสนับสนุนอยู่เพียงสามสิบสามแต้ม ยังไม่พอซื้อโอสถหลอมปราณระดับสูงสุดแม้แต่เม็ดเดียว!” จางอี้เหวินกล่าว
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว มูลค่าของโอสถหลอมปราณสูงกว่าที่เขาคิดไปมาก หลังจากนิ่งอยู่นาน ฉินอวี่ก็พูดขึ้นมา “เ้าลองไปดูทางนั้น มีที่ถูกกว่านี้หรือไม่ ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ให้ไปรอข้าที่หน้าประตู”
“อืม” จางอี้เหวินพยักหน้า และรีบจากไปทันที
หากไม่ใช่เพราะการเข้าไปแดนขัดเกลาจะต้องอยู่ในขั้นเทียนชุ่ย ฉินอวี่คงจะไม่ต้องรีบร้อนเช่นนี้ เขาจะสามารถพัฒนาระดับของตนเองได้เมื่อเข้าไปยังแดนขัดเกลา และในเมื่อกฎที่ตั้งเอาไว้เป็เช่นนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกเช่นกัน ได้แต่เพียงต้องก้าวเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยก่อนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น คงจะมีคนเป็จำนวนมากที่้าจะเข้าไปในแดนขัดเกลา ฉินอวี่จึงจำเป็ต้องเตรียมการล่วงหน้า โอสถที่ได้มาจากจื่อซวินเอ๋อนั้นถูกใช้ไปมากพอสมควรแล้ว หากเป็ไปได้ ก็ควรจะซื้ออาวุธิญญาป้องกันและโอสถไว้เป็จำนวนมากเพื่อป้องกันตัว
ในตอนนี้แต้มสนับสนุนทั้งหมดมีไม่เพียงพอ และการให้จางอี้เหวินแยกออกไป ก็เพื่อจะลองดูว่าจะได้รับแต้มสนับสนุนมาบ้างหรือไม่
หลังจากเดินไปโดยรอบกว่าหนึ่งชั่วยาม ฉินอวี่ก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างเงียบๆ ในที่นี้มีโอสถหลอมปราณและอาวุธิญญาระดับสี่ที่เขา้าอยู่เป็จำนวนมาก ต่างคนต่าง้าแต้มสะสม แทบไม่มีผู้ใด้าศิลาิญญา สิ่งนี้จึงทำให้ฉินอวี่ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
ขณะที่ฉินอวี่คิดจะออกไปยืมแต้มสะสมจากผู้ดูแลลี่นั้น ดวงตาของเขาก็กวาดไปพบกับไม้แผ่นหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ และเมื่อเห็นตัวอักษรที่อยู่บนนั้น ฉินอวี่ก็ต้องตกตะลึง
“แต้มสนับสนุนสามสิบแต้มสำหรับโอสถเพลิงอัคคีระดับสี่”
ฉินอวี่กวาดสายตามองศิษย์ที่สวมหน้ากากเช่นเดียวกัน ตรงเบื้องหน้าของเขามีขวดยาว่างอยู่หลายขวด มีชื่อและราคาบ่งบอกอยู่บนขวด หนึ่งในนั้นก็มีโอสถหลอมปราณอยู่เช่นกัน ซึ่งภาพที่เห็นนี้ ทำให้ฉินอวี่รู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ เพราะโอสถหลอมปราณมีราคาอยู่ที่หกสิบแต้ม หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็พูดออกไปด้วยเสียงแหบแห้ง “โอสถเพลิงอัคคีราคาเท่าไร?”
ศิษย์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ได้เงยหน้าขึ้นมา สายตาของเขาก็เหลือบเห็นประกายสีแดงดั่งเปลวเพลิง
ใต้หน้ากาก ฉินอวี่หรี่ตาลง แสงสีแดงเพลิงที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่คือเพลิงธรณีหรือ?
“ข้า้าแค่โอสถเพลิงอัคคี เ้ามีใบปรุงยาหรือไม่ หากเ้ามีละก็ ข้ายอมมอบแต้มสนับสนุนให้เ้าห้าสิบแต้ม” ศิษย์คนนี้ตอบกลับ
“ห้าร้อยแต้มสนับสนุน” ฉินอวี่พูดออกไปอย่างไม่ลังเล โดยปกติแล้วใบปรุงยาจะมีมูลค่าสูงกว่าโอสถถึงสิบเท่า ใบปรุงยาของโอสถเพลิงอัคคีเป็เพียงบางส่วนเท่านั้น
ศิษย์ผู้นี้มีเพลิงวิเศษของฟ้าดิน และน่าจะเป็ศิษย์ที่้าตามหาโอสถเพลิงอัคคีเพื่อป้องกันตัวยามเข้าไปในแดนขัดเกลา เพียงแต่เมื่อเขากล้าจะเสนอราคาโอสถหลอมปราณสูงขึ้นถึงหกสิบแต้ม ฉินอวี่จึงเพิ่มราคาของโอสถเพลิงอัคคีขึ้นเป็สิบเท่าเช่นกัน
“หนึ่งร้อย!” ศิษย์คนนี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนมากแล้วคนที่มาตลาดแห่งนี้ล้วนเป็ศิษย์รุ่นห้า ศิษย์รุ่นสี่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นเขาจึงโกรธอย่างมาก ว่าในที่แห่งนี้ยังมีคนกล้าเสนอราคาที่สูงเช่นนี้
“สี่ร้อย!” ฉินอวี่เห็นว่าศิษย์คนนี้้าโอสถเพลิงอัคคีอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเขาจึงไม่เร่งรีบ อีกทั้ง เมื่อดูจากโอสถที่คนผู้นี้นำมาขายแล้ว ฉินอวี่คาดว่าเขาคนนี้จะต้องเป็นักปรุงยา และใน่เวลาสั้นๆ นี้คงจะได้แต้มสนับสนุนไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“หนึ่งร้อยสามสิบ!” ศิษย์คนนี้จ้องตรงมาที่ฉินอวี่ และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
ฉินอวี่หันหลังกลับออกไปทันที
“ช้าก่อน! ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าโอสถเพลิงอัคคีของเ้าเป็ของแท้?” เมื่อศิษย์คนนี้เห็นฉินอวี่กำลังจากไป เขาก็รีบพูดขึ้นทันที
“เ้าคงจะเป็นักปรุงยาสินะ เ้าดูไม่ออกหรือว่าใช่หรือไม่ใช่?” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
“ข้ามีอยู่เพียงสองร้อยแต้ม ซึ่งข้ายังต้องใช้ซื้อวัตถุดิบของโอสถเพลิงอัคคีอีก” ศิษย์คนนี้เริ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้นมา
“ข้าให้ใบปรุงยาของโอสถเพลิงอัคคีกับเ้าได้ แต่จะต้องเพิ่มโอสถหลอมปราณให้ข้าหนึ่งเม็ด ว่าอย่างไร?” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย เดิมทีเขา้าโอสถเพลิงอัคคีเพียงหนึ่งเม็ด แต่ศิษย์คนนี้นับว่ายังง่ายต่อการจัดการ หากเขา้าโอสถเพลิงอัคคีจริงๆ เขาก็ต้องเปิดเผยตัวตนออกมา
“ได้!” ศิษย์คนนี้จ้องมองฉินอวี่ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง โอสถเพลิงอัคคีนี้แม้ว่าจะมีค่ากับเขามาก แต่ราคาก็ไม่ควรจะเกินหนึ่งร้อยแต้มสนับสนุน และในตอนนี้ ฉินอวี่ยังเสนอราคาสูงลิ่ว หากไม่ใช่เพราะเขารีบใช้โอสถเพลิงอัคคี เขาคงหันหนีออกไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้ เขายังไม่พูดอะไรออกไป เป้าหมายของเขาคือโอสถเพลิงอัคคี รอให้ทุกอย่างถึงที่สุดค่อยว่ากันอีกครั้ง
ศิษย์คนนี้ไม่พูดจาอะไร และหยิบป้ายคำสั่งออกมา สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือป้ายคำสั่งชิ้นนี้มีสีเขียว ซ้ำยังเป็วัสดุชนิดเดียวกันกับของสวี่โม่ชิง จึงแสดงให้เห็นว่าตัวตนของศิษย์คนนี้คงไม่ธรรมดาแน่นอน
ฉินอวี่หยิบป้ายคำสั่งของผู้ดูแลออกมา มือขวาของเขาปกปิดรูปของหอตำราบนป้ายเอาไว้ จากนั้นจึงนำไปัักับป้ายคำสั่งสีเขียวของศิษย์คนนี้
เมื่อรับรู้ได้ถึงลำแสงของพลังที่หายเข้าไปภายในป้ายคำสั่ง ฉินอวี่ก็ใช้มโนจิตสาดส่องเข้าไปภายใน ก็พบว่าในพื้นที่ว่างของป้ายคำสั่งมีก้อนหินสีแดงเข้มขนาดเท่าเมล็ดข้าวจำนวนสองร้อยเม็ดปรากฏขึ้นภายใน และเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณอันคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากหินสีแดงเข้มเหล่านี้ สีหน้าของฉินอวี่ก็แข็งทื่อทันที
หินหล่อเลี้ยงจิติญญา? เป็ไปได้อย่างไร?
ฉินอวี่มองดูซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแน่ใจว่าแต้มสนับสนุนที่ว่านี้คือชิ้นส่วนของหินหล่อเลี้ยงจิติญญา สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ตกตะลึงอย่างมาก
หินหล่อเลี้ยงจิติญญานับเป็สิ่งมีค่ามาก มีฤทธิ์ช่วยสงบจิตใจหล่อเลี้ยงจิติญญา หากถูกบรรจุเข้าในร่างกายของมนุษย์ จะช่วยให้เข้าสู่สภาวะของการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว และช่วยปรามความคิดอันชั่วร้ายภายในใจได้ ซึ่งมีผู้ฝึกตนไม่มากนักที่ได้สิ่งเหล่านี้
แต่สำนักยุทธ์ว่านจ้งกลับนำหินหล่อเลี้ยงจิติญญามาใช้เป็แต้มสนับสนุน สิ่งนี้จะไม่ทำให้ฉินอวี่แปลกใจได้อย่างไร
แม้ว่าหินหล่อเลี้ยงจิติญญาจะเป็เพียงเศษเล็กเศษน้อย แต่ก็ยังมีผลลัพธ์ที่จะช่วยสงบจิตใจหล่อเลี้ยงจิติญญาได้เช่นกัน ในตอนแรกที่ฉินอวี่โดนพิษยมโลกคืนชีพ เขาเคยยืมหินหล่อเลี้ยงจิติญญาขนาดเท่ากำปั้นจากเ้าสำนักสำนักเทียนฉีมาพกติดตัว ดังนั้น เขาจึงมีความคุ้นเคยกับหินหล่อเลี้ยงจิติญญาเป็พิเศษ
“ไม่น่าจะเป็ไปได้ที่สำนักยุทธ์ว่านจ้งจะไม่รู้ว่านี่คือหินหล่อเลี้ยงจิติญญา? หรือว่า... นี่จะเป็ความจงใจ หากเป็เช่นนี้จริง สำนักยุทธ์ว่านจ้งนับว่ามั่งคั่งมากทีเดียว? หวังชิงคนนี้คงจะเป็คนสุรุ่ยสุร่ายมากใช่หรือไม่?” ฉินอวี่พึมพำในใจ หรี่ตามองศิษย์คนนี้ก่อนจะพูดว่า “ข้าขอชุดเครื่องเขียนกับหมึกหน่อยสิ”
ศิษย์คนนั้นโบกมือหนึ่งครั้ง พู่กันและหมึกก็ตกลงมาบนพื้น จากนั้นฉินอวี่จึงเขียนในปรุงยาของโอสถเพลิงอัคคีออกมา เมื่อวางพู่กันลง เขาก็หยิบโอสถหลอมปราณ ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไป
“ช้าก่อน!” ศิษย์คนนี้ส่งเสียงดัง
ฉินอวี่หยุดลงครู่หนึ่ง และหันกลับมาพูด “มีอะไรหรือ?”
“หากใบปรุงยาของโอสถเพลิงอัคคีที่เ้าให้มาเป็ของปลอมจะทำอย่างไร?” ศิษย์คนนี้ถามขึ้นมา
“จะเป็ของจริงหรือของปลอม สหายโปรดลองดูเสียตอนนี้ก็รู้แล้ว แต่ถ้าเ้ามั่นใจว่าเป็ของปลอม ข้าเองก็คงจนปัญญา” ฉินอวี่พูดอย่างเ็า ก่อนจะหันหลังกลับออกไป
ศิษย์คนนี้จ้องฉินอวี่อย่างดุดัน สีหน้าของเขาดูเอาแน่นอนไม่ได้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หรี่ตาลงทั้งสองข้าง และพึมพำกับตนเอง “ผู้ดูแล? ข้าอยากรู้นักว่าผู้ดูแลจากสายชีพจรใดกันที่กล้ามาโก่งราคาข้าเช่นนี้!”
...
ครึ่งวันต่อมา
ฉินอวี่กำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าศิษย์คนหนึ่ง กวาดสายตามองของที่วางขายอยู่บนแผง
ศิษย์คนนี้ไม่ได้ยืมใช้ชุดคลุมดำและหน้ากาก และเปิดเผยตนเองชัดเจน ฉินอวี่จำได้ว่าศิษย์คนนี้เข้ามาอยู่ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งพร้อมกันกับเขา ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสายชีพจรเสวียน สำหรับสถานะตัวตนของเขา ฉินอวี่ไม่ได้ใส่ใจ แต่ของที่นำมาวางขายกับทำให้หัวใจของฉินอวี่เต้นแรง ของสิ่งนั้นแยกออกเป็กระบี่หักเล่มหนึ่ง และหอกศึกที่ถูกปกคลุมไปด้วยสนิมอีกเล่มหนึ่ง
“กระบี่หักเล่มนี้ขายอย่างไร?” ฉินอวี่หยิบกระบี่หักเล่มนั้นขึ้นมา และถามออกไปทันที
เมื่อศิษย์คนนี้เห็นว่ามีคนสนใจของของเขาจริงๆ เขาก็ตื่นเต้นอย่างมาก จนใบหน้าแดงก่ำ “แต้มสนับสนุนสิบแต้ม”
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว และพูดขึ้น “แพงไปหน่อย แล้วหอกศึกนี่ล่ะ?”
“หอกศึกยี่สิบแต้ม ไม่สิ... สิบห้าแต้ม” ศิษย์คนนี้เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี่หยิบหอกศึกขึ้นมามองโดยรอบ “สองชิ้นรวมกันยี่สิบแต้ม ว่าอย่างไร?”
ศิษย์ใหม่คนนี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และนึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะ้าจริงๆ เขาจึงรีบพยักหน้า ฉินอวี่ไม่พูดอะไรมาก หยิบป้ายคำสั่งออกมา โดยยังคงปกปิดรูปของหอตำราเอาไว้ เปิดเผยไว้เพียงตัวอักษร “จื๋อ” ของผู้ดูแลเอาไว้ ขณะที่ศิษย์คนนั้นกำลังนำป้ายคำสั่งออกมา ฉินอวี่ก็นำป้ายคำสั่งัักับป้ายคำสั่งของเขา นำหินหล่อเลี้ยงจิติญญายี่สิบเม็ดใส่เข้าไปในป้ายคำสั่งทันที
หลังจากซื้อขายกันเรียบร้อย ฉินอวี่ก็หยิบหอกศึกและกระบี่หักเก็บไว้ในวงแหวนมิติ ก่อนจะเดินจากไป
ขณะที่ฉินอวี่เดินออกมาได้ไม่นาน ศิษย์ใหม่คนนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยความพึงพอใจ และขณะที่กำลังจะออกไปนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงที่ดูเ็าดังขึ้น “หอกศึกที่เ้าวางขายอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
“ขายให้ผู้ใดไปแล้วหรือ?”
