"เหลียนเซวียน ท่านคงเหนื่อยแล้ว ให้ข้าลงเดินเองดีกว่าไหม"
ภายในป่าเงียบสงัด เสียงลมหายใจหอบหนักของเหลียนเซวียนจึงยิ่งชัดเจน ทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นนึกเป็กังวล
แต่เหลียนเซวียนกลับหัวเราะ พยุงร่างอ่อนนุ่มบนแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน "ด้วยน้ำหนักแค่นี้ของเ้า ไม่ทำให้ข้าเหนื่อยได้หรอก"
ไม่นึกว่าเขายังมีอารมณ์ล้อเล่น เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปมองใบหน้าซีกข้างที่ห่างกันแค่คืบ
ผืนป่าภายใต้ม่านราตรี รายล้อมไปด้วยเงาไม้หนาทึบ เธอต้องเพ่งสายตาอย่างหนักถึงจะเห็นเค้าโครงเ็าและเด็ดเดี่ยว รวมไปถึงดวงตาสงบนิ่งที่แฝงแววปราดเปรื่องคู่นั้น
"ข้าตัวหนักมาเลยนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นคิดว่าตนเองน่าจะหนักเก้าสิบกว่าชั่ง [1] ก็ไม่ถือว่าเบา
เธอพาดคางบนหัวไหล่ของเขา เสียงกระซิบแ่เบาราวกับแมวน้อยน่ารักข่วนหัวใจของเขาจนเคลิบเคลิ้ม
"เช่นนั้นเมื่อก่อนที่เ้าแบกข้าขึ้นหลังรู้สึกหนักบ้างหรือไม่"
นึกถึงคราแรกที่พบกัน นางแบกเขาเดินไปอย่างยากเย็นท่ามกลางความมืด
"หนัก" เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้าอย่างสัตย์ซื่อ "ตอนนั้นหากไม่เพราะข้าตัวหนักเป็ตัน ก็คงแบกท่านไม่ไหวจริงๆ"
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ "นั่นเป็่ที่ข้าผอมที่สุดแล้ว"
"อื้ม ผอมจนเหลือแต่กระดูก ทำเอาข้าใแทบตายนึกว่าไปเจอพรายน้ำเข้าเสียอีก"
เซวียเสี่ยวหรั่นโอบไหล่กว้างไว้แน่น ภาพเหตุการณ์ที่พบกันครั้งแรกเหมือนมาปรากฏตรงหน้า
"แต่เ้าก็ยังมีความกล้าที่จะช่วยคน"
ค่ำมืดดึกดื่น ในป่าลึกเงียบสงัดเหมือนจะมีเพียงเสียงกระซิบกระซาบของพวกเขาสองคน สายลมโชยมาแ่เบา อากาศยามราตรีหนาวเย็นลง แต่เหลียนเซวียนกลับรู้สึกว่าร่างกายรุ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
"ข้ากลัวความมืด มีใครสักคนอยู่เป็เพื่อนย่อมดีกว่าตัวคนเดียว"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองเข้าไปป่ามืดสนิท หากไม่เพราะมีเหลียนเซวียนอยู่ เธอก็ไม่กล้าเดินในป่ายามค่ำคืนเพียงลำพัง
จู่ๆ เหลียนเซวียนก็นึกถึงเหตุการณ์ที่นางลากเขาออกไปเป็เพื่อนถ่ายเบากลางดึกขึ้นมา
ทันใดนั้นใบหูก็แดงซ่าน เท้าซวนเซเล็กน้อย
"อุ๊ย" เซวียเสี่ยวหรั่นอุทานเล็กน้อย "ข้าลงเดินเองดีกว่า"
"ไม่ต้อง" เหลียนเซวียนหน้าแดงซ่าน ตั้งสติใหม่ แล้วแบกนางเดินต่อไป
"นี่พวกเราอยู่ที่ไหน เหตุใดถึงมีแต่ป่าล่ะ"
รอบด้านหากไม่ใช่ต้นไม้ก็เป็ูเา ทำไมรู้สึกเหมือนกลับไปเยว่หลิงซานเลยล่ะ เซวียเสี่ยวหรั่นนึกแคลงใจ
"อยู่เขาเยว่หลิงซาน" เหลียนเซวียนตอบ
"หา?" เซวียเสี่ยวหรั่นสะดุ้งใ จับหัวไหล่ของเขาแล้วขยับออกเล็กน้อย
"อย่าเคลื่อนไหวส่งเดช เขาเยว่หลิงซานทอดยาวต่อเนื่องเป็พันลี้ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทางนี้เป็ครึ่งส่วนด้านหน้าของเทือกเขา ส่วนทางแคว้นหลีเป็ครึ่งส่วนด้านหลัง" เหลียนเซวียนอธิบาย
"โอ้โห เทือกเขาแห่งนี้ยาวเหลือเกิน มิน่า ชาวบ้านที่ขู่หลิ่งถุนถึงบอกว่าหากหลงทางในป่า ต่อให้ปีครึ่งก็ยังหาทางออกมาไม่ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นถอนใจหลายครั้งติดกัน
"ตอนนั้นพวกเราก็หาทางออกนานมาก" นึกถึงประสบการณ์การเดินทาง่นั้น เหลียนเซวียนก็ยังรู้สึกจนใจ
นางกับลิงน้อยเดินๆ หยุดๆ แวะเก็บดอกไม้บ้าง ขุดผักป่าบ้างระหว่างรอเขา แม้ตอนนั้นดวงตาของเขาจะมองไม่เห็น ปากก็พูดไม่ได้ แต่หัวใจกลับผ่อนคลายและสุขสบายอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
"แล้วนี่... พวกเราจะเข้าไปในหุบเขาอีกแล้วหรือ"
หุบเขาเข้าง่ายแต่ออกยาก เซวียเสี่ยวหรั่นมองเข้าไปในป่ามืดมิดพลางกลืนน้ำลาย
"กลุ่มคนด้านหลังเ่าั้ไล่ตามมากระชั้นชิด เ้านึกว่าข้ามีฝีมือขนาดหนึ่งสู้ร้อยได้จริงหรือ" เหลียนเซวียนหันไปล้อเล่นกับนาง
"ท่านต้องทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้าทำให้ท่านห่วงหน้าพะวงหลัง" เซวียเสี่ยวหรั่นกลับเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างบอกไม่ถูก
เหลียนเซวียนนิ่งไปนานก่อนจะหัวเราะเสียงเบาออกมา
"ก็ไม่แน่ ข้าเพิ่งถอนพิษ ทักษะยุทธ์ยังไม่ฟื้นกลับมาทั้งหมด"
เขาไม่ได้จับอาวุธมาปีกว่า มือไม้และการเคลื่อนไหวยังขาดความคล่องตัวอยู่มาก กำลังภายในฟื้นกลับมายังไม่ถึงเจ็ดแปดส่วนของก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ ทั้งมีปัจจัยหลายอย่างเพิ่มขึ้น ทำให้เขาต้องระมัดระวัง
"อือ ข้ารู้ หากท่านอยู่ใน่แข็งแกร่งที่สุด ต้องตีพวกเขาจนร้องไห้ขี้มูกโป่งร้องหาบิดามารดาเป็แน่" เซวียเสี่ยวหรั่นชื่นชมเลื่อมใสเขาเสมอมา
มุมปากของเหลียนเซวียนโค้งขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะคลางแคลงถ้อยคำเยินยอเกินจริงของนาง แต่ก็ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย
ทั้งสองเดินไปคุยไป จนกระทั่งดึกมากแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
"ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะได้ยินเสียงเป่าปาก" เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มง่วง ศีรษะที่พาดอยู่บนไหล่กว้าง โยกขึ้นโยกลงไปตามจังหวะการก้าวเดินของเขา
"ใช่ นั่นคือสัญญาณลอบโจมตีที่เหลยลี่ส่งมา"
เหลิ่งอีเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ต้องจับสังเกตพวกเขาอยู่ห่างๆ เป็แน่ เมื่อสบโอกาสถึงจะลงมือ
พวกเหลยลี่อยู่ไกล ต่อให้มาช่วยเหลือ ก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่ง
"แล้วพวกเขาจะตามขึ้นเขามาหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นหาวหวอด ปรกติเวลานี้เธอหลับไปนานแล้ว
"อืม ง่วงก็นอนเถอะ" เหลียนเซวียนเบาเสียงลง "ไม่เป็ไร มีข้าอยู่"
"งั้นข้าหลับสักครู่ ท่านเหนื่อยก็วางข้าลง ข้าเดินเองได้" เปลือกตาของเซวียเสี่ยวหรั่นทะเลาะกันอย่างหนัก พูดงึมงำก่อนพาดศีรษะบนลาดไหล่ของเขาแล้วหลับไป
เหลียนเซวียนมองเรือนผมสีดำบนไหล่พลางยิ้มอ่อน แต่ชั่วขณะที่หันกลับไปมองบางแห่งด้านหลัง สายตาพลันคมกริบดุจพญาเหยี่ยว
ไม่เสียแรงที่เป็เหลิ่งอี ในสภาวะแวดล้อมมืดมิดไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ยังติดตามแบบกัดไม่ปล่อย
น่าเสียดาย น่าเสียดาย...
ร่างของเขาวาบหายไปในความมืด
เซวียเสี่ยวหรั่นตื่นขึ้นมาเพราะเสียงธารน้ำไหลกับเสียงนกน้อยร้องจิ๊บๆ
เธอขยี้ตา พบว่าตนเองนอนอยู่ข้างลำธารใสสะอาดแห่งหนึ่ง ใต้ร่างมีอาภรณ์ตัวนอกของเหลียนเซวียนปูรองอยู่
แต่กลับไม่เห็นคนแม้แต่เงา
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นมานั่ง แต่ไม่ลนลานตื่นกลัว เมื่ออาภรณ์ของเขายังอยู่ คนก็คงไม่ไปไหนไกลอย่างแน่นอน
เธอเดินไปที่ริมธาร พับแขนเสื้อก้มลงไปล้างหน้าบ้วนปาก
จากนั้นก็ค่อยๆ สังเกตภูมิประเทศละแวกใกล้เคียงโดยปราศจากความหวาดกลัว
ลำธารตั้งอยู่ติดกับพื้นที่ป่า เข้าไปอีกหน่อยก็เป็เทือกเขาสลับซับซ้อน ูเาสูงผืนป่าเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา
เช่นเดียวกับภาพความทรงจำในป่าเมื่อก่อนนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
พวกเขาช่างมีวาสนากับเทือกเขาเยว่หลิงซานเหลือเกิน ออกมาไม่ทันไร ก็ต้องกลับเข้าไปอีกแล้ว
เธอกลับมาที่ที่เพิ่งนอนเมื่อครู่ หยิบเสื้อของเหลียนเซวียนมาดู เสื้อตัวนอกยังมีคราบโลหิต เอ๋... ยังมีกลิ่นเหงื่อเหม็นเปรี้ยวด้วย
เซวียเสี่ยวหรั่นนำเสื้อลงไปแช่น้ำในลำธาร แล้วขยี้ถี่ๆ เอาคราบสกปรกออก
เหลียนเซวียนไม่ได้รับาเ็ คราบเืบนนั้นมีแต่ของศัตรูทั้งสิ้น ดังนั้นเธอจึงไม่กังวล
หลังขยี้เสื้อผ้าจนสะอาดแล้ว ก็หากิ่งไม้สะอาดมาวางพาดที่ต้นไม้ด้านข้างแล้วเอาเสื้อผ้าขึ้นไปตาก
รออยู่ครู่หนึ่งยังไม่เห็นเงาของเหลียนเซวียน เซวียเสี่ยวหรั่นก็เริ่มนั่งไม่ติดออกไปเดินหาละแวกใกล้ๆ
เธอเดินไปตามกระแสธารน้ำไหลเอื่อย
เสียงกระแสน้ำไหลรินใสกังวานท่ามกลางป่าเขา เซวียเสี่ยวหรั่นปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ่ ก็มองเห็นน้ำตกเล็กๆ สายหนึ่งไหลซู่ลงไปในแอ่ง ละอองน้ำแตกกระจายไปทั่ว
ภายใต้แสงตะวันยามเช้า น้ำตกที่สาดกระเซ็นทอประกายระยิบระยับราวกับภาพมายา
รอบด้านมีแต่สีเขียวขจี ขับเสริมให้น้ำตกสายเล็กๆ และดูมีมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล
ทัศนียภาพช่างงดงามยิ่ง เซวียเสี่ยวหรั่นมองไม่วางตา
ทันใดนั้นก็มีเสียงน้ำแตกกระจาย
ภายในสระสีเขียวมรกต ปรากฏเงาร่างของคนเปลือยท่อนบนโผล่ขึ้นจากน้ำ
...
[1] 1 ชั่ง (จิน) เทียบเท่ากับน้ำหนักครึ่งกิโลกรัม
