เจิ้งซวี่เหยาเข้าใจและชื่นชมในความถ่อมตนของหลินเผิงเฟย เขาเริ่มมองหนุ่มสาวกลุ่มนี้ใหม่ เดิมทีเขาคิดว่าพวกเขาอยู่ภายใต้การนำของหมี่หลันเยว่ ถูกชี้นำโดยหมี่หลันเยว่ แล้วต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าพวกเขาก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความสามารถก็ไม่ธรรมดา
พอคิดว่าหมี่หลันเยว่สามารถรวบรวมคนเก่งกาจแบบนี้ไว้ข้างตัวได้ สายตาแหลมคมกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทำให้เจิ้งซวี่เหยารู้สึกละอายใจมาก เขาคิดเสมอว่าความสามารถของเขาเองก็ไม่เลว ดังนั้นจึงต่อสู้มาอย่างโดดเดี่ยวโดยตลอด แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ถ้ามีทีมของตนเองั้แ่เนิ่นๆ ผลงานของเขาคงจะไม่ใช่แค่เพียงเท่านี้
ไม่คิดเลยว่ายิ่งได้รู้จักหมี่หลันเยว่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากเธอมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งค้นพบข้อบกพร่องของตนเองได้มากขึ้น คนแบบนี้มีเสน่ห์มาก ไม่ใช่แค่เสน่ห์ส่วนตัว แต่เป็มุมมองที่เฉียบคมเป็พิเศษในด้านธุรกิจของเธอ ที่ทำให้เจิ้งซวี่เหยาต้องยอมแพ้
เพราะเสน่ห์ส่วนตัวสามารถฝึกฝนได้ แต่ความสามารถในการมองการณ์ไกลในด้านธุรกิจของเธอแทบจะเป็พร์ การที่จะมีมันช่างยากเย็นแสนเข็ญ โชคดีที่เขาอยู่ใกล้ชิดกับเธอมากขนาดนี้ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากเธอได้มากขึ้น ถึงเธอและเขาจะไม่ใช่คนประเภทเดียวกันในด้านวิชาชีพ แต่คนอย่างเจิ้งซวี่เหยาซึ่งเป็บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยชิงหวาก็ย่อมเข้าใจในหลักการที่เชื่อมโยงกันได้
"เผิงเฟย ความถนัดของแต่ละคนต่างกัน นายอย่าดูถูกตัวเองเลยนะ นายต้องรู้ว่าแนวทางการบริหารจัดการของนายนั้นไม่เหมือนกับพวกเขา แต่นายก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวังนี่นา การตัดสินใจของนายในท้ายที่สุดก็ถูกต้องแล้ว แค่นั่นก็เพียงพอแล้ว ถึงกระบวนการจะสำคัญ แต่ผลลัพธ์ต่างหากที่สำคัญ และจะเป็มาตรฐานสุดท้ายในการตรวจสอบ"
ถึงในใจของเจิ้งซวี่เหยาจะคิดวกวนไปมา แต่เขาก็ยังซ่อนความในใจของตนเองไว้อย่างแเี ในเมื่อหมี่หลันเยว่ไม่ได้ห้ามหลินเผิงเฟยไม่ให้บอกความจริงกับเขา นั่นก็หมายความว่าหมี่หลันเยว่ไม่ได้ระแวงเขา ถ้าอย่างนั้น การที่เขาจะแอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ ก็ดูจะใจแคบเกินไป
ต่อไป ถ้าเขามีอะไรที่้าพัฒนา หรือมีอะไรที่้าให้ช่วยวิเคราะห์ เขาสามารถพูดคุยกับหมี่หลันเยว่ได้โดยตรง ตอนนี้เขามั่นใจมากว่าหมี่หลันเยว่เต็มใจที่จะช่วยเหลือเขา และจะทำอย่างสุดความสามารถ พอคิดว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้สามารถไว้วางใจเขาได้อย่างหมดใจ เขาก็พอใจแล้ว
"นั่นสิ พี่เผิงเฟยถ่อมตัวและระมัดระวังเกินไปเสมอ ต้องรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องเจาะลึกนั้นแตกต่างจากพวกเราอยู่แล้ว เหมือนกับที่พวกเราเรียนบริหารธุรกิจ แต่เขาเน้นไปที่การบัญชี นั่นคือต่างคนต่างมีเป้าหมาย ส่วนในเื่การเข้าสังคม ฉันก็ไม่เห็นว่าพี่เผิงเฟยด้อยกว่าพวกเราตรงไหน ส่วนใหญ่เป็เพราะทิศทางการจัดการของเขา ทำให้เขาไม่ได้แสดงความสามารถในด้านนี้เท่าไหร่"
หมี่หลันเยว่ก็ไม่เห็นด้วยที่หลินเผิงเฟยดูถูกตัวเอง ในสายตาของเธอ พี่ๆ ทุกคนเก่งกาจมาก เพียงแต่ประสบการณ์ยังขาดอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อเสียใหญ่โตอะไร พวกเรายังเด็ก อายุยังน้อยคือต้นทุนที่ดีที่สุด ประสบการณ์สามารถสะสมได้ตามการเติบโตของพวกเรา
"พอพวกนายพูดแบบนี้ ฉันก็มั่นใจขึ้นมาหน่อย ที่เป็แบบนี้ก็เพราะพวกนายเก่งกาจเกินไป เดิมทีฉันก็คิดว่าตัวเองไม่เลว แต่พออยู่ท่ามกลางพวกนาย ฉันก็รู้สึกว่าประกายไฟเล็กๆ น้อยๆ ของฉันถูกพวกนายกลบหมดแล้ว ดูเหมือนว่าฉันยังต้องพยายามต่อไป คนเราย่อมมีข้อบกพร่อง แต่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้เราหยุดนิ่งอยู่กับที่"
คำพูดของหลินเผิงเฟยนี้ เมื่อเข้าหูของคนอื่นๆ กลับมีความหมายแฝงอยู่ เพราะทุกคนต่างก็มีจุดอ่อนของตนเอง แต่พวกเราคือทีมเวิร์ค การเติมเต็มซึ่งกันและกัน ได้ชดเชยข้อบกพร่องของกันและกันไปมากแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่พยายาม มีแต่การทำให้ตนเองเก่งกาจยิ่งขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้น
"เผิงเฟย ฉันคิดว่าทุกคนคงได้ยินสิ่งที่นายพูดไปแล้ว นายพูดถูก คนเราย่อมมีข้อบกพร่องอยู่เสมอ แต่พวกเรามักจะเติมเต็มข้อบกพร่องของกันและกันไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เราไม่ใส่ใจในข้อบกพร่องของตนเองเท่าที่ควร นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดี ดูเหมือนว่าพวกเราทุกคนจะต้องพยายามให้มากขึ้น"
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการสรุปของหมี่หลันหยาง แม้แต่เจิ้งซวี่เหยาก็ยังพยักหน้า สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ในการสร้างทีมของเขาในอนาคต ถ้า้าก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การไม่มีคนในมือเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ และจะต้องมีคนที่ไว้ใจได้และมีใจเดียวกันกับเขาด้วย ซึ่งเป็เื่ยากและต้องอาศัยโอกาส
พอเห็นหมี่หลันเยว่ที่อายุยังน้อย แต่กลับมีคนรอบตัวที่แข็งแกร่งแบบนี้ เจิ้งซวี่เหยารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ทำไมเขาถึงไม่เคยคิดที่จะสร้างทีมแบบนี้ขึ้นมาั้แ่สมัยเรียน มิตรภาพที่สร้างขึ้นใน่เรียน คือมิตรภาพที่มั่นคงที่สุด
สมัยที่เขาเรียน ก็มีเพื่อนดีๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็มีเื่ราวของตนเอง การที่จะหาคนมาช่วยจากเพื่อนร่วมรุ่น ดูเหมือนจะเป็ไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเจิ้งซวี่เหยาจึงทำได้เพียงลงมือในทิศทางอื่น หวังว่าเขาจะโชคดีเหมือนกัน
แต่พอมองไปที่หมี่หลันเยว่ที่อยู่ตรงหน้า เจิ้งซวี่เหยาก็รู้สึกว่าเป้าหมายของเขาคงจะไม่ยากเกินไป เด็กสาวคนนี้คือดาวนำโชคของเขา มีเธออยู่ด้วย ธุรกิจของเขาคงจะราบรื่น พอคิดว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้จะเป็ของคนอื่นในอนาคต เจิ้งซวี่เหยาก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็เท่านั้นแหละ
ยังไงซะเขาไม่ใช่หนุ่มวัยสิบแปดสิบเก้า เจิ้งซวี่เหยาไม่ได้มีความหุนหันพลันแล่นเหมือนตอนเป็หนุ่ม หลายสิ่งหลายอย่างเขาจะคิดให้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม อย่างเช่นกับหมี่หลันเยว่ เธอเป็ผู้หญิงที่โดดเด่นจริง แต่สำหรับเขาแล้วก็ไม่เหมาะสมจริงๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปล่อยมืออย่างเด็ดเดี่ยว นี่คือความเฉลียวฉลาดของผู้ชายที่เติบโตแล้ว
เจิ้งซวี่เหยาหวังว่าผู้หญิงที่มีความสำคัญมากในชีวิตของเขา จะได้พบกับคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เหมือนกับที่เขาได้พบกับเธอในเวลาที่ไม่ถูกต้องแบบนี้ หวังว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้จะโชคดีเสมอ มีคู่ครองที่โดดเด่น สิ่งที่เขาให้ได้มีเพียงคำอวยพรจากใจจริงเท่านั้น
"ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เหลือแค่รอใช่ไหม ได้ยินจากคุณปู่เจิ้งว่าผลการคัดเลือกครั้งนี้จะออกมาในอีกสามวันข้างหน้า ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ทำได้แค่รออีกสามวัน แล้วค่อยตัดสินใจเลือกคนของเรา เฮ้อ การรอนี่มันน่าเบื่อจริงๆ"
เฉียนหย่งจิ้นยังคงบ่นตามเคย แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็คนที่รอคอยโอกาสเก่งที่สุด บางทีความกระวนกระวายใจหรือความหยิ่งผยองที่แสดงออกมานั้น เป็เพียงวิธีการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับเขาแล้ว มันไม่ได้ผลเลย
"แต่การตัดสินใจเลือกคนของเราก็ไม่ยาก ตอนนี้มีลำดับอยู่ในมือแล้ว ขอแค่ทางรัฐบาลประกาศผลออกมา ฉันก็จะเลือกคนที่ทางนั้นเลือกออกไป แค่นั้นก็พอ และฉันคิดว่าสามอันดับแรก ทางรัฐบาลคงจะไม่เลือกหรอก น่าจะเป็คนที่เหลือไว้ให้พวกเรา"
หมี่หลันหยางชี้ไปที่สามอันดับแรกในรายชื่อ พูดราวกับมั่นใจมาก
"นายมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ"
หนิวเถียจู้ถามเขา แต่ในใจของเขาก็คิดแทบจะเหมือนกับหมี่หลันหยาง
"แน่นอน ทางรัฐบาล้าพนักงานบริการในโรงแรมรับรองแขก ซึ่งแตกต่างจากพนักงานขายที่ต้องใช้ปากอย่างพวกเรา และคนที่รับสมัครงานของทางรัฐบาลก็ต้องมีสายตาที่เฉียบคมเหมือนกัน พวกเราแค่ดูว่าคนทั้งยี่สิบกว่าคนนี้โดดเด่นขนาดไหนก็รู้แล้ว"
"ดังนั้นฉันคิดว่าพวกเขาจะเลือกคนที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมที่สุด ส่วนสามอันดับแรกของพวกเรา อาจจะไม่ใช่สามอันดับแรกที่พวกเขา้าก็ได้ ข้อกำหนดปลีกย่อยตรงกลางนั้น ไม่น่าจะขัดแย้งกับพวกเรา ทางเลือกของพวกเรากับพวกเขาใกล้เคียงกัน แต่เป็คนละเส้นทางกัน คนของเราน่าจะถูกเก็บไว้"
หมี่หลันหยางยื่นมือไปชี้ที่คนในรายชื่ออีกครั้ง
"คนพวกนี้มีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือกสูง คนฉลาด แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงใจ คนแบบนี้เหมาะกับโรงแรมรับรองแขกของหน่วยงานราชการ ส่วนผลลัพธ์ก็ให้พวกเรารอดูต่อไป"
ทุกคนยื่นคอเข้าไปดูตัวเลือกของหมี่หลันหยางอย่างละเอียด และพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน ผู้หญิงเหล่านี้เกือบทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งกลางๆ ในรายชื่อ เห็นได้ชัดว่าคุณภาพไม่เลว แต่สำหรับแนวหน้าของวงการขายแล้ว พวกเธอไม่ใช่ตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุด
"ครั้งนี้ ฉันว่าสิ่งที่หลันหยางพูดก็คงไม่ผิดไปจากความเป็จริงมากนัก ลองรอดูกันเถอะ ถือว่าเป็การทดสอบสายตาของพวกเราด้วย"
เจิ้งซวี่เหยาก็เริ่มมีความสนใจในการรอคอยครั้งนี้มากขึ้น
ตอนแรกเขาเพียงแต่เลือกมาตรฐานการใช้คนตามความเคยชินของตนเอง แต่พอได้ยินบทสรุปและการวิเคราะห์ของหลันเยว่ เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า เื่ต่างๆ ต้องมองหลายๆ ด้าน สิ่งที่เขา้า ไม่จำเป็ต้องเป็สิ่งที่คนอื่น้าเสมอไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่นายไม่ชอบนั้นไม่ใช่คนเก่ง เหมือนกับหลินเผิงเฟย ความถนัดของแต่ละคนต่างกัน
"สิ่งที่พวกเราต้องเตรียมต่อไปก็คือ การไปพบกับเ้าของบ้านเช่าที่บ้านสี่ประสานในวันพรุ่งนี้ ฉันคิดว่าพรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องไปกันเยอะหรอก แค่ฉันกับอาจารย์เจิ้งไปก็พอ ยังไงซะหน้าตาของคุณปู่เจิ้งกับคุณป้าเจิ้งก็มีมาก พวกเราได้เบอร์โทรศัพท์ของเ้าของบ้านคนนี้มาจากทางคุณปู่เจิ้ง ยังไงก็ต้องแสดงความจริงใจของพวกเราออกมาให้ได้"
"และยิ่งไปกันเยอะ ก็จะยิ่งดูวุ่นวาย ไม่เหมือนกับการเผชิญหน้ากับชาวบ้านธรรมดา พวกเราใช้บารมีข่มขู่เขาได้ แต่กับผู้นำใหญ่คนนั้น พวกเราไปกันเยอะกว่านี้ก็คงถูกกดขี่อยู่ดี สู้ทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน และแสดงจุดยืนของตนเองออกมาจะดีกว่า"
โดยปกติแล้วทุกคนจะไม่คัดค้านความคิดของหมี่หลันเยว่ แต่ครั้งนี้หมี่หลันหยางกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
"หลันเยว่ ฉันว่าฉันไปด้วยดีกว่า เธอยังเด็กเกินไป ฉันกลัวว่าผู้นำคนนั้นจะดูถูกเธอ เพราะการพบปะของพวกเราไม่ได้เป็ไปในระยะยาว เขาอาจจะตัดสินใจไปก่อนแล้วก็ได้ ถ้าเขาคิดว่าการส่งเด็กไปพบเขาเป็การไม่ให้เกียรติ อาจจะผิดพลาดได้"
"ก็ยังมีฉันอยู่นี่นา ฉันไปด้วยคงไม่มีปัญหา"
เจิ้งซวี่เหยารู้สึกว่ามีเขาอยู่ด้วย ไม่น่าจะมีเื่ที่หมี่หลันหยางกังวลเกิดขึ้น
"จุดยืนของอาจารย์แตกต่างกันนะครับ เดิมทีก็มีความหมายของการเป็คนกลางอยู่บ้าง การเป็ตัวกลางประสานงานก็มากพอแล้ว แต่ในฐานะผู้ซื้อ อาจารย์อาจจะไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมมากนัก"
จริงด้วย เขามักจะคิดว่าตัวเองเป็ผู้พิทักษ์ของหมี่หลันเยว่ แต่คนอื่นคงไม่คิดแบบนั้น พอเจิ้งซวี่เหยามองไปที่หมี่หลันหยางอีกครั้ง เขาก็เริ่มมองเห็นความแตกต่าง พวกเขาแต่ละคนเป็ส่วนเติมเต็มและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเมื่อใครคนใดคนหนึ่งมีจุดอ่อนได้ทันท่วงที ความเข้าใจซึ่งกันและกันแบบนี้ น่าจะกลายเป็ความเคยชินของพวกเขาไปแล้ว
