เป้าหมายการมาของอวี้เฟิงเรียบง่ายมาก เพราะน้องสาวของตนเพิ่งมาร้องให้ร้องเรียนกับตนเอง ในใจคับข้องไปด้วยเพลิงโทสะ แต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ ก่อนเอ่ยวาจา “ใต้เท้าโม่ เฟิงเอ๋อร์ก็โตขนาดนี้แล้ว ด้วยสถานะที่ติดตัวมาเช่นนี้ ต่อไปจะรับมือกับการเข้าสังคมอย่างไร แม้อยากจะได้การแต่งงานที่ดีก็ยังไม่เพียงพอ เขาเป็ทายาทสืบสกุลเพียงหนึ่งเดียวของท่าน หรือท่านคิดจะให้เขาถูกตีตราว่าเป็บุตรอนุภรรยาไปตลอดชีวิต?”
โม่อวี่เฟิงมีฐานะบุตรอนุภรรยาติดตัว ย่อมไม่อาจแต่งงานกับสตรีที่มีชาติตระกูลสูง แม้ว่าบัดนี้เขาจะเป็ทายาทเพียงผู้เดียวของสกุลโม่ก็ตาม แต่โม่ฮว่าเหวินยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ หากเขาแต่งภรรยาเอกใหม่อีกคน ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่มีบุตรชายอีก และยังเป็บุตรซึ่งเกิดจากภรรยาเอกที่สามารถสืบทอดการเป็ผู้นำตระกูลอย่างแท้จริง
หากรอให้ถึงเวลานั้น ใครจะมาสนใจไยดีกับบุตรอนุภรรยาอีกเล่า ต่อให้เขาเป็บุตรชายคนโตแล้วอย่างไร
นี่คือความวิตกกังวลของสกุลอวี้ หากฟางอี๋เหนียงคิดจะกลับสู่ตระกูล ก็ไม่อาจไปด้วยฐานะอนุภรรยา ตระกูลอวี้ไม่มีทางยอมรับบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกแต่กลับกลายเป็อนุภรรยาของผู้อื่นเด็ดขาด ดังนั้นหากนางไม่ได้เลื่อนฐานะขึ้น สกุลอวี้ก็ไม่อาจเปิดห้องบูชาบรรพชนเพื่อรับนางเข้าสู่ตระกูลอย่างเป็ทางการได้ แม้ว่าภายในสกุลอวี้จะทราบเื่นี้กันแล้วทั้งเ้านายและบ่าวไพร่ แต่ก็ยังไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชน
อวี้เฟิงสงสารน้องสาวของตนผู้นี้ยิ่งนัก เมื่อครู่ยามที่เข้าไปเยือนถึงเรือนหลีหวา ฟางอี๋เหนียงผ่ายผอมถึงขนาดนั้น ไม่เหมือนเมื่อคราเพิ่งมาถึงเมืองหลวงโดยสิ้นเชิง เห็นนางระบายด้วยความโศกเศร้า ร้องไห้อย่างน่าเวทนา ภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยถ้อยคำตำหนิต่อโม่ฮว่าเหวิน มิหนำซ้ำยังต้องนั่งรอที่ห้องหนังสืออยู่นาน ได้ยินว่าโม่ฮว่าเหวินไปเยี่ยมบุตรสาวที่จวนฝู่กั๋วกง ก็นึกว่าเขาคงคิดหวังพึ่งพาบารมีสูงส่งของจวนฝู่กั๋วกง จึงบ่ายเบี่ยงการตั้งน้องสาวของตนขึ้นเป็ภรรยาอย่างถูกต้องเรื่อยมา
ภายในใจย่อมอัดแน่นด้วยรังสีพิฆาตอยู่หลายส่วน
“ใต้เท้าอวี้ เื่ฟางอี๋เหนียงรอให้ผ่านไปอีกสักพักค่อยว่ากันเถิด ก่อนหน้านี้ไม่นานิ่เอ๋อร์เพิ่งไปสร้างปัญหาไว้ ทั้งยังทำให้ฮองเฮาทรงพิโรธ หากด่วนตัดสินใจในยามนี้ อาจเป็ที่จับตามองของพระนางได้...”
โม่ฮว่าเหวินแข็งใจทำหน้าหนาบอกปฏิเสธโดยใช้เื่ของโม่เสวี่ยิ่มากล่าวอ้าง เขาย่อมเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย แต่ในระหว่างที่เขายังมิได้ไตร่ตรองให้กระจ่าง ก็ไม่คิดจะตั้งฟางอี๋เหนียงขึ้นเป็ภรรยาอย่างฉุกละหุกเกินไป
“เื่ในวัง ิ่เอ๋อร์จะต้องได้รับความไม่เป็ธรรมแน่ๆ นางเป็คุณหนูที่เข้าวังไปคนเดียว จะไปรู้จักใครที่ไหน เื่ของฉู่อ๋องยิ่งเป็ไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับศักดิ์ฐานะ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับพวกเราเลย ฮองเฮาก็ย่อมทรงรู้แจ้งแก่ใจ” อวี้เฟิงวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อดูจากท่าทีจากวังหลวงแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ิ่เอ๋อร์ก็ยังถูกเพ่งเล็งอยู่...” โม่ฮว่าเหวินกล่าวค้างไว้เช่นนั้น
หลายวันมานี้ข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับโม่เสวี่ยิ่ไม่เพียงแต่ไม่ซาไป กลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้แต่คนที่ทำงานร่วมกันยังเอ่ยถึงเื่นี้อยู่ ทำให้โม่ฮว่าเหวินถูกตำหนิไม่น้อย ความลังเลใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วเฟิงเอ๋อร์จะทำอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไริ่เอ๋อร์ก็เป็บุตรสาวคนหนึ่ง เฟิงเอ๋อร์ก็เป็บุตรชายที่ต้องสืบทอดวงศ์ตระกูล ยามนี้เป็เวลาเหมาะสมที่จะเสาะหาตระกูลดีๆ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ หากลังเลไม่ตัดสินใจแบบนี้ คิดจะเฟ้นหาสตรีที่ดีก็คงยาก” แม้ว่าอวี้เฟิงจะเห็นด้วยกับความความคิดของโม่ฮว่าเหวิน แต่เมื่อนึกถึงน้องสาวที่ร้องห่มร้องไห้มาขอความช่วยเหลือ จึงกลับมายึดมั่นในความคิดเดิมของตนเองทันที
สำหรับเื่ทายาทสืบสกุลที่มีเพียงคนเดียว โม่ฮว่าเหวินก็ยังไม่ได้ใคร่ครวญถึงเท่าใดนัก เพราะบุตรชายบุตรสาวคู่นี้ ตนเองจึงไม่อาจทำอะไรฟางอี๋เหนียงได้เป็จริงเป็จัง กลางหว่างคิ้วพลันย่นเข้าหากัน รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเป็อย่างยิ่ง “ใต้เท้าอวี้ เื่นี้ไว้อีกสักสองสามวันค่อยมาปรึกษาหารือกันอีกครั้งเถิด ข้าขอเวลาไตร่ตรอง”
“ใต้เท้าโม่ หรือว่าท่านวิตกเกี่ยวกับจวนฝู่กั๋วกง จำได้ว่ายามที่ฮูหยินผู้สูงศักดิ์ของท่านเสียชีวิตครานั้น ฝู่กั๋วกงดูเหมือนจะหาเื่ท่านไม่เบาอยู่นี่ แม้แต่ประตูเมืองก็ไม่ให้ท่านเข้ามา และตอนนี้ก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่สามีจะต้องไว้ทุกข์ให้ภรรยาที่สิ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นฟางอี๋เหนียงก็คลอดบุตรชายหญิงให้ท่าน ยังไม่มีผลงานใดที่จะเอ่ยอ้างได้บ้างเลยหรือไร ไม่ใช่ว่าท่านคิดจะให้นางกล้ำกลืนกับความไม่เป็ธรรมเช่นนี้ตลอดไปกระมัง” เห็นโม่ฮว่าเหวินลังเลใจ อวี้เฟิงก็เริ่มโมโห กล่าวกระทบกระเทียบถึงฝู่กั๋วกง...
ความหมายที่้าสื่อคือโม่ฮว่าเหวินถูกจวนฝู่กั๋วกงตัดหางปล่อยวัดนานแล้ว ยังจะเกาะแข้งเกาะขาจวนฝู่กั๋วกงไปเพื่ออันใด
เมื่อเื่นี้ถูกยกขึ้นมา โม่ฮว่าเหวินกลับไม่ได้นึกถึงคุณความดีของฟางอี๋เหนียงอย่างที่อีกฝ่ายปรารถนา แต่กลับนึกถึงธิดาสามผู้กำพร้ามารดาไร้ผู้สนับสนุนช่วยเหลือของตนเอง นึกถึงแววตาเศร้าสลดที่ฉายชัดภายใต้ก้นบึ้งของดวงตาอยู่บ่อยครั้ง ยามนั้นสีหน้าพลันเข้มขึ้น กล่าวเสียงเย็น “เื่ระหว่างจวนของข้ากับฝู่กั๋วกงใต้เท้าอวี้ไม่จำเป็ต้องรับรู้ เื่ที่ฟางอี๋เหนียงทำร้ายบุตรสาวภรรยาเอกยังอยู่ภายใต้การเฝ้าจับตามอง เมื่อทุกอย่างล้วนกระจ่างแจ้งออกมาให้เห็น ดังนั้นใต้เท้าอวี้ก็ควรเข้าใจว่าสมควรทำเช่นไร”
เพื่อให้อวี้เฟิงเข้าใจข้อเท็จจริง โม่ฮว่าเหวินก็จำเป็ต้องยกเหตุผลขึ้นมาพูด เื่นี้ฟางอี๋เหนียงย่อมเอ่ยถึงแล้วชี้นำเพียงจุดสำคัญไปตามที่โม่เสวี่ยิ่วางแผนไว้
อวี้เฟิงย่อมไม่มีความรู้สึกดีต่อโม่เสวี่ยถง ยิ่งได้ยินโม่ฮว่าเหวินดูคล้ายจะตำหนิว่าเป็ความผิดของน้องสาวตนเอง ก็ตบโต๊ะผางแล้วผลุนผลันลุกขึ้น “บุตรสาวผู้นั้นของเ้าอายุน้อยแค่นี้ก็กดหัวมารดารองเสียแล้ว โตขึ้นก็คงยิ่งร้ายกาจ”
อาศัยแค่ฐานะอนุภรรยากล้ากล่าวถึงบุตรสาวภรรยาเอกเช่นนี้ คิดกำเริบเสิบสานเกินไปแล้วจริงๆ
โม่ฮว่าเหวินจึงบันดาลโทสะ ลุกขึ้นประจัญหน้า ชี้ไปที่หน้าประตูและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากใต้เท้าอวี้มีเวลาว่างมาใส่ใจเื่ของชาวบ้านนักล่ะก็ ไม่สู้กลับไปดูแลภายในครัวเรือนของตนเองก่อนจะดีกว่า บุตรสาวของข้าจะเป็อย่างไร ไม่ใช่เื่ที่บ้านอนุจะมาแสดงความคิดเห็นได้”
นี่คือการออกปากไล่แขกแล้ว!
หากไม่คิดถึงสถานการณ์ของฟางอี๋เหนียง อวี้เฟิงก็เกือบจะสะบัดแขนเสื้อออกไปแล้ว เขาพยายามอดกลั้นความขุ่นเคืองในหัวใจเอาไว้ แล้วค่อยๆ ค้อมเอวคารวะอย่างมีมารยาทกล่าวว่า “ใต้เท้าโม่ เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทไป เพราะเห็นว่าน้องสาวตรอมใจจนผ่ายผอม ข่าวลือด้านร้ายของิ่เอ๋อร์ก็ยังแพร่สะพัดไปทั่ว ด้วยความร้อนใจจึง...”
ผู้อื่นยอมอ่อนข้อให้ อีกทั้งยังมีเื่ของโม่เสวี่ยิ่และโม่อวี่เฟิง ดังนั้นโม่ฮว่าเหวินจึงไม่อาจทำสิ่งใดเกินเลยไปกว่านั้นได้ กล่าวเสียงเรียบ “ขอบคุณใต้เท้าอวี้ที่ห่วงใย”
พูดมาถึงขั้นนี้ ความกระอักกระอ่วนใจก็เกิดขึ้นไปแล้ว ทั้งสองต่างสรรหาถ้อยคำมาเอ่ยตามมารยาท หลังจากนั้นอวี้เฟิงก็อำลากลับไป หลังพ้นจากประตูเรือนของโม่ฮว่าเหวิน มองไปที่ใต้ต้นไม้หน้าประตูใหญ่เห็นมีสาวใช้ผู้หนึ่งยืนรออยู่ที่นั่น เมื่อเห็นเขาออกมานางก็รีบเข้ามาคารวะอย่างนอบน้อม
“บ่าวเป็สาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่ ได้ยินว่าใต้เท้ามาเยือน คุณหนูใหญ่เดิมทีอยากมาคารวะด้วยตนเอง แต่จนใจที่ไม่อาจทำได้ จึงหวังว่าใต้เท้าจะให้อภัย ได้ยินว่าคุณหนูลูกผู้พี่ก็เข้าเมืองหลวงมาด้วย หากมีเวลาก็เชิญนางมาที่จวนเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง เมื่อครั้งที่ยังอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงคุณหนูใหญ่กับคุณหนูอวี้ก็มีไมตรีที่ดีต่อกันยิ่ง”
อวี้เฟิงพยักหน้า “กลับไปบอกคุณหนูของเ้า อีกสองสามวันหรงเอ๋อร์จะมาเยี่ยมเยือนนาง”
“ขอบคุณมากเ้าค่ะ ใต้เท้าอวี้” โม่ซิ่วกล่าวจบก็ถอยออกไป
อวี้เฟิงกลับจวนไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเข้ามาถึงในเรือน เห็นบุตรสาวของตนเองกับภรรยากำลังนั่งคุยเล่นกันอยู่ ก็เข้าไปนั่งด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ท่านพ่อ วันนี้ไปหาน้องสาวกับท่านอามา พวกนางเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ? เข้ามาเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว อีกสักสองสามวันให้พี่หญิงใหญ่พาข้าไปเที่ยวเล่นบ้าง” อวี้ซือหรงเป็สตรีงดงามหมดจด เพียงแต่ความหยิ่งผยองที่เห็นชัดในแววตาทำให้ดูขาดความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน
สถานะของฟางอี๋เหนียงไม่ใช่ความลับของสกุลอวี้ พวกนางต่างแอบทำความรู้จักกันมาั้แ่สองสามปีก่อนหน้านี้แล้ว รอแค่โม่ฮว่าเหวินยกฐานะฟางอี๋เหนียงขึ้นมาเป็ภรรยาเอกอย่างถูกต้อง ก็สามารถเปิดห้องบูชาบรรพชนรับนางกลับคืนสู่วงศ์สกุล สองสามปีก่อนที่เมืองอวิ๋นเฉิง โม่เสวี่ยิ่กับอวี้ซือหรงก็มีความสัมพันธ์ต่อกันไม่เลวนัก อวี้ซือหรงชอบหยอกเย้าโม่เสวี่ยิ่เล่นเป็พิเศษ
พวกนางเพิ่งเข้ามาเมืองหลวงไม่กี่วัน อวี้ซือหรงเป็สตรีที่อยู่แต่ในเหย้าในเรือน ไม่รู้ว่ายามนี้โม่เสวี่ยิ่ถูกข่าวลือโจมตีจนเสื่อมเสียชื่อเสียงไปหมดแล้ว
“ไม่เจอิ่เอ๋อร์ เจอแต่ท่านอาของเ้า” อวี้เฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด ยังรู้สึกขัดใจการกระทำของโม่ฮว่าเหวินไม่สร่างซา
“ท่านอาสบายดีหรือไม่ แล้วพี่หญิงใหญ่เล่า? ท่านพ่อ อีกสองวันพวกเราไปเยี่ยมพวกนางดีหรือไม่ ไม่ได้พบกันนานแล้ว หรงเอ๋อร์คิดถึงพวกนางเหลือเกินเ้าค่ะ” อวี้ซือหรงไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปรกติของผู้เป็บิดา ยังคงกล่าวหน้าระรื่น
“ไร้สาระหน่า...” นางเฉินซื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของนางสามีก็รู้ได้ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงหันไปดุบุตรสาว แล้วหันไปพูดกับอวี้เฟิง “โม่ฮว่าเหวินไม่ยอมยกอี๋เหนียงขึ้นเป็ภรรยาใช่หรือไม่”
“เ้ารู้ได้อย่างไร?” อวี้เฟิงถามด้วยความสงสัย
“จะเดายากอันใด มาเมืองหลวงนานขนาดนี้ ยังไม่มีการกล่าวถึงเื่ยกฐานะอนุขึ้นมาเป็ภรรยา บัดนี้แม้แต่บุตรสาวของภรรยาเอกก็เข้าเมืองมาแล้ว คิดจะยกฐานะให้อนุก็คงยากแล้วล่ะ” เฉินซื่อพูดจีบปากจีบคอ “ตอนนั้นให้พวกท่านฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ครบหนึ่งปีแล้วให้รีบยกฐานะขึ้นมา พวกท่านก็บอกให้รอก่อนๆ ตอนนี้เป็อย่างไร เสียเื่ไปแล้วใช่หรือไม่เล่า”
“ท่านพ่อ โม่เสวี่ยถงผู้นั้นเป็คนทำเสียเื่ใช่หรือไม่ ตัวไร้ประโยชน์อย่างนั้น ทำให้พี่สาวผู้ชาญฉลาดตกที่นั่งลำบากได้ด้วยหรือ” อวี้ซือหรงพอเข้าใจความหมายจึงเอ่ยถาม นางไม่ชอบขี้หน้าโม่เสวี่ยถงและมักจะรวมหัวกับโม่เสวี่ยิ่กลั่นแกล้งอีกฝ่ายเป็ประจำ พวกนางสองคนเล่นบทตัวเอก อีกฝ่ายเล่นบทตัวโกง ช่างเหมาะสมไร้ที่ติปานอาภรณ์์ไร้ตะเข็บ
ครั้งก่อนที่เมืองอวิ๋นเฉิง นางไปต่างเมือง ยามกลับมาถึงโม่เสวี่ยิ่ก็จากไปแล้ว มิเช่นนั้นนางจะเจอกับโม่เสวี่ยถงที่ท่านอาบอกว่าเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมนั่นได้อย่างไร ก็แค่ตัวขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง จะเก่งกล้าสามารถอันใด
“คงจะไม่ใช่เพียงเด็กสาวผู้นั้น ยังมีเื่ของจวนฝู่กั๋วกงอีก บัดนี้โม่ฮว่าเหวินจึงยังไม่เอ่ยถึงเื่นี้เหมือนตอนแรกที่เคยกล่าวไว้” อวี้เฟิงกล่าวด้วยความโมโห
“ท่านพ่อ แค่กำจัดนังเด็กนั่นได้ ท่านอาก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็ภรรยาอย่างถูกต้อง พี่สาวก็จะได้เป็บุตรสาวภรรยาเอกใช่หรือไม่?” อวี้ซือหรงกลอกตาไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามผู้เป็บิดาอย่างฉับพลัน
“พูดน่ะมันง่าย เด็กสาวผู้นั้นบัดนี้เป็แก้วตาดวงใจของจวนฝู่กั๋วกง หรงเอ๋อร์อย่าทำการบุ่มบ่ามเป็อันขาด ที่นี่ไม่ใช่เมืองอวิ๋นเฉิง” ยามที่อยู่อวิ๋นเฉิง พวกนางรังแกโม่เสวี่ยถงก็ไม่มีใครรู้ จวนฝู่กั๋วกงก็บารมีเผื่อแผ่ไปไม่ถึง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อวี้เฟิงรู้ว่าตนเองเป็เพียงขุนนางต่ำต้อย แม้ว่าจะต่อกรกับโม่ฮว่าเหวินยังไม่แน่ว่าจะชนะได้ ดังนั้นจึงต้องยอมกล้ำกลืนฝืนทนเอ่ยคำขอโทษ
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านพ่อ ข้าจะไม่ก่อเื่ใดๆ อีกสองสามวันค่อยไปเยี่ยมพี่สาวสักครา” อวี้ซือหรงตัดสินใจนานแล้ว ด้วยกลัวว่าจะถูกทัดทาน จึงหัวเราะคิกคักแล้ววิ่งออกไป
“นายท่าน หากโม่ฮว่าเหวินไม่ยอมตั้งอี๋เหนียงขึ้นเป็ภรรยาจริงๆ พวกเราจะทำอย่างไร” เฉินซื่อเห็นอวี้ซือหรงพาสาวใช้ไปไกลแล้ว ก็โบกมือให้สาวใช้คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องออกไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลอวี้รักฟางอี๋เหนียงอย่างสุดซึ้ง เข้าเมืองหลวงมาครานี้ก็กำชับอวี้เฟิงไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ฟางอี๋เหนียงกลับคืนสู่สกุลอวี้ให้ได้
“หากโม่ฮว่าเหวินแต่งงานใหม่ ฟางอี๋เหนียงกับบุตรทั้งสองคนก็จะยิ่งลำบาก จะให้เขาทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด” อวี้เฟิงสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา สตรีที่แต่งเข้ามาใหม่อาจจะดีกับบุตรสาวสองสามคนที่อยู่ในจวนก่อนหน้านี้ แต่กับบุตรชายย่อมต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟางอี๋เหนียงซึ่งถืออำนาจที่แท้จริงภายในจวน จะยอมลงให้นางได้อย่างไร
“แต่ยามนี้เขามีจวนฝู่กั๋วกงหนุนหลัง แม้ว่าตำแหน่งขุนนางของนายท่านจะยังอยู่ แต่ก็มิได้ใหญ่โตนัก พวกเราจะอาศัยสิ่งใดไปบีบบังคับให้เขาตั้งฟางอี๋เหนียงขึ้นเป็ภรรยาเล่า” เฉินซื่อมิได้มองเหตุการณ์ในแง่ดี
อวี้เฟิงเข้าเมืองหลวงมาครานี้ให้ตายก็กุมไว้ได้เพียงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ แม้ว่าจะสูงกว่าโม่ฮว่าเหวินเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบในเชิงอำนาจอย่างแท้จริง ตำแหน่งขุนนางของเขาก็ไม่แน่ว่าจะเหนือกว่าโม่ฮว่าเหวิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จวนฝู่กั๋วกงมีอำนาจดั่งดวงตะวันที่อยู่เหนือน่านฟ้า มีหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ ให้การสนับสนุนโม่ฮว่าเหวินอยู่เื้ั เดิมทีฟางอี๋เหนียงก็ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อยู่แล้ว
“โม่ฮว่าเหวินจะไม่มีวันมีบุตรชายได้อีก!” อวี้เฟิงกล่าวเสียงเย็น ดวงตาฉายแววอำมหิต
“ความหมายของนายท่าน...” เฉินซื่อเอ่ยด้วยความสงสัย
“หากไม่มีธุระอันใด ก็ไปหาิ่เอ๋อร์พร้อมกับหรงเอ๋อร์ อยู่ว่างๆ อย่าเอาแต่วิ่งเข้าวิ่งออกสกุลฉิน คุณชายรองผู้นั้นมิได้มีใจต่อหรงเอ๋อร์ พวกเราจะตื๊อให้ลำบากไปไย เข้ามาเมืองหลวง นี่คือมหานครยิ่งใหญ่ คุณชายสกุลดีมีมากมาย อย่าให้หรงเอ๋อร์มัวแต่ไปตายอยู่ใต้ต้นของฉินอวี้เซวียน” อวี้เฟิงมิได้คุยถึงหัวข้อเดิม แต่กลับเปลี่ยนไปอีกเื่หนึ่ง น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “เป็สาวเป็นางจะให้ไปไล่ตามบุรุษได้อย่างไร”
ได้ยินสามีกล่าวถึงบุตรสาวเช่นนี้ เฉินซื่อก็เริ่มไม่พอใจ “หรงเอ๋อร์เป็เด็กดี นางก็แค่ชมชอบเ้าหนุ่มสกุลฉินผู้นั้น เมื่อก่อนท่านก็เห็นชอบด้วยมิใช่หรือไร วันนี้ไฉนจึงกลับลำเช่นนี้เล่า”
“นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่อวิ๋นเฉิง หากทำเื่แบบนี้ ชื่อเสียงของนางจะยังเหลืออยู่อีกหรือ เ้าคอยเฝ้าดูนางให้ดี ถึงเวลาอย่าให้ชื่อเสียงมัวหมองลงมาเหมือนิ่เอ๋อร์ก็แล้วกัน” เฟิงอวี้ได้แต่สะบัดแขนเสื้อ เอ่ยด้วยความไม่พอใจ ข้างนอกมีแต่ข่าวลือด้านลบของิ่เอ๋อร์เต็มไปหมด จะให้หรงเอ๋อร์ประสบเคราะห์กรรมเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้