หวงฝู่จินไม่นึกว่าหลินฟู่อินจะถามคำถามนี้ออกมา
เขามองนางด้วยดวงตาหงส์ ริมฝีปากบางขยับยกพร้อมๆ กับคิ้วคมที่เลิกขึ้นดูร้ายกาจ กล่าวเสียงเบา “นั่นสิ ข้าจะทำยังไงดีนะ? ไม่กินดีหรือไม่?”
หลินฟู่อินถูกเขายอกย้อนจนปั่นป่วน รีบหันหลังเข้าบ้านไป “ช้ามากแล้ว ข้าจะไปทำกับข้าว”
ที่จริง นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่กล้าพูดกับบุรุษผู้นี้อีก
เห็นแผ่นหลังของหลินฟู่อินที่ดูอย่างไรก็กำลังหนี รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่จินก็ค่อยๆ เลือนหาย คำถามของนาง…
เขาเองก็ไร้คำตอบเช่นกัน…
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน เรียกได้ว่าผ่านไปแบบสบายๆ ระหว่างนี้หลินฟู่อินไปๆ กลับๆ ระหว่างหมู่บ้านหูลู่กับในเมือง เมื่อคนในหมู่บ้านถามนางก็ทำเพียงยิ้ม พอมีคนไปถามย่าหลี่กับแม่นมฉิน ทั้งสองคนก็ตอบกว้างๆ ว่าหลินฟู่อินไปรักษาคนในเมืองและไปค้าขายกับภัตตาคารหลิวจี้
ชาวบ้านได้ยินเข้าต่างก็อิจฉา แต่กลับไม่ได้กล่าวอะไรไม่ดี
พอเหมาะพอดี ่นี้จ้าวซื่อที่มักหาเื่รังแกหลินฟู่อินกำลังสู้รบกับอู๋ซื่อจนไม่เหลือแรงมาวุ่นวายกับเด็กสาว ไม่อย่างนั้นคงจะมีปัญหาอีกแน่นอน
เ้าก้อนแป้งทั้งสองก็ซุกซนขึ้นทุกวัน
หลินฟู่อินไม่ค่อยเป็ห่วงทางหมู่บ้านมากนัก เพราะย่าหลี่กับแม่นมฉินดูแลเ้าตัวเล็กทั้งสองได้เป็อย่างดี ทำให้เด็กน้อยมีแต่จะซุกซนขี้เล่นขึ้นเรื่อยๆ
แต่เสี่ยวเป่าที่เป็ผู้ชายกลับเงียบกว่าสาวน้อยเสี่ยวเป้ยมาก บางครั้งเวลาที่หลินฟู่อินอุ้ม เด็กน้อยไม่ร้องไห้หรือก่อปัญหาด้วยซ้ำ มีแค่หัวเราะเบาๆ ถือว่าเป็เื่หายากมาก
ส่วนเสี่ยวเป้ยแน่นอนว่าเป็เด็กน่ารักมีชีวิตชีวา นั่งงับมือตัวเองทั้งวัน พออ้าปากได้ก็ยิ่งเหมือนหลินฟู่อิน ทำให้นางรักน้องสาวคนนี้สุดใจ
ดังนั้นทุกครั้งที่หลินฟู่อินมีธุระต้องไปค้างในเมือง นางจึงลังเลเป็อย่างยิ่ง นางอยากจะพาน้องๆ ไปด้วยพร้อมย่าหลี่และแม่นมฉินอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เพราะน้องๆ ยังต้องดื่มน้ำนม
หลินฟู่อินไม่ยอมเปลี่ยนใจ ้าให้ทั้งสองได้ดื่มน้ำนมจากเต้าจนกว่าจะอายุมากกว่านี้สักหน่อย แต่หากโตมากกว่านี้ก็คงจะไปไล่ดื่มน้ำนมจากบ้านหลายๆ หลังเช่นนี้ไม่ได้แล้ว นางจึงต้องเร่งหาแม่นมที่เหมาะสมเอาไว้ล่วงหน้า
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกหวงฝู่จินทั้งนายและบ่าวก็ใช้เวลาสบายๆ เหมือนหลินฟู่อิน บางทีก็กลับไปค้างที่บ้านของนางสองสามวัน แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่อยู่ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนกัน
แน่นอนว่าหลินฟู่อินเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น
ไปตรวจให้สกุลเฝิงแล้วนางก็กลับมายุ่งๆ อีกครั้งหลังจากที่ว่างอยู่หลายวัน
ตอนนี้อากาศทางเหนือเริ่มหนาวขึ้น ลมเย็นเริ่มพัดมา ผักไม่มีให้กินแล้ว หลิวฉินติดต่อนางหลายครั้งเพื่อหาวิธีเร่งทำถั่วปากอ้ากับถั่วงอก
เพราะตอนนี้แตงกวาหมดแล้ว เหลือแต่แตงกวาที่ยังไม่ออกผลซึ่งกินไม่ได้ โชคดีที่ยังมีอาหารชนิดใหม่สองสามอย่าง แน่นอนว่าไม่เพียงภัตตาคารหลิวจี้ที่ได้รับผลกระทบ ภัตตาคารอื่นที่ไม่มีอาหารจานนี้ต่างได้รับผลยิ่งกว่า
เพราะในเมื่อตอนที่ทั้งร้านอาหารและบ้านต่างก็ขาดแคลนผักเหมือนๆ กัน เหล่าคนรวยทั้งหลายที่บ้านไม่ขาดปลาตัวใหญ่หรือเนื้อชิ้นโตก็เลือกจะกินข้าวที่บ้านพร้อมสุราอุ่นๆ ดีกว่า หากอาหารไม่ต่างกัน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็เหล่าลิ่วหรือเมืองอื่นที่เคยติดต่อหลิวฉินเ้าของภัตตาคารเอาไว้ต่างก็บ่นเขากันระงม เพราะคาดว่าเขาจะส่งผักสดให้ไวตามที่เคยรับปากไว้
หลิวฉินหวังจะทำเงินมหาศาล
หลินฟู่อินรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาขายถั่วปากอ้ากับถั่วงอกแล้ว
อันดับแรกนางเข้าเมืองไปหาร้านทำเครื่องกระเบื้องดินเผา สั่งโอ่งใส่น้ำที่ใหญ่ที่สุดมาสิบโอ่ง ขนาดกลางหกโอ่ง และไหใส่น้ำขนาดเล็กสิบห้าไห ให้นำไปส่งยังสถานที่ที่หลินซานหลางอยู่โดยตรง
เมื่อวางโอ่งเข้าที่แล้ว นางก็ไปหาหลิวฉินอีกครั้ง ขอให้ส่งรถม้าสำหรับขนส่งถั่วปากอ้าตากแห้งและถั่วอื่นๆ ที่นางเก็บเอาไว้ที่ร้านในเมือง
นางต้องแช่ถั่วและต้มน้ำ จึงขอให้หลิวฉินช่วยซื้อฟืนมาให้ อย่างไรภัตตาคารหลิวจี้ก็ต้องซื้อฟืนทุกวัน มีสายสัมพันธ์กับพ่อค้าฟืนดีเช่นนี้ ฟืนที่ได้จากทางหลิวฉินจึงดีกว่าและแห้งกว่า
ทำเื่จิปาถะเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ หลิวฉินกระตือรือร้นยิ่งกว่าหลินฟู่อินเสียอีก ขอเพียงหาวัตถุดิบสดใหม่มาได้ เขาก็ทำได้ทุกยอ่าง
แต่การจะทำถั่วปากอ้าอ่อนนุ่มจำนวนมากนี้ให้นางกับหลิวฉินสองคนทำไม่ไหว เพราะทั้งคู่ต่างก็มีธุระรัดตัว ชื่อเสียงในฐานะหมออัจฉริยะของหลินฟู่อินก็โด่งดังขึ้นทุกวัน หลายครั้งที่มีพวกตระกูลใหญ่ๆ เรียกไปรักษาญาติผู้หญิงในบ้าน
พูดถึงเื่นี้แล้วก็ต้องพูดเื่เฝิงฮูหยินที่เชิญนางไปตรวจเมื่อครั้งก่อนด้วย
เพราะว่านายท่านเฝิงเชื่อฟังหลินฟู่อิน ดื่มยาตามเทียบยาที่นางสั่งไป เวลาเพียงครึ่งเดือนร่างกายก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมากกว่าก่อนจะดื่มยาไม่น้อย
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือตอนนี้รอยคล้ำใต้ตาของเขาหายไปแล้ว กลายเป็คนที่ดูอิ่มเอิบเหมือนเกิดใหม่ ยามที่เฝิงฮูหยินอยู่กับนายท่านเฝิง่นี้ก็เหมือนได้ย้อนกลับไปใน่ที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศดีๆ
ฝั่งนายท่านเฝิงเอง แม้จะโดนสั่งห้ามไม่ให้หลับนอนกับใครในระหว่างดื่มยา แต่ร่างกายกลับผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย เมื่อเห็นสีหน้าภรรยาเอกดูไม่โศกเศร้าหม่นหมองเหมือนแต่ก่อน เขาก็ยิ่งสนิทสนมกับนางมากยิ่งขึ้น
กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเอง เมื่อดื่มยาตามสั่งไปได้ครึ่งเดือน ร่างกายนางก็ดีขึ้นมาก แม้จะไม่ได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนไปมากโดยเฉพาะเื่อารมณ์ร้าย ตอนนี้นางดีกับลูกสะใภ้ที่เชิญหลินฟู่อินมาจ่ายยาให้ตนยิ่งกว่าเดิม แม้จะยังไม่ชอบเฝิงฮูหยินอยู่บ้างแต่ก็ดีขึ้นแล้ว
ส่วนด้านอนุภรรยาทั้งสองคนนั้น พอนายท่านเฝิงดื่มยาที่หลินฟู่อินสั่งให้แล้วร่างกายดีขึ้นมากจึงได้เชื่อหลินฟู่อินสุดใจ พอคิดๆ ถึงคำแนะนำของนางอีกครั้งก็เรียกอนุทั้งสองเข้ามาคุยด้วย สุดท้ายก็ลงเอยที่เขาซื้อต่อสัญญาทาสจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้วส่งมอบให้ทั้งสองคนทีละคน ยังได้เงินอีกคนละหนึ่งพันตำลึงก่อนจะถูกส่งตัวออกจากจวนสกุลเฝิงไป
มีหนึ่งพันตำลึงเงินกับร่างกายที่เป็อิสระ ทั้งคู่รู้ว่าพวกตนไม่อาจคลอดบุตรให้นายท่านเฝิงได้ แต่อย่างไรทั้งสองต่างก็เฉลียวฉลาดจึงไม่คิดแย่งชิงความรักจากนายท่านเฝิงอีก พวกนางยอมรับความปรารถนาดีจากนายท่านเฝิงอย่างเต็มใจ รับเงินและให้คำสัญญา ก่อนจะกลับบ้านเดิมไปใช้ชีวิตต่อไป
ดังนั้นตอนนี้เรือนหลังของสกุลเฝิงจึงสงบสุขเป็อย่างยิ่ง
เหล่าสตรีในวงสังคมของชิงหยางต่างก็ทราบกันหมดว่าเฝิงฮูหยินมี่เวลาดีๆ แล้ว ทุกคนต่างก็เลียบๆ เคียงๆ ถามเื่นี้ เฝิงฮูหยินที่เชื่อมั่นว่าหลินฟู่อินเป็ผู้มีพระคุณของตนจึงได้ช่วยป่าวประกาศให้หลินฟู่อินเต็มพิกัดทั้งด้านฝีมือการรักษาและบุญคุณที่ได้รับ
เหล่าสตรีทั้งหลายพากันจดจำชื่อของหลินฟู่อิน แม้บางคนจะเคยได้ยินเื่นี้มาแล้วจากคนอื่น แต่พอได้เห็นเฝิงฮูหยินที่ชีวิตลำบากที่สุดในหมู่พวกนางยังเอ่ยปากชื่นชม ทุกคนต่างก็เห็นกันอยู่ว่าเฝิงฮูหยินเหมือนได้เกิดใหม่ ยามนี้จึงเชื่อว่าในเมืองชิงหยางมีเทพธิดาหมออยู่
ดังนั้นบรรดาฮูหยินทั้งหลายเวลาไม่สบายจึง้าพบหลินฟู่อิน หรือหากพวกนางสบายดี แต่สตรีในบ้านป่วย นางก็จะรีบให้หลินฟู่อินมารักษา
ยิ่งพวกฮูหยินและคุณหนูบ้านรวยๆ เหล่านี้กินดีอยู่ดีแต่ไม่ค่อยออกกำลังกายจึงมักจะป่วยเจ็ดโรคแปดภัย [1] อยู่ร่ำไป ทำให้หลินฟู่อินยิ่งยุ่งกว่าเดิม
แต่จะยุ่งแค่ไหนก็ยังต้องค้าขาย
นางจึงได้พาคนที่สนิทๆ กันหลายคนมาจากหมู่บ้าน ตั้งใจขอให้คนพวกนี้ช่วย
อันดับแรกที่ไม่ชวนไม่ได้คือบ้านของหลินต้าเหอ คนบ้านเดียวกันย่อมเชื่อถือได้
จากนั้นก็ครอบครัวต้ายาที่อยู่ข้างบ้าน แม้คนบ้านนี้จะไม่ค่อยรู้หนังสือ แต่ไม่มีปัญหาเพราะเป็บ้านที่เอาการเอางาน ไม่เหลวไหล ยืดหยุ่นได้และตั้งใจทำงานหนัก
นางคำนวณดูแล้วก็คิดว่าน่าจะใช้คนจากบ้านลุงสองสองคน เป็ป้าสะใภ้สองกับหลินฟาง ส่วนลุงสองก็ให้อยู่ที่บ้านช่วยนางดูไร่ผักกาด คอยใส่ปุ๋ยบำรุงดินบริเวณที่ดินร้างซึ่งนางเพิ่งซื้อมาใหม่
หลินเฟินตอนนี้ทำไข่ดอกสนกับไข่เยี่ยวม้าจนคล่องแคล่วทั้งด้านการทำและการค้าขาย จึงให้นางดูส่วนนี้ต่อ
โดยเฉพาะตอนนี้ที่ขาดแคลนผัก บ้านไหนๆ ก็คงจะเบื่อผักดองแล้ว พอจบ่เก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงไป กระทั่งชาวไร่ชาวนาที่พอจะมีเงินเหลืออยู่บ้างก็เต็มใจไปบ้านหลินฟู่อิน เพื่อขอซื้อไข่ดอกสนไปให้คนที่บ้านได้ชิมกันบ้าง
ยังมีคนอีกหลายบ้านที่เก็บไข่เป็ดไข่ไก่เอาไว้มากมายเพื่อทานเอง บ้างก็เอาไว้ขายเพื่อหาเงิน
พอหลินฟู่อินส่งมอบกิจการขายไข่ดอกสนพวกนั้นให้หลินเฟินแล้ว ไข่ทั้งหมดก็ทำการผลิต ขายและรับซื้อที่บ้านของหลินเฟิน คนจะได้ไม่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ
สกุลเฉียนเองก็สามารถช่วยได้สามถึงสี่แรงคน
พ่อแม่ของต้ายา รวมกับลุงสองของต้ายาและตัวต้ายาเอง ส่วนปู่ย่าของต้ายาต้องอยู่บ้านดูแลเด็กๆ ป้าสะใภ้ของต้ายาต้องเป็คนให้นมเ้าก้อนแป้งของบ้านหลินฟู่อินและลูกตัวเอง
ถึงแม้ว่าน้องชายน้องสาวของต้ายาจะเชื่อฟังมาก แต่ก็อยู่ในวัยที่เริ่มโหวกเหวกโวยวายแล้ว คนเป็แม่ย่อมไม่ไว้วางใจปล่อยเอาไว้เพียงลำพัง
รวมทั้งหมดหาได้หกคนน่าจะไม่พอ หลินฟู่อินคิดๆ ดูแล้วก็เห็นว่าหาคนจากหมู่บ้านหูลู่ดีกว่าคนในเมือง เพราะชาวบ้านเหล่านี้จะได้มีเงินทองใช้ดำรงชีวิต อย่างไรนางก็เป็คนใจดีที่ให้ค่าแรงสูงกว่ามาตรฐานอยู่แล้ว
คิดเื่นี้แล้วหลินฟู่อินก็เห็นว่านางไปหาหลี่เจิ้งย่อมดีกว่า หลี่เจิ้งจะได้รู้ว่านางคิดถึงความเป็อยู่ของชาวบ้าน ดังนั้นอีกหน่อยหากเกิดเื่อะไรขึ้น หรือมีใคร้าขัดแย้งกับนาง เขาจะได้ว่าความอย่างเป็ธรรม
พอกลับถึงหมู่บ้าน หลินฟู่อินก็ไปหาบ้านสองเพื่อคุยเื่แผนในอนาคต หลินต้าเหอไม่รู้สึกตัวอยู่เป็นาน ไม่นึกเลยว่าเด็กตัวแค่นี้จะถึงขึ้นซื้อร้านซื้อบ้านอยู่ในเมือง…
สองพี่น้องหลินเฟินหลินฟางรู้เื่นี้อยู่แล้วแต่แค่บอกเฟิงซื่ออย่างลับๆ เท่านั้น ไม่ได้บอกผู้เป็บิดาที่หวาดกลัวจนเข่าอ่อนเวลาเจอคนบ้านใหญ่
เฟิงซื่อรับคำพร้อมรอยยิ้ม แม้หลินฟู่อินจะบอกว่าอาจต้องอยู่ในเมืองหลายเดือนั้แ่ปลายฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูหนาว ขอเพียงได้เงินจำนวนมากก็พอแล้ว เื่อื่นจะสำคัญอะไร?
อย่างไรก็ยังมีเฟินเอ๋อร์กับสามีของนางดูแลบ้านอยู่
หลินฟางเองก็ดีใจมาก ได้เข้าเมืองช่วยหลินฟู่อินทำงาน ถือว่าได้ความรู้เพิ่มอีกมาก!
เมื่อทางบ้านสองรับปากแล้ว นางก็ไปบ้านต้ายาที่อยู่ข้างบ้านพร้อมไข่ดอกสนและไข่เยี่ยวม้าอย่างละสิบฟอง
ไข่ทั้งสองเป็ของขวัญที่ดีมาก เดี๋ยวนี้เวลาหลินฟู่อินไปคุยธุระหรือหาคนรู้จักเพื่อคุยอะไรก็มักจะใช้สิ่งนี้เป็ของขวัญ ผู้อื่นก็ชอบด้วยเช่นกัน
หลินฟู่อินนำของขวัญไปบ้านเฉียน คู่สามีภรรยาชราต้อนรับนางเป็อย่างดี เพราะไม่ว่าเมื่อไรที่นางตั้งใจไปบ้านเฉียนก็มักจะมีเื่ดีๆ เสมอ
แน่นอน เมื่อได้ยินความตั้งใจของหลินฟู่อิน ผู้เฒ่าทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วรับปากโดยไม่ต้องคิดทันที อย่างที่หลินฟู่อินคิดเอาไว้ ทั้งคู่จัดแจงให้พ่อแม่และลุงสองของต้ายา รวมตัวต้ายาเองเป็สี่คนเข้าเมืองมาช่วยนาง
ตอนที่ปู่เฉียนถามเื่ที่อยู่และอาหารการกิน หลินฟู่อินตอบไปว่านางจะช่วยแก้ปัญหาให้ ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองโล่งใจทันที
ก่อนจะกลับปู่เฉียนยังถามว่าหลินฟู่อินได้ชวนคนจากบ้านใหญ่ไปทำงานด้วยหรือไม่
เด็กสาวยิ้มแล้วถามกลับ “ท่านปู่เฉียน ตอนนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ข้าท้องอีกแล้ว ใครจะไปทำงานที่นั่นได้ล่ะเ้าคะ?”
พอปู่เฉียนได้ยินก็รู้ว่าเด็กสาวมิได้ชวนคนบ้านใหญ่ไปแน่นอน เขาดูดยาสูบเข้าไปโดยไม่กล่าวอะไร ทว่าในดวงตาฝ้าฟางมีร่องรอยความกังวล
สักพักจึงได้พูดออกมา “เด็กดี ข้ารู้ว่าเ้าเป็เด็กดี หากเ้าไม่ว่าข้ายุ่มย่าม เ้าชวนลุงใหญ่ของเ้าไปทำงานด้วยดีกว่า ยังไงก็เป็ครอบครัวเดียวกัน ถึงเวลามีเื่อะไรขึ้นมาก็ยังมีเื่ดีๆ ให้พูดถึง”
ปู่เฉียนหวังดีต่อหลินฟู่อิน นอกจากบ้านสองสกุลหลินแล้ว หลินฟู่อินก็เป็เด็กอีกคนที่น่ารักและยุติธรรม รู้จักการตอบแทนความดี ใครช่วยนาง นางจะจดจำเพื่อตอบแทนในอนาคต เด็กดีเช่นนี้เขายินดีจะพูดแนะนำมากขึ้นอีกหน่อย
ที่จริงหลินฟู่อินไม่อยากชวนคนบ้านใหญ่ไปทำงานด้วยสักคน แต่นางรู้ว่าที่ปู่เฉียนพูดนี้มีเหตุผล
ดีที่ตอนนี้จ้าวซื่อตั้งท้องอยู่ แถมยังทะเลาะกับอู๋ซื่อทั้งวัน นางจึงจะชวนหลินต้าซานแค่คนเดียว ปู่หลินเป็คนใส่ใจภาพลักษณ์แน่นอนว่าไม่มีทางมาช่วยงานหลินฟู่อิน
หลินเสี่ยวเถา หลินเสี่ยวเหอจากบ้านใหญ่นางไม่แม้แต่จะออกปากชวน สองคนนี้รวมกันมีพลังต่อสู้พอๆ กับจ้าวซื่อทีเดียว นางไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง
“ฟู่อิน ที่จริงตอนนี้เวลาก็กำลังเหมาะสมไม่ใช่หรือ? ภรรยาลุงใหญ่เ้า… แค่กๆ กำลังหาเื่กับย่าเ้าทั้งวัน ลุงใหญ่เ้าอยู่ตรงกลางย่อมต้องอยากออกไปทำงานข้างนอกแน่นอน คนย่อมไม่เรียกร้องอะไรไม่เหมาะสมแน่”
เห็นปู่เฉียนช่วยคิดเพื่อนางจริงๆ ในใจของหลินฟู่อินก็อบอุ่น นางยิ้มตอบ “ดีเลยเ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปชวนท่านลุงใหญ่ดู”
“หากคนไม่พอก็ชวนชาวบ้านไปสักหลายคนเถอะ หาคนที่ชีวิตลำบากแต่เป็คนซื่อสัตย์ตั้งใจทำงาน” ปู่เฉียนแนะนำอีกประโยคหนึ่ง
หลินฟู่อินพยักหน้ารับ ปู่เฉียนคิดเหมือนนางพอดี
“ยังไงก็ลองไปคุยเื่นี้กับหลี่เจิ้งดูเถอะ ยังมีอีกหลายบ้านที่เป็พวกขาดห้าค้ำประกัน [2] ไม่มีที่นา ไม่มีที่ดิน ไม่มีลูกหลาน คนพวกนี้หน้าหนาวไร้อาหารจะกินดื่ม ทำให้หลี่เจิ้งปวดหัวไม่น้อย” ดวงตาของปู่เฉียนดูลึกล้ำขึ้นมา
เป็การแนะนำให้หลินฟู่อินไปขอให้หลี่เจิ้งช่วยหาคนซื่อสัตย์ให้ แต่ต้องเป็คนที่ขาดแคลน มิใช่ใครก็ได้
หลินฟู่อินย่อมเข้าใจ แต่หากปู่เฉียนไม่ช่วยเตือน นางก็คงไม่รู้ว่าหลี่เจิ้ง้าช่วยคนเ่าั้?
ดีจริงๆ ไม่เพียงไม่ล่วงเกินผู้อื่น แต่ยังทำให้ผู้คนได้พูดกันว่านางเป็คนดี ทั้งยังช่วยจัดการเื่ที่หลี่เจิ้งกังวลได้พอดี
หลินฟู่อินเริ่มเสียใจขึ้นมา เหตุใดปู่ฉลาดๆ เช่นนี้ไม่ใช่ปู่ของนางแต่เป็ปู่คนอื่นล่ะเนี่ย? ถึงปู่แท้ๆ ของนางในร่างนี้จะไม่ได้ตั้งใจหลอกนาง แต่คนก็พร้อมจะวางแผนใส่นางอยู่เสมอ…
คนเป็ดีกว่าคนตาย เทียบความดี ดีน้อยกว่าก็โดนทิ้งจริงๆ ด้วย! [3]
พอออกจากบ้านของปู่เฉียนมาแล้ว หลินฟู่อินก็คิดๆ อยู่นิดหน่อย ก่อนจะกลับไปเอาเงินก้อนหนึ่งที่บ้านตัวเองแล้วค่อยไปยังบ้านใหญ่
ถึงแม้นางจะจ่ายค่าเลี้ยงดูสองตำลึงเงินให้ปู่หลินทุกเดือนมาตลอดหลายเดือนนี้ แต่่หลังนางก็วุ่นๆ กับกิจการของตัวเองจนไม่มีเวลาเอาเนื้อกับผักไปให้บ้านใหญ่ตั้งนานแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็ปู่ย่าของร่างนี้ เป็บิดามารดาแท้ๆ ของบิดาเ้าของร่างเดิม ตอนนี้นางไม่กังวลเื่เงินทอง แน่นอนว่าต้องตั้งใจช่วยเหลือด้านเงินทองให้บ้านนั้นมากขึ้นหน่อย เป็การแสดงออกว่าถ้าข้าอยากจะให้ จะให้เท่าไรก็แล้วแต่ใจข้า พวกเ้าจะมาบังคับไม่ได้ เหมือนสิงโตที่ไม่อ้าปากแบ่งเหยื่อให้โดยง่าย…
ยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตูบ้านเดิม นางก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของจ้าวซื่อกำลังตวาดด่าและเสียงโต้กลับไม่ยินยอมของอู๋ซื่อ
หลินฟู่อินอดจับหน้าผากตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนที่คิดมาบ้านใหญ่ตอนนี้คงจะไม่เหมาะจริงๆ
แต่ถึงอย่างไรก็มาแล้ว ถ้ากลับไปสุดท้ายก็ต้องมาอีกรอบ ดังนั้นก็ได้แต่กล้ำกลืนฝ่าดงะุเข้าไป
จ้าวซื่อยืนอยู่ในสวน มือข้างหนึ่งจับเอว อีกข้างกุมท้องที่ยังไม่นูน ตรงข้ามคืออู๋ซื่อที่มีสีหน้าดำคล้ำโมโหจัด
เื่ของเื่ก็คืออู๋ซื่อเห็นว่าตะวันจะกลางหัวอยู่แล้ว จึงได้สั่งให้จ้าวซื่อไปขุดหอมจากแปลงผักมาเตรียมผัดกับไข่เป็อาหารกลางวัน
แต่จ้าวซื่อไม่อยากไปจึงได้พร่ำพูดเื่ท้องของตัวเอง กล่าวว่านางตั้งท้องเด็กสกุลหลินตอนอายุมากเพียงนี้ก็ไม่ควรจะต้องโค้งกายขุดหอมทั้งที่ท้องโต และอื่นๆ อีกมากมาย
เื่นี้ทำให้อู๋ซื่อโมโหขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายแม่สามีลูกสะใภ้จึงได้ทะเลาะกันใหญ่โต
ที่จริงนับั้แ่ที่หลินฟู่อินตรวจชีพจรแล้วพบว่าจ้าวซื่อตั้งครรภ์ จ้าวซื่อก็อ้างเด็กในท้องนี้ ไม่เพียงขัดอู๋ซื่อไปเสียทุกเื่ ทั้งยังไม่ยอมทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว ดูเหมือนก่อนหน้านี้นางโดนอู๋ซื่อใช้งานมามาก ตอนนี้จึง้าเอาคืนเสียบ้าง
ดังนั้นงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ จึงเป็อู๋ซื่อกับหลานสาวทั้งสอง หลินเสี่ยวเถาและหลินเสี่ยวเหอทำทั้งหมด
ยังไม่พอ นางยังบ่นเื่นู่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ดีตลอดทั้งวัน โวยวายขอซาลาเปาเนื้อทุกวัน ไม่ก็อยากกินเนื้อติดมันชิ้นโตๆ ไม่หยุด
ถ้าอู๋ซื่อไม่ฟังนาง จ้าวซื่อก็จะโวยวายร้องไห้แล้วไปลงที่หลินต้าซานผู้เป็สามีจนคนทรมานกันไปหมด
อู๋ซื่อที่ทำตัวยิ่งใหญ่ต่อหน้าลูกสะใภ้มาทั้งชีวิต สุดท้ายไม่นึกว่าลูกสะใภ้คนโตที่ี้เีที่สุดกลับทำให้นางต้องยอมเชื่อฟัง
ตอนนี้บ้านเดิมสกุลหลินมีแต่เื่วุ่นวาย ปู่หลินยังข่มจ้าวซื่อไม่ลง หลินต้าซานไม่ชอบอยู่บ้าน หาเื่ไปเก็บฟืนที่หลังเขาทุกวัน
ตอนที่หลินฟู่อินมาถึง ลุงใหญ่ของนางก็ออกไปเก็บฟืนอีกแล้ว กระทั่งปู่หลินก็ยังไปด้วย
พอหลินฟู่อินมาหยุดอยู่หน้าประตู อู๋ซื่อก็เบิกตากว้าง เห็นหลานตนเข้ามาเช่นนี้นางก็รีบดึงตัวหลินฟู่อินเข้าไปในสวนแล้วบ่นเสียงขมขื่น “ฟู่อิน เื่นี้เ้าช่วยติดสินทีเถอะ”
จากนั้นอู๋ซื่อก็วิจารณ์จ้าวซื่อออกมามากมาย
จ้าวซื่อยืนหน้านิ่ง ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อู๋ซื่อกล่าว
หลินฟู่อินโดนลากเข้ามาเช่นนี้จึงมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่อาจไม่ใส่ใจ ไม่อย่างนั้นหูนางคงต้องทรมานยิ่งกว่านี้อีก ดังนั้นจึงได้กล่าวขัดขึ้นมา “ท่านย่าเ้าคะ หากท่านป้าสะใภ้ไม่ยอมทำอะไร บอกท่านลุงใหญ่เถอะเ้าค่ะ ให้สองคนนี้ไปคุยกัน หาทางแก้ไขเสีย เช่นนี้ท่านจะได้ไม่ต้องมากังวลหรือทนเื่พวกนี้ด้วย”
“ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไรอยู่แล้ว แต่ท่านเอาแต่โวยวายจุกจิกไม่เลิก ตำหนิผู้คนเสียจนกลายเป็มูลหมาไปแล้ว…” จ้าวซื่อหัวเราะ พูดจาหยาบคายออกมาหน้าตาเฉย
หลินฟู่อินพูดไม่ออก คนหน้าไม่อายก็ยังหน้าไม่อายเหมือนเดิม
อู๋ซื่อหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม หลินฟู่อินเกรงว่าทั้งสองจะทะเลาะกันอีก จึงได้รีบจับแขนผู้เป็ย่าเอาไว้ “ท่านย่า ท่านปู่กับลุงใหญ่อยู่ไหนหรือเ้าคะ? ข้ามีเื่จะคุยด้วยพอดี”
อู๋ซื่อกำลังจะตอบแล้ว แต่จ้าวซื่อกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน
-------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เจ็ดโรคแปดภัย (七病八灾) หมายถึง เป็โรคนั้นโรคนี้มากมายหลายชนิด
[2] ห้าค้ำประกัน (五保户) หมายถึง คนแก่ คนป่วย เด็กกำพร้า หรือชาวไร่ชาวนาที่พิการไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีผู้เลี้ยงดู หรือผู้ที่ต้องเลี้ยงดูผู้อื่นแต่ไร้ความสามารถในการเลี้ยงดู ขาดปัจจัยทั้งห้า ได้แก่ เสื้อผ้า อาหาร ยารักษา ที่พักอาศัย และที่กลบฝัง
[3] คนเป็ดีกว่าคนตาย เทียบความดี ดีน้อยกว่าก็โดนทิ้ง หมายถึง ไม่ควรเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกันเพราะทุกคนมีจุดอ่อนจุดแข็งเป็ของตัวเอง สอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้