เสียงเกือกเท้าของม้าด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับจะชนมู่จื่อหลิงในชั่วพริบตา
นางชะงักฝีเท้ายืนนิ่งตามจิตใต้สำนึก เมื่อหันกายกลับไปมอง อาชาสีดำพันธุ์ดีไม่ธรรมดาตรงหน้าอยู่ห่างจากนางเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
ดูเหมือนในสายตาของม้าตัวนี้นางก็เป็ดังมดตัวน้อยๆ เวลานี้เพียงกีบเท้าของม้าก้าวมาอีกก้าว นางก็จะถูกเหยียบอยู่ภายใต้กีบเท้าม้า!
มู่จื่อหลิงใจึงเดินซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่ตั้งใจ เงยสายตามองหลงเซี่ยวอวี่ผู้ไร้ความรู้สึกและเผด็จการที่ขี่อยู่บนหลังม้าให้ชัดเจน
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งกายนางก็แข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน
ยามนี้บนกายของหลงเซี่ยวอวี่กำลังแผ่กลิ่นอายความสูงศักดิ์และความสง่างาม ให้ความรู้สึกลุ่มลึกยากหยั่งถึงแก่ผู้ที่มอง เหมือนดั่งเทพแห่งรัตติกาลเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี
ั์ตาลุ่มลึกสีดำขลับอันเ็าของเขา มองลงไปที่มู่จื่อหลิงโดยไม่กะพริบ เขาในยามนี้ราวกับถูกซาตานร้ายสิงร่าง ทำให้ผู้ที่มองบังเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ
“เหตุใดจึงไม่เดินแล้วเล่า? เดินต่อไป!” น้ำเสียงของหลงเซี่ยวอวี่ดูเหมือนจะราบเรียบไม่แยแส แต่ก็ดูเหมือนจะซ่อนเร้นไปด้วยน้ำแข็งพันปี ทำให้ผู้อื่นกลัวจนตัวสั่นเป็ลูกนก!
ได้ยินเสียงนี้สติของมู่จื่อหลิงก็ถูกลากกลับมาอย่างรวดเร็ว ในใจก็ยังปรากฏความกลัวเล็กน้อย แต่นางทราบดีว่าเวลานี้มิใช่เวลามาหวาดกลัว และมิใช่เวลาที่จะก้มหัวยอมรับ
ถ้าเกิดหวาดกลัวแล้ว ถ้าเกิดก้มศีรษะให้เขา เช่นนั้นนางจะสูญเสียความเป็ตัวเองไปโดยสมบูรณ์ เื่ในเย็นวันนี้นางไม่ได้ผิดอันใด ที่นางเดินออกมาในตอนนี้ยังมิใช่เพราะโดนหมอนี่บีบคั้นหรือ
จะต้องเด็ดเดี่ยว มิอาจประนีประนอม!
มู่จื่อหลิงปลุกระดมความกล้าหาญเงยศีรษะขึ้น เผชิญกับสายตาของหลงเซี่ยวอวี่โดยปราศจากความหวาดกลัว!
เพียงแต่ในยามที่นางสบสายตาเย็นเยียบกับหลงเซี่ยวอวี่ ในใจก็ยังมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย นางลอบกัดฟัน ยืนหยัดแน่วแน่ จ้องเขาอย่างดื้อรั้น
เหอะ เดินก็เดิน!
มู่จื่อหลิงหันหลังไปอย่างกล้าหาญ เดินออกไปโดยปราศจากความลังเล
เพียงแต่ทันทีที่นางหมุนตัวไป ด้านหลังก็มีแขนเรียวยาวยื่นมาหิ้วนางไว้เหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นโยนนางลงบนหลังม้าอย่างไร้ความปรานี
ทั้งตัวของมู่จื่อหลิงหมอบลงบนหลังม้า นางยังไม่ทันดิ้นรน อาชาเปินเหลยก็ห้อตะบึงออกไปราวกับลมกรด
กระทั่งเงาของม้าหายไป เงาร่างสีแดงน่าหลงใหลก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูจวนฉีอ๋องอีกครั้ง
ดวงตาเฉลียวฉลาดภายใต้หน้ากากผีเสื้อโลหะมองไปยังทิศทางที่มู่จื่อหลิงไกลออกไป มุมริมฝีปากแดงสดยกขึ้นน้อยๆ ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “เฮ้อ! ยายหนูนี่ช่างกล้าหาญจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเป็เื่ดีหรือเื่ร้าย!”
-
“หลงเซี่ยวอวี่เ้าจะพาข้าไปไหน ข้าจะไปดูมารดาข้า เ้าปล่อยข้าลง! รีบปล่อยข้าลงเร็วเข้า!” มู่จื่อหลิงที่ฟุบอยู่บนหลังม้าดิ้นรนอย่างไม่หยุดหย่อน ทุบตีท้องม้าของม้าไม่หยุด แต่ว่าความเร็วของอาชาเปินเหลยกลับมีแต่เพิ่มไม่มีลด!
มู่จื่อหลิงจะร้องอยู่รอมร่อ เ้าคนรักสะอาดขั้นรุนแรง ก่อนหน้านี้ไม่นานมิได้เพิ่งจะรังเกียจนางที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นหรือ เหตุใดยามนี้จึงเข้ามาใกล้นางเสียขนาดนี้เล่า
แล้วตอนนี้หมอนี่จะพานางไปไหนกันแน่ ต่อให้ไม่ให้นางไปสวนจิ้งซินก็ให้นางกลับจวนอ๋องสิ ตอนนี้มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่
หลงเซี่ยวอวี่นิ่งเงียบไร้ซึ่งวาจามาโดยตลอด หลุบตาลงต่ำมองมู่จื่อหลิงที่ดิ้นรนเต็มเหนี่ยวตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่รู้ว่ากำลังไตร่ตรองสิ่งใดอยู่
ความเร็วของอาชานั้นว่องไวพอๆ กับการเหาะ มู่จื่อหลิงที่เดี๋ยวก็หมอบ เดี๋ยวก็ดิ้นรน ไม่ถึงครู่หนึ่งนางก็รู้สึกเืสูบฉีดขึ้นสมอง วิงเวียนศีรษะตาลายท้องกระเด้งกระดอนจนทรมานเป็ที่สุด!
ไม่รู้ว่าดิ้นรนขัดขืนอยู่นานเพียงใด มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าร่างกายสิ้นไร้เรี่ยวแรง สมองขาดอากาศ และศีรษะเหมือนจะะเิออกมาในวินาทีต่อไป
“หลง...หลงเซี่ยวอวี่ หากเ้ายังไม่ปล่อยข้าลงไปอีก ข้าจะอาเจียนแล้ว เ้ามิได้กลัวสิ่งสกปรกที่สุดหรือ รีบปล่อยข้าลงเร็วเข้า ข้าทรมานยิ่งนัก จริงๆ นะ...” แขนขาทั้งสี่ของมู่จื่อหลิงเหมือนดั่งซากศพ นางล้มลงไปโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ฝืนพูดประโยคสุดท้ายให้จบอย่างอ่อนแรง
มู่จื่อหลิงอยากจะร้องไห้โดยไร้น้ำตา นางยอมแล้ว นางยอมแล้วจริงๆ!
ตกลงแล้วนางไปยั่วโมโหเ้าคนขี้หงุดหงิดอารมณ์แปรปรวนผู้นี้เช่นไร ตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้แล้ว การอวดดีต่อหน้าหมอนี่ถือเป็การเสียแรงเปล่าโดยสิ้นเชิง
หลงเซี่ยวอวี่ยังคงเงียบงันไร้วาจาเช่นเดิม!
ในชั่วขณะที่มู่จื่อหลิงพูดจบประโยคสุดท้าย อาชาเปินเหลยก็หยุดอยู่หน้าประตูเรือนขนาดเล็กที่เงียบสงบและงดงาม ส่งเสียงร้องฟืดฟาดออกมา!
สถานที่แห่งนี้เป็ดั่งดินแดนในอุดมคติ กลิ่นหอมกรุ่นยามค่ำคืนลอยอ้อยอิ่งไปทั่วท้องนภาแห่งดวงดาว มีเสียงร้องของกบและแมลงอยู่ไปทั่วทุกแห่งหน เผยให้เห็นบรรยากาศที่งดงามชวนเคลิบเคลิ้ม
หลงเซี่ยวอวี่พลิกมู่จื่อหลิงที่อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอุ้ม ทะยานลงจากหลังม้า ั์ตาเ็าเหลือบมองใบหน้าขนาดเล็กแดงเรื่อ ดวงตาสองข้างแวววาวของมู่จื่อหลิงที่กำลังอ้าปากพะงาบหอบหายใจอยู่ในอ้อมอก
ในท้ายที่สุดเขาก็ยังขมวดเรียวคิ้ว วางสองขาของมู่จื่อหลิงให้จรดพื้น มือข้างหนึ่งพยุงเอวคอดเล็กของนาง มิให้นางล้มปวกเปียกลงไป มืออีกข้างเคลื่อนลมปราณช่วยให้นางหายใจคล่องขึ้น
ยามนี้มู่จื่อหลิงไร้เรี่ยวแรงจะโวยวายเสียแล้ว ต่อให้มีแรงนางก็ไม่กล้าทำอีก เวลานี้นางจึงได้แต่ตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรงพิงอยู่ในอ้อมกอดของหลงเซี่ยวอวี่
นางกล้ารับรองว่า หากคนสารเลวผู้นี้ยังให้นางหมอบอยู่เช่นนั้นต่อไป วินาทีต่อมาจะต้องเืคลั่งในสมอง จากนั้นก็ตายอย่างมีเกียรติอยู่บนหลังม้า!
ไม่ถึงครู่หนึ่งมู่จื่อหลิงก็กลับมาเป็ปกติ สีหน้ากลับมากระปรี้กระเปร่า หลงเซี่ยวอวี่จึงปล่อยนางออก ไม่มองนางแม้แต่สักตา เดินตรงเข้าไปในเรือนด้วยท่าทางสง่างาม ถือว่าที่แห่งนี้เป็อาณาเขตของตนเองแล้ว
มู่จื่อหลิงอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม กวาดสายตามองสภาพแวดล้อมรอบกาย ที่แห่งนี้คุ้นเคยนัก!
นางเงยหน้ามองแผ่นป้ายเหนือศีรษะ สวนจิ้งซิน
มู่จื่อหลิงในยามนี้บอกไม่ถูกว่าตนเองกำลังรู้สึกเช่นใดอยู่ ทั้งตระหนกทั้งยินดี ทั้งตัดพ้อไม่พอใจ และโมโห!
ที่แท้หลงเซี่ยวอวี่ก็้าพานางมาที่สวนจิ้งซิน แต่เหตุใดหมอนี่จึงไม่พูด ทำให้นางได้รับความทรมานโดยเปล่าประโยชน์มาทั้งทาง!
แต่ว่าความเร็วของอาชาเปินเหลยนี่ช่างเร็วยิ่งนัก การเดินทางที่เดิมทีต้องใช้เวลาสองชั่วยาม อาชาเปินเหลยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว
“ยังยืนทำอันใดอยู่?” น้ำเสียงเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่ดังมาจากข้างในเรือน
ตัวของมู่จื่อหลิงสั่นเล็กน้อย วิ่งเหยาะๆ ดุ๊กดิ๊กเข้าไป!
“หลิงเออร์ เ้า” มู่เจิ้นกั๋วย่างเท้าเข้าใกล้ หลังจากเห็นบุคคลตรงหน้าได้ชัดเจนแล้ว เพิ่งจะเอื้อนเอ่ยได้เพียงหนึ่งคำ เขาก็ตกตะลึงคุกเข่าข้างหนึ่งลงสองมือประกบกัน น้ำเสียงที่มีความอิดโรยดังขึ้นอย่างเคารพนอบน้อม “เหล่าเฉินคารวะฉีอ๋อง ขอให้ฉีอ๋องอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่น ปี!”
ป้าเยวี่ยเองก็คุกเข่าตามด้วยความใเช่นกัน!
พวกเขาคิดเช่นใดก็คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์จนหาที่เปรียบมิได้จะมายังที่แห่งนี้ ทั้งยังมาตอนดึกดื่นเสียด้วย
วันนี้พวกเขาสั่งให้หรูอี้ไปจวนฉีอ๋อง เชิญมู่จื่อหลิงมาที่นี่ ผู้ใดจะไปนึกว่าหรูอี้หาตัวหลิงเอ๋อร์ไม่พบ แม้แต่เสี่ยวหานก็มิได้พูดว่าหลิงเอ๋อร์ไปที่ใด ยามนี้ฉีอ๋องมาด้วยตนเอง มิใช่ว่าหลิงเอ๋อร์ไปก่อเื่ใหญ่อันใดไว้จริงๆ ใช่หรือไม่?
“ลุกขึ้น! แม่ทัพมู่มิจำเป็ต้องมากมารยาทเช่นนี้!” น้ำเสียงเ็าไร้ความรู้สึกของหลงเซี่ยวอวี่ดังขึ้น
มู่จื่อหลิงบ่นอุบอิบในใจ ดูเหตุการณ์ตรงหน้าสิ การมาของพระพุทธรูปองค์ใหญ่เช่นหลงเซี่ยวอวี่ ไม่ได้ทำให้คนตื่นตะลึง แต่ทำให้ตื่นใเสียมากกว่า
ผู้ไม่รู้ยังคิดว่านางไปก่อเื่ที่จวนอ๋องเข้า พระพุทธรูปองค์นี้จึงได้เคลื่อนทัพมาถามโทษ [1] ถึงหน้าประตูบ้าน
มู่จื่อหลิงไม่คิดอันใดมาก รีบเดินเข้าไปพยุงมู่เจิ้นกั๋วขึ้นมา พูดอย่างเร่งรีบ “ท่านพ่อ พวกเราไปดูอาการท่านแม่กันก่อนเถิดเ้าค่ะ”
มู่เจิ้นกั๋วเห็นมู่จื่อหลิงลุกลี้ลุกลนต่อหน้าฉีอ๋องก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นใดดี แม้เขาจะเป็ห่วงอาการป่วยของหลี่เอิน ทว่ายามนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เขาไม่รู้ว่าฉีอ๋องมาเยือนด้วยเหตุผลใดกันแน่
เห็นเช่นนี้แล้วมู่จื่อหลิงก็ไม่รู้ว่าที่หลงเซี่ยวอวี่พานางมาเป็เื่ดีหรือร้าย ตอนนี้เพียงผู้อื่นเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ใบหน้าก็ตึงเครียด ล้วนเกรงกลัวว่าจะพูดผิดเข้า
แต่วันนี้นางก็นับว่าได้ประสบเข้าด้วยตนเองจริงๆ อีกครั้งแล้วว่าเหตุใดผู้คนต่างก็หวาดกลัวท่านอ๋องผู้มีใบหน้าเ็าผู้นี้
เป็ความจริงที่ว่าความหวาดกลัวที่มีต่อเขาในยามนั้น เกิดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ! วาจาและการกระทำล้วนต้องระวังรอบคอบ!
ราวกับมองเห็นความอึดอัดใจของมู่เจิ้นกั๋ว หลงเซี่ยวอวี่จึงเอ่ยปากอีกครั้งด้วยความเฉยชา “ท่านแม่ทัพมู่ไม่ต้องกังวล คืนนี้เปิ่นหวางเพียงมาเยี่ยมเยือนเป็เพื่อนหวางเฟยเท่านั้น!”
ได้ยินคำพูดนี้มู่เจิ้นกั๋วและป้าเยวี่ยก็เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ พวกเขาต่างก็รู้ว่าหลิงเอ๋อร์เป็คนที่ไทเฮาประทานสมรสให้ฉีอ๋อง และฉีอ๋องเป็คนเช่นใด พวกเขาเองก็ทราบดีเช่นกัน
ไม่คิดว่าฉีอ๋องจะมาพร้อมกับหลิงเอ๋อร์ และเป็เพียงแค่การมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น มิใช่เพราะมีธุระถึงมา ดูท่าทางหลิงเอ๋อร์และท่านอ๋องแล้ว คงมิใช่...
แม้ในใจของพวกเขาจะบังเกิดความสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามกันออกมา
มู่เจิ้นกั๋วเองไม่กล้าล่าช้าอีกต่อไป เปิดทางและกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง เชิญที่ห้องโถง”
“ไม่จำเป็ เปิ่นหวางกำลังอยากไปเยี่ยมไข้มู่ฟูเหรินด้วยเช่นกัน” เสียงของหลงเซี่ยวอวี่นั้นเฉยชา มิอาจคัดค้านได้!
สิ้นเสียงพูด ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นนำทาง หลงเซี่ยวอวี่ก็หาห้องที่หลี่เอินพักอยู่ได้อย่างแม่นยำ เดินมุ่งเข้าไปข้างในห้อง!
แต่ว่าเขาอยากไปเยี่ยมไข้มู่ฟูเหรินจริงๆ หรืออยากไปดูสิ่งอื่นใดนั้น มีเพียงแค่ตัวเขาเองที่รู้ดี
เพียงครู่เดียวฉีอ๋องก็ผันตนเองจากแขกมาเป็เ้าบ้าน ทิ้งให้คนเื้ัสามคนมองหน้ากันไปมา
-
ทันทีที่พวกมู่จื่อหลิงเข้าไปก็เห็นคนที่ยังนอนหลับลึกอยู่บนเตียง หลี่เอินในยามนี้ไม่เหมือนกับวันแรกที่มู่จื่อหลิงได้พบอย่างสิ้นเชิง
ร่างกายของหลี่เอินในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั่วทั้งตัวบวมเป่ง ผิวพรรณดำคล้ำ จนมองใบหน้าเดิมของนางไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ดูไปแล้วทำให้ผู้อื่นรู้สึกกลัวยิ่งนัก
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วอย่างเจ็บใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีระลอกหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจ นางไม่พูดพล่ามเดินมุ่งเข้าไปข้างเตียง เริ่มใช้งานระบบซิงเฉิน ตรวจสอบอย่างเคร่งขรึม
เพียงแต่ยิ่งตรวจ เรียวคิ้วนางก็ยิ่งขมวดแน่น สารพิษเดิมในร่างกายของหลี่เอินส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นให้ออกมาผ่านการแช่สมุนไพรแล้ว แต่เพราะพิษที่ตกตะกอนมาหลายปีนั้นก็ยังคงไร้หนทางที่ขับออกจากร่างกาย จึงทำให้ผิวพรรณดำคล้ำ
ปัจจุบันที่ร่างกายของนางบวมเป่งเป็เพราะมีพิษชนิดใหม่กำเนิดขึ้นอีกในตัวนาง ซึ่งพิษนั้นกำลังกัดกินเซลล์ของนางอยู่!
จนกระทั่งเซลล์ในร่างกายตายจนหมดแล้วร่างกายจึงจะหายบวม และหลังจากเซลล์ตายไปหมดผู้ที่ถูกพิษก็จะตายตามไปด้วย
“ท่านพ่อ ท่านแม่เป็เช่นนี้มาั้แ่เมื่อใด” เรียวคิ้วของมู่จื่อหลิงขมวดแน่น ถามด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
เห็นท่าทางเช่นนี้ของมู่จื่อหลิง หัวใจของมู่เจิ้นกั๋วก็ถูกบีบรัดจนแน่นตามไปด้วย “สามวันก่อน เดิมทีเป็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มองโดยละเอียดก็มองไม่เห็น แต่เช้าวันนี้จู่ๆ ก็กลายเป็เช่นนี้แล้ว พ่อร้อนใจจึงให้หรูอี้ไปหาเ้า”
แต่เดิมหลี่เอินแช่ยาสมุนไพรทุกวัน เขาค่อยๆ รู้สึกว่าร่างกายของหลี่เอินดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน และทุกวันเขาล้วนเฝ้าปรารถนาว่าหลี่เอินจะฟื้นขึ้นมาในสักวัน
แต่ตอนนี้จู่ๆ หลี่เอินกลายเป็เช่นนี้ ได้ผลักความหวังที่สร้างขึ้นมาแต่เดิมลงสู่ขุมนรกอีกครั้ง เขาไม่โทษบุตรสาวของเขา เขาเพียงโทษตนเองที่ไร้ประโยชน์ ปีที่เกิดเื่ ไม่มีความสามารถมาปรากฏตัวขึ้นข้างกายหลี่เอิน
ได้ยินคำนี้ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกแค้นเคืองใจ!
สามวันก่อน?
นั่นมิใช่วันที่นางเตรียมตัวจะมาที่นี่หรือ?
สมควรตาย! ถ้าไม่มีเื่ของหลงเซี่ยวหนานเกิดขึ้น นางก็มาได้ตั้งนานแล้ว และตอนนี้มารดาของนางคงไม่กลายเป็เช่นนี้
--------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เคลื่อนทัพมาถามโทษ แปลว่า มาประณามความผิดของฝ่ายตรงข้าม