ในค่ำคืนนั้น
จวินจิ่วเฉินเข้าไปในพระราชวังเพียงคนเดียว
ทันทีที่ชายหนุ่มมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องทรงพระอักษร เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญขององค์หญิงหวายหนิงดังขึ้นมาจากด้านใน คดีนี้เป็คดีพิเศษ ไม่ว่าจะเป็จิ้งหวางหรือศาลต้าหลี่ล้วนไม่สามารถตัดสินโทษองค์หญิงหวายหนิงและตระกูลฉีได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการตัดสินจำคุกเลย ปัจจุบันนี้องค์หญิงหวายหนิงยังคงเป็อิสระ ทางด้านของตระกูลฉียังคงถูกกักขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็การตัดสินโทษของพวกเขาในตอนนี้หรือจะลงโทษด้วยกฎหมายอาญาแบบใด ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับฝ่าา ดังนั้นองค์หญิงหวายหนิงจึงมาขอร้องอ้อนวอน
จวินจิ่วเฉินทราบว่าองค์หญิงหวายหนิงจะเสด็จมา แต่คิดไม่ถึงว่าฟู่หวงจะยอมพบนาง อาการประชวรของฟู่หวงเลวร้ายลงทุกที นอกจากการว่าราชกิจแล้วระยะเวลาส่วนใหญ่ล้วนพักผ่อนอยู่บนแท่นประทับ องค์หญิงหวายหนิงมานานเพียงใดแล้ว? ฟู่หวงสามารถยืนหยัดได้หรือไม่? จวินจิ่วเฉินขมวดคิ้วเป็ปม ไม่ช้าก็รับสั่งให้ขันทีไปรายงาน
ภายในห้องทรงพระอักษร สีหน้าของเทียนอู่ฮ่องเต้ไม่ค่อยจะดีนัก พระองค์สวมใส่ฉลองพระองค์ลำลองสีเหลืองบริสุทธิ์สดใสประทับอยู่บนแท่นบรรทมพระอรหันต์ด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังน่าเขย่าขวัญ พระองค์ทอดพระเนตรไปยังองค์หญิงหวายหนิงโดยที่พระหัตถ์ก็เคาะไปบนโต๊ะขึ้นลงแรงๆ หลายต่อหลายครั้งโดยไม่พูดอะไร
องค์หญิงหวายหนิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้เป็สาวเ้าน้ำตา ดวงตาทั้งสองข้างลืมไม่ขึ้นแล้ว นางเอาแต่กล่าวว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ ตนเองถูกคนอื่นให้ร้าย องค์ชายใหญ่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกละอายใจ และไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาราวกับว่าได้รับบทเรียนไปก่อนหน้านี้แล้ว
ไม่เพียงแค่องค์หญิงหวายหนิงและองค์ชายใหญ่เท่านั้น อวิ้นกุ้ยเฟยก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน นางมีดวงตากลมโต คิ้วเรียวงอนสง่า แม้ว่าจะเป็ผู้ที่มีพระชนมพรรษาสี่สิบกว่าพรรษาแล้ว ทว่านางบำรุงดูแลอย่างดีจนความงามไม่ลดน้อยลงไปเลย สตรีอายุน้อยที่ยืนอยู่ข้างนางหากว่ารูปโฉมโนมพรรณไม่ได้ดีนัก ต่อให้อายุน้อยก็ไม่อาจเทียบนางได้ หลายปีมานี้การที่นางสามารถเป็ที่ชื่นชอบรักใคร่ได้ตลอด ไม่เพียงแต่เพราะความงดงามเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะนางเข้าใจในอุปนิสัยใจคอของฝ่าาอย่างถ่องแท้ ทั้งคำพูดและการกระทำล้วนสามารถประจบให้ฝ่าาทรงพอพระทัยได้
โดยปกติแล้วนางมักจะประทับอยู่ที่ด้านข้างของฝ่าาเพื่อปรนนิบัติรับใช้ด้วยตนเอง
ในวันนี้นางไม่แม้แต่จะกล้าไปนั่ง ทำได้เพียงคุกเข่าลงเช่นกัน โดยที่คุกเข่านิ่งเงียบอยู่ที่ด้านหลังขององค์หญิงหวายหนิง สิ่งที่ควรจะทูลนางก็กล่าวทูลไปหมดแล้ว สิ่งที่ควรจะอ้อนวอนนางก็อ้อนวอนไปหมดแล้ว นางทราบดีว่าต่อให้พูดมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ จึงได้แต่หวังว่าฝ่าาจะทรงตัดสินใจก่อนที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะเสด็จมาถึง
น่าเสียดายที่ต้องพบเจอกับความผิดหวังแล้ว
ขันทีเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ทูลฝ่าา จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
นิ้วมือของเทียนอู่ฮ่องเต้ที่เคาะลงบนโต๊ะได้หยุดลงในทันที พระองค์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเ้าล้วนถอยออกไปให้หมดก่อน”
“ฟู่หวง! ”
ทันใดนั้นองค์หญิงหวายหนิงก็เขยิบไปด้านข้างพลางโอบกอดไปที่ขาของเขา เสียงร้องไห้ดังขึ้นมากกว่าเดิม “ฟู่หวง ลูกรู้ว่าผิดแล้ว! ลูกไม่กล้าอีกแล้ว ไม่อย่างนั้น ลูกไปขอโทษท่านพี่จิ้งหวาง! ”
หลังจากที่นางเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งออกไปด้านนอกห้องทรงพระอักษร และได้พบปะกับจวินจิ่วเฉินที่ด้านหน้าประตู นางคุกเข่าลงและกำลังจะไปโอบกอดขาของจวินจิ่วเฉิน น่าเสียดายที่จวินจิ่วเฉินหลบหลีกไป
จวินจิ่วเฉินก้าวเท้าเข้ามาแสดงความเคารพต่อเทียนอู่ฮ่องเต้ “เอ๋อร์เฉินคารวะฟู่หวง ความจริงของคดีย่าวซ่านได้ปรากฏออกมาแล้ว เอ๋อร์เฉินจึงได้มาทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
เทียนอู่ฮ่องเต้เกิดความลังเลอีกครั้ง ในที่สุดก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “อวิ้นกุ้ยเฟย พาองค์หญิงหวายหนิงออกไปก่อน กักขังไว้ที่ตำหนักฟางหวา รอให้คดีนี้จบลง เจิ้น [1] จะลงโทษนางเอง! ”
“เพคะ! ”
อวิ้นกุ้ยเฟยรีบรับคำสั่งแล้วให้จวินเย่าเฉิงพาตัวองค์หญิงหวายหนิงออกไป
หลังจากที่ออกมาจากห้องทรงพระอักษร จวินเย่าเฉิงก็เอ่ยออกมา “หมู่เฟย จิ้งหวางจะทรงฟ้องถึงพวกเราหรือไม่? ”
อวิ้นกุ้ยเฟยไม่อาจคาดเดาความคิดของจิ้งหวางได้ นางกระซิบแ่เบา “การที่ฟู่หวงของเ้ายอมพบพวกเราในค่ำคืนนี้แสดงว่าเขายังคงมีไมตรีจิตความรักใคร่อยู่บ้าง” อวิ้นกุ้ยเฟยมองไปทั่วสารทิศครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีบุคคลภายนอกจึงกระซิบแ่เบาที่ข้างใบหูของจวินเย่าเฉิงเพื่อมอบหมายให้เขาหาคนไปสร้างข่าวลือเื่ความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างจิ้งหวางกับกูเฟยเยี่ยนโดยเร็วที่สุด
เมื่อสักครู่นี้ที่ช่วยหวายหนิงขอร้องอ้อนวอน นางจงใจเผยถึงเื่ราวที่จิ้งหวางดึงกูเฟยเยี่ยนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าท่ามกลางสายตาของผู้คน อีกทั้งยังเจตนาพูดเกินความเป็จริงว่าจิ้งหวางช่วยกูเฟยเยี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย จุดประสงค์ที่นางทำไปก็เพราะ้าให้ฝ่าาทรงไม่พอพระทัยในตัวกูเฟยเยี่ยน
เพียงแค่ฝ่าาทรงมีอคติต่อกูเฟยเยี่ยน เช่นนั้นบางทีพระองค์ก็อาจจะไม่เกิดโทสะในการกระทำของหวายหนิงมากนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหากจิ้งหวางกัดหวายหนิงไม่ปล่อยและจะลงโทษหวายหนิงอย่างเฉียบขาด ฝ่าาก็จะทรงเลี่ยงข้อสงสัยไม่ได้ว่าจิ้งหวางกำลังยืนหยัดเพื่อกูเฟยเยี่ยน
ด้วยวิธีการนี้ เมื่อต้องตัดสินบทลงโทษ ฝ่าาก็จะทรงปรานีหวายหนิงบ้างไม่มากก็น้อย
เมื่ออวิ้นกุยเฟยมอบหมายงานเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดองค์ชายใหญ่ก็เข้าใจในเจตนารมณ์ของหมู่เฟย เขากระซิบแ่เบา “หมู่เฟย ท่านเฉลียวฉลาดมาก หากหวายหนิงมีความฉลาดได้สักครึ่งหนึ่งของท่าน นางก็จะไม่ตกอับมาอยู่ในจุดนี้! ”
หวายหนิงยังคงร้องไห้ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเกิดความรู้สึกน้อยใจและโกรธเคืองส่งผลให้เอ่ยด้วยโทสะ “ท่านพี่ ถ้าไม่ใช่เป็เพราะท่านที่สังหารอาจารย์แพทย์เจี่ยน มันจะไปมีเื่ราวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ”
อวิ้นกุ้ยเฟยตกตะลึง “อะไรนะ! ”
องค์ชายใหญ่รีบร้อนนำมือไปประกบปิดปากองค์หญิงหวายหนิง เพราะเกรงกลัวว่านางจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง อวิ้นกุ้ยเฟยเป็ผู้ที่มีความฉลาด นางไม่จำเป็ต้องซักถามก็สามารถเดาได้ว่าเื่ราวเป็มาอย่างไร
นางจ้องมองไปที่จวินเย่าเฉิงด้วยความดุร้ายอีกทั้งยังโกรธจนแทบจะพูดไม่ออก “พวกเ้า พวกเ้ากล้าที่จะปิดบังข้า…พวกเ้า…มันสมองของพวกเ้าจะไปสู้กับจิ้งหวางได้อย่างไร? พวกเ้ากลับไปแล้วคิดทบทวนดูซะ! ”
องค์ชายใหญ่และองค์หญิงหวายหนิงล้วนไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ คนที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่ฟู่หวงแต่เป็หมู่เฟยท่านนี้
อวิ้นกุ้ยเฟยใช้เวลานานกว่าจะสงบสติลงมาได้ จากนั้นจึงหันไปมองห้องทรงพระอักษร
แม้ว่าสีหน้าของฝ่าาจะไม่แย่นัก แต่นางก็รับรู้ได้ว่าพระวรกายของฝ่าามีปัญหาอย่างใหญ่หลวง คนภายนอกไม่รับรู้ แต่นางที่เป็ผู้ควบคุมวังหลังทราบดีว่าฝ่าาไม่ได้รับสั่งให้นางสนมเข้าเฝ้าถวายงานมาเป็เวลาสองถึงสามเดือนแล้ว
ฝ่าาเป็ผู้ที่เ้าชู้เป็นิสัย เมื่อก่อนต่อให้ประชวรหนักเพียงใดก็ไม่เคยบำเพ็ญตนเช่นนี้ สองสามเดือนมานี้พระองค์เสวยมังสวิรัติทุกวัน ในครั้งนี้เกรงว่าคงจะอาการหนักแล้วใช่หรือไม่?
อวิ้นกุ้ยเฟยตระหนักดีว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบันหากฝ่าาทรงตแล้ว องค์รัชทายาทน้อยจะสืบทอดราชบัลลังก์ จิ้งหวางจักต้องกลายมาเป็ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อำนาจก็จะยิ่งไร้เทียมทานอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาจะมีโอกาสในการแย่งชิงราชบัลลังก์หรือไม่ แม้แต่อำนาจและอิทธิพลในตอนนี้ก็คงจะไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว!
เดิมทีนางชื่นชอบตระกูลฉีอยู่มากและยังแอบเตรียมแผนสำรองไว้ในใจอีกด้วย หากว่าฝ่าาไม่ยินยอมให้หวายหนิงอภิเษกสมรสกับฉีอวี้ นางก็จะจับคู่บุตรชายกับฉีฟู่ฟาง ในตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลฉีจะไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้แล้ว อีกทั้งชื่อเสียงเกียรติยศของหวายหนิงก็ถูกบดบี้ไม่เหลือชิ้นดี การอภิเษกสมรสในอนาคตก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้ นางจำเป็ต้องสรรหางานสมรสให้บุตรชายโดยเร็วที่สุด!
อวิ้นกุ้ยเฟยมีความกระวนกระวายใจเล็กน้อยก่อนจะรีบจากไป และในขณะเดียวกันเทียนอู่ฮ่องเต้ก็ทรงเอนพระวรกายลงเเล้ว อันที่จริงในค่ำคืนนี้พระองค์ไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งและพูดคุยอะไรมากมายได้ การที่พระองค์สามารถทำได้ล้วนเป็เพราะอาศัยเม็ดยามาประคองเอาไว้
จวินจิ่วเฉินไม่ได้พูดคุยถึงเื่คดีโดยทันที เขาช่วยเทียนอู่ฮ่องเต้พับมุมผ้าห่มแล้วถอยไปนั่งที่ด้านข้าง
เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ฟู่หวง สีหน้าของท่านในวันนี้ไม่แย่เลย”
เทียนอู่ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเอ่ยกลับ “หากว่าพวกเ้าแต่ละคนสามารถทำให้เจิ้นสบายใจได้ สีหน้าของเจิ้นก็ไม่มีทางไม่ดี! ”
พวกเ้า?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารวมไปถึงจวินจิ่วเฉินด้วย
เห็นได้ชัดว่าจวินจิ่วเฉินเข้าใจถึงสาเหตุที่เทียนอู่ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ั์ตาเ็าของเขาทอประกายถึงความโกรธที่ยากจะสังเกตเห็น เพียงแต่ว่าเขาไม่ต่อความและไม่อธิบาย แต่เอ่ยออกมาด้วยความสงบนิ่ง “เกรงว่าฟู่หวงจะทรงรับรู้รายละเอียดของคดีแล้ว เอ๋อร์เฉินก็จะไม่เยิ่นเย้อ ไม่ทราบว่าฟู่หวงมาดหมายไว้ว่าจะกำหนดบทลงโทษตระกูลฉีในตอนนี้หรือว่าจะรอคอยให้จับตัวคนร้ายตัวจริงให้ได้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ? ”
เมื่อเทียนอู่ฮ่องเต้รับรู้ว่ามีคนร้ายตัวจริงพระองค์ก็ได้เริ่มครุ่นคิดถึงเื่นี้แล้ว จะลงโทษหวายหนิงอย่างไรนั้นเป็เื่เล็ก จะลงโทษตระกูลฉีอย่างไรถึงจะเป็เื่ใหญ่ หากลงโทษหนักมันก็จะไปตรงกับเจตนารมณ์ของคนร้าย หากลงโทษเบามันก็ยากที่จะเตือนใจผู้ที่จะเอาเยี่ยงอย่าง อีกทั้งภายในใจของเฉิงอี้เฟยหนุ่มน้อยนั่นก็จะยิ่งคิดว่าเขาให้ท้ายตระกูลฉี
เทียนอู่ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา “เฉินเอ๋อร์ เ้าคิดอย่างไร? ”
คำตอบของจวินจิ่วเฉินเหนือความคาดหมายมาก เขาถึงขนาดกับขอร้องให้ตระกูลฉี!
“เื่นี้ฉีฟู่ฟางเป็ผู้กระทำ ทว่าฉีฟู่ฟางกลับถูกหวายหนิงให้การยุยงส่งเสริม และหวายหนิง…เห้อ” เขาถอนหายใจออกมาพลางกล่าวต่อว่า “หวายหนิงก็ทำไปเพื่อฉีอวี้ ในวันนี้พวกเขาทั้งสองได้แลกเปลี่ยนน้ำใจกันในศาลพิจารณาคดี ทั้งคู่เติบโตมาเคียงข้างกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีใจให้กัน เอ๋อร์เฉินคิดว่ามันเป็เื่ที่น่าชังและน่าสงสาร ซึ่งพอให้อภัยได้”
—————————
เชิงอรรถ
[1] เจิ้น หมายถึง คำแทนตัวฮ่องเต้