เมื่ออวิ๋นซีเดินออกมาจากร้านน้ำชาก็มุ่งหน้ากลับไปยังสวนชิงเฟิงผ่านช่องทางลับพลางมองดอกรุ่งอรุณสีแดงสดในมือ เมื่อก่อนนี้ไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อได้สร้างขุมกำลังนี้ขึ้นมาแล้วจะได้ใช้งานพวกเขาตอนที่อยู่ในร่างอื่น สถานะอื่น
ถึงกระนั้นตอนที่นางช่วยคนทั้งสิบเจ็ดไว้ คนที่ออกหน้ามาโดยตลอดก็คือหลันจือ ส่วนคุณชายเช่นนางกลับทำเพียงแอบซ่อนกายอยู่เื้ั อย่างไรเสียในตอนนั้นก็ได้มอบภาพภาพหนึ่งให้พวกเขา ซึ่งเป็ภาพของดอกรุ่งอรุณที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ด้านล่าง ทั้งยังกำชับให้หลันจือไปบอกคนเหล่านี้ว่า หากวันหน้ามีคนนำหยกสีโลหิตสลักรูปดอกรุ่งอรุณนี้มาแสดงตัว นั่นย่อมหมายความถึงคนผู้นั้นก็คือนายของพวกเขา
ตอนนี้หลันจือไม่อยู่แล้ว ตัวนางเองก็ต้องมามีชีวิตอยู่ในสถานะอื่น ทำให้ไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดว่า ตนยังจะเคลื่อนไหวขุมกำลังที่แอบซ่อนไว้นี้เพื่อใคร ทว่าคำตอบนั้น บางทีอาจเป็เพื่อการแก้แค้น บางทีอาจเป็เพื่อปกป้องให้หวานหว่านเติบใหญ่ได้อย่างดี หรือบางทีก็อาจเป็เพื่อบุรุษที่มีนามว่าจวินเหยียน
มือทั้งสองข้างของนางหนุนไว้หลังศีรษะพลางมองดูทุกสิ่งอย่างที่อยู่ตรงหน้า แล้วหวนนึกถึงประโยคนั้นของจวินเหยียน ‘...ราวกับว่าตัวเ้าเป็คนสำคัญที่สุดที่ข้าเคยทำหายไปเมื่อชาติก่อน ราวกับตัวเ้าเป็ส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับร่างกายข้า ทว่า ในตอนที่ยังหาไม่เจอก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดไปแต่อย่างใด แต่เมื่อได้พบเจอแล้ว หากต้องสูญเสียไปอีกก็คงน่ากลัวราวกับว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลายก็ไม่ปาน’
นางถอนใจเบาๆ “จวินเหยียน หากว่าตัวข้าเป็อวิ๋นซีมาแต่แรก และคนที่ได้รู้จักั้แ่แรกก็คือท่าน ทุกอย่าง มันจะดีสักแค่ไหนกัน” หากทุกอย่างเป็จริงดังที่หวัง นางจักต้องทำเพื่อจวินเหยียนทั้งกายและใจอย่างเต็มที่แน่นอน หากว่าั้แ่แรกบุรุษที่นางได้รู้จักเป็เขา เขาก็คงจะไม่มีทางทรยศตนเหมือนคนคนนั้นใช่หรือไม่ ยิ่งกว่านั้น ตัวนางเองก็คงไม่ต้องผ่านความเป็ความตายมามากมายเพียงนั้น
“คิดอันใดอยู่? ” จวินเหยียนเดินเข้ามาก็เห็นนางนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย เขาก้าวเข้ามาใกล้ ถามยิ้มๆ
อวิ๋นซีถามเรียบๆ “สืบได้แล้วหรือ? ” ั้แ่ที่ฮูหยินลู่ตายไป ตอนแรกนั้นลู่อวี้ฉิงยังคงอาศัยอยู่ที่ชานเมือง แต่จู่ๆ วันหนึ่งกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งตอนนี้คนของจวินเหยียนก็ยังหาไม่เจออย่างไม่อาจรู้ได้ว่าลู่เหวินเจิ้นนำตัวลู่อวี้ฉิงไปซ่อนไว้ที่ใด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อวิ๋นซีอดคิดไปไม่ได้ว่า ลู่เหวินเจิ้นผู้นี้นับเป็คนหนึ่งที่มีความคิดแยบยลจริงๆ เขาสามารถเคลื่อนย้ายคนทั้งคนไปซ่อนที่อื่นได้ภายใต้การเฝ้าดูของคนมากมายเพียงนั้น
“สืบได้แล้ว ลู่เหวินเจิ้นส่งคนไปเมืองหงแล้ว อันที่จริงหลายปีก่อนลู่เหวินเจิ้นได้ซื้อจวนไว้ที่นั่นอย่างลับๆ ตอนนี้จึงนำคนไปซุกซ่อนไว้” เมืองหงอยู่ห่างจากที่นี่ตั้งหลายร้อยลี้ มิคาดลู่เหวินเจิ้นผู้นี้จะตัดใจได้ลง และนำคนไปซ่อนไว้ไกลเพียงนั้น
อวิ๋นซีอมยิ้ม “เมืองหง? ถ้าเช่นนั้นก็นับว่าตอนนี้อยู่ห่างไกลสายตาไปแล้วจริงๆ ” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็นึกขึ้นได้ว่า ลู่อวี้ฉิงเคยพูดกับสาวใช้ของตนว่า คนที่อยากแต่งให้ด้วยมากที่สุดก็คือเจียงเฉิงและจวินเหยียน ทว่า ตอนนี้ลู่เหวินเจิ้นกลับยินยอมส่งคนไปยังเมืองหง เมืองที่เจียงเฉิงอาศัยอยู่ด้วยตนเอง
ด้วยเื่นี้ ไม่รู้ว่าจะมีสักวันหรือไม่ที่ลู่อวี้ฉิงจะสามารถสลัดออกจากฝ่ามือเขาได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดแย้มยิ้มอย่างเ้าเล่ห์มิได้ จวินเหยียนเห็นคิ้วตาของสตรีเบื้องหน้าโค้งขึ้นก็รู้ได้ในทันทีว่า นางเริ่มคิดทำเื่ชั่วอีกแล้วสินะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่โชคร้ายคนนั้นจะเป็ลู่เหวินเจิ้นหรือว่าลู่อวี้ฉิง
“ตอนนี้พวกเราไม่จำเป็ต้องเข้าไปยุ่งเื่ของลู่อวี้ฉิงชั่วคราว ไม่เพียงแต่ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว แต่ยังต้องรับประกันได้ว่านางจะสามารถให้กำเนิดลูกได้ด้วย เพราะนั่นถือเป็อาวุธลับในการโจมตีตระกูลลู่ในวันหน้า” อวิ๋นซีมองจวินเหยียน “พาคนที่หยวนอวี้จู๋ชอบพอมายังจวนเรา ให้เขาดูแลงานบัญชีพร้อมทั้งให้คำสัญญาว่า หากวันหน้าท่านได้กลับไปเมืองหลวง จะต้องไม่ลืมพาเขาไปด้วยแน่”
“เื่นี้ ข้าทำไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้มอบงานบัญชีให้เขา แต่ให้เขาเป็หัวหน้าเสมียนในจวนอ๋องของข้า” จวินเหยียนลูบจมูกอวิ๋นซีไปทีหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ สิ่งที่สตรีผู้นี้้ามีมากเกินไปแล้ว บางครั้งเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า การที่นางต้องแบกอะไรไว้มากมายเพียงนี้จะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าบ้างหรือไม่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ลูบเส้นผมนางด้วยสีหน้าท่าทางปลงๆ “อาซี เ้าเคยคิดจะลองพึ่งพาข้าบ้างหรือไม่ บุรุษเช่นข้าไม่ได้ไร้ประโยชน์ดังที่เ้าคิดหรอกนะ” บุรุษปกป้องสตรีถือเป็เื่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด
จวินเหยียนคิดว่า การที่ตนปล่อยให้อวิ๋นซีอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดในใจ
“ข้ารู้ว่าการพึ่งพาต้นไม้ใหญ่นั้นคงจะสุขสบายดี” นางเล่นปอยผมของเขาที่ละลงมาตรงหน้าตน จากนั้นจึงพูดขึ้นเรียบๆ “ไม่ใช่ว่าข้าจะพูดจาโจมตีท่านหรอกนะ แต่ต้นไม้ใหญ่เช่นท่านยังไม่ใหญ่และแข็งแกร่งพอต่างหาก ดังนั้นในตอนนี้ข้าจึงยังไม่กล้าพึ่งพาด้วยกลัวจะหกล้มอย่างไรเล่า”
เมื่อจวินเหยียนได้ยิน สีหน้าก็ดำคล้ำทันที เขาแค่นเสียงเ็า ผลักคนให้ล้มลงไปในทีเดียว “สตรีโง่งมผู้นี้ หากให้พูดตรงๆ ก็คือ เ้าไม่เชื่อใจข้า”
“เปล่า นี่เป็ปัญหาที่จริงแท้อย่างยิ่ง ศัตรูของพวกเรานั้นแกร่งกล้ามากนักนะจวินเหยียน เขาอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ทั้งยังมีผลงานไม่น้อย หากพวกเราคิดจะสู้กับเขาก็ยังนับว่าห่างไกลนัก” หากให้พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้คนคนนั้นอยู่ที่เมืองหลวง แต่พวกนางอาศัยอยู่ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือที่ห่างไกลกันเป็พันลี้
จวินเหยียนจดจ้องดวงตาที่ทั้งเด็ดขาด เฉลียวฉลาด และเ็าของนาง จากนั้นจึงพูดเบาๆ “บางครั้งสตรีมีสติปัญญามากเกินไปก็ไม่ดีเลยสักนิด”
อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า “ไม่ใช่ว่าท่านเห็นคุณค่าของสติปัญญาข้ามาก่อนหรอกหรือ? หากมิใช่ว่าแรกเริ่มตัวข้านี้มีราคาเพียงพอให้ใช้งานได้ ท่านจะมาสู่ขอข้าถึงเรือนหรือ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็แค่นเสียงเ็า “อีกประการ ในยามนั้นท่านใช้อะไรไปข่มขู่บิดาข้าจนเขาต้องยอมตกลงเื่การแต่งงาน? ”
ก่อนหน้านี้บิดาตนเคยพูดว่า อยากจะหาเขยแต่งเข้าตระกูล แต่ก็ไม่คิดว่า ตนจะถึงกับให้นางแต่งออกไปโดยเร็วเพียงนี้ ด้วยเื่นี้ เมื่อได้ครุ่นคิดให้ดีก็ช่างน่าประหลาดเสียจริง ดังนั้น หากจะบอกว่าชายคนนี้ไม่ได้ใช้ลูกไม้อันใดเลย นางย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
จวินเหยียนหัวเราะฮ่าฮ่า “ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรมาก ข้าแค่บอกบิดาเ้าว่า พวกเราได้กระทำเื่ที่สามีภรรยาต้องกระทำกันไปนานแล้ว จึงเกรงว่าหากปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อยาวนานไปกว่านี้ ไม่แน่ว่า ตอนนั้นเ้าอาจจะตั้งครรภ์ลูกของข้าไปแล้ว เช่นนี้ต้องไม่ดีกับตัวเ้า และบิดาเ้าแน่ๆ ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็โกรธจนแทบจะกระอักเื “ท่านนี่ ทำตัวหน้าไม่อายเกินไปแล้วกระมัง”
“หน้าไม่อายหรือ? เปิ่นหวางหาได้รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด ขอแค่แต่งเ้าเข้าบ้านได้ ข้าก็ไม่รู้สึกว่านั่นเป็เื่ที่หน้าไม่อาย” เมื่อพูดจบ เขายังส่งยิ้มอวดดีให้นางไปทีหนึ่ง ถึงกระนั้นเื่ราวที่แท้จริงแน่นอนว่ามิได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่พูด เพียงแต่เื่เ่าั้ไม่ใช่สิ่งที่นางควรรู้
ไม่ว่าจะเป็ตัวเขาหรืออวิ๋นซานก็ล้วนแต่อยากปิดบังอวิ๋นซีไว้ ต่อให้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่า ยามนี้อวิ๋นซีได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ตามความรู้สึกที่นางมีต่ออวิ๋นซาน เมื่อพิจารณาจากหลายๆ เื่ที่เกิดขึ้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็ไปด้วยดี หากนางได้ทราบความจริงข้อนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านทั้งสองอยู่ด้านในหรือไม่เ้าคะ? ” ไม่นานเสียงใสของหวานหว่านก็ดังลอดเข้ามาในหอห้อง อวิ๋นซีมองจวินเหยียนทีหนึ่ง จากนั้นก็คิดอยากจะผลักคนออกไปอีกด้าน แต่ชายหนุ่มกลับก้มศีรษะลง แล้วจุมพิตบนริมฝีปากนางทีหนึ่งถึงได้ยอมลุกขึ้น “อาซี หวังว่าเ้าจะไม่ให้ข้าต้องรอนานเกินไป”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบกลับไปเช่นไร ต้องรอนานเพียงใด? เื่นี้ถือว่าพูดยากจริงๆ นั่นแหละ อย่างไรเสียเื่เช่นนี้คงไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะเกิดเื่ใดขึ้นในอนาคต เพราะการที่นางได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำให้นางได้รู้ว่า การเป็คนนั้น สิ่งที่ต้องมองมิใช่อนาคต แต่เป็ปัจจุบันตรงหน้า
“ท่านแม่ แม่นมไม่ยอมให้ข้ามาหาท่าน ทั้งยังบอกว่า ท่านกำลังจะวางแผนตั้งครรภ์น้องชายให้ข้า” เมื่อหวานหว่านเข้ามาก็มองอวิ๋นซีด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงแม้นางเองจะชื่นชอบและปรารถนาที่จะมีน้องชายตัวน้อยมาก แต่การมาหาบิดามารดาไม่ได้ ทำให้นางรู้สึกเสียใจมาก
อวิ๋นซีเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน นับแต่ที่กลับมาจากจางเจียวาน ส่วนใหญ่แล้วลูกคนนี้ก็มักจะเรียกตนและจวินเหยียนว่า ท่านแม่กับท่านพ่อ ซึ่งจริงๆ แล้วนางก็คิดว่า การเรียกเช่นนี้ฟังดูติดดินยิ่งกว่า จึงชื่นชอบที่อีกฝ่ายเรียกตนเช่นนี้มากกว่ามาก “มิใช่เช่นนั้น บิดาเ้ากับแม่กำลังปรึกษาเื่บางเื่กันอยู่ต่างหาก”