ค่ำคืนมาเยือน
ดวงจันทร์ดวงกลมเคลื่อนขึ้นสู่ขอบฟ้า
สำนักกระบี่์บนยอดเขาหลังสำนัก เด็กหนุ่มอายุสิบสามและสิบสี่ปีสองคนกำลังฝึกกระบี่
คนที่โตกว่าดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้า ท่าร่ายกระบี่คล่องแคล่วว่องไวคนที่อายุน้อยกว่าเริ่มหอบหายใจ ท่าร่ายกระบี่อ่อนแรงเบาหวิว
เด็กหนุ่มที่อายุมากกว่านามว่าเสวียนเทียนคนที่อายุน้อยกว่านามว่าหวงสือ ทั้งคู่ต่างเป็ศิษย์นอกของสำนักกระบี่์
ทั้งคู่กำลังฝึกวิถีกระบี่แบบเดียวกันเพลงกระบี่ชั้นทองขั้นกลาง ‘กระบี่ถลาลม’
ครู่หนึ่งเด็กหนุ่มทั้งสองก็ฝึกเพลงกระบี่จบหนึ่งกระบวน และเข้าสู่การเก็บกระบวนท่า
หวงสือคนที่เด็กกว่าหอบหายใจอยู่หลายครั้งปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “พี่เทียน ฝึก ‘กระบี่ถลาลม’ กับพี่แล้วข้ารู้สึกเหมือนฝึกกันคนละวิชาเพลงกระบี่ของพี่เฉียบไวกว่าข้ามากนัก”
เสวียนเทียนเก็บกระบี่ลมหายใจนิ่งสงบ ตอบว่า “เ้าเพิ่งเริ่มเรียนพื้นฐานยังไม่มั่นคง อีกทั้งเ้ายังเข้าสำนักช้ากว่าข้าไปหนึ่งปี พอถึงปีหน้าเ้าก็คงทำได้ถึงขั้นเดียวกันกับข้า หรืออาจจะก้าวข้ามทำได้ดีกว่าเสียอีก”
หวงสือหัวเราะพลางกล่าวว่า “พี่เทียนพี่เพิ่งบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก็สามารถประกระบี่กับคนที่อยู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าอย่างจางหู่ได้แล้วถ้าข้าเก่งได้เท่าพี่ก็คงดี ฟ้ามืดแล้ว พี่เทียน พวกเราพอแค่นี้แล้วกลับกันเถอะ”
เสวียนเทียนสีหน้ามืดครึ้มลงไปชั่วขณะ แล้วตอบว่า “เ้ากลับไปก่อนเถอะ วันนี้ประกระบี่รับมือกับจางหู่ได้เพียงสิบเอ็ดกระบวนท่า ระยะห่างระหว่างข้ากับเขายังห่างไกลนักข้าจะฝึกต่อเสียหน่อย”
“ก็ได้ พี่เทียนอย่างอยู่ดึกนักล่ะ ข้ากลับไปนอนก่อนนะ” หวงสือโบกมือลาเสวียนเทียนแล้วลงจากเขากลับไป
“กระบี่ดุจสายลมไหว...”
“ลมขยับกระบี่ติดตาม...”
....
...........
“ถลาลมหนึ่งกระบี่...”
....
หลังหวงสือกลับไปเสวียนเทียนยังคงฝึกต่อไป
หนึ่งรอบสองรอบ สามรอบ...ห้ารอบ...สิบรอบ
จนกระทั่งหน้าผากชุ่มเหงื่อดั่งฝนชโลมสองมือถือกระบี่ดุจลูกเหล็กพันชั่ง เสวียนเทียนจึงหยุดฝึกกระบี่
ตอนนี้ดวงจันทร์ดวงกลมปีนขึ้นมาบนท้องฟ้าแล้ว ทั่วทั้งนภา ดวงดาวนับไม่ถ้วนออกมาฉายแสง
เสวียนเทียนเสียบกระบี่ไว้ข้างตัวทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้า มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวดวงเล็กดวงน้อยดวงตาคู่หนึ่งซ่อนความรู้สึกหลากหลายเท่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้เอาไว้
อับจนเศร้าโศก ทุกข์ทน เคียดแค้น สุขสม หดหู่
ดวงตาเช่นนี้ไม่ควรจะเป็ของเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีคนหนึ่ง
‘มายังโลกใบนี้ได้สิบสี่ปีแล้ว เส้นทางสิบสี่ปีที่ได้ก้าวผ่านมานี้ยาวไกลยิ่งกว่าทั้งชีวิตของชาติก่อนเสียอีกความทุกข์ที่จำทนมาตลอดสิบสี่ปีนี้ก็มีมากกว่าความทุกข์ในชาติก่อนทั้งชีวิตนัก อีกทั้งสิ่งต่างๆ ที่ได้เผชิญมาตลอดสิบสี่ปีก็ช่างซับซ้อนกว่าชาติก่อนทั้งชาติ’
มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเป็ครั้งนับไม่ถ้วน เสวียนเทียนหวนคิดถึงสิ่ต่างๆ ที่ได้ประสบมาตลอดระยะเวลาสิบสี่ปีที่ผ่านมานี้อีกครั้งหนึ่ง
เสวียนเทียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเื่ของการข้ามโลกนั้นจะมาเกิดขึ้นกับตัวเขาเองหลังชีวิตจบสิ้นลง เขามาเกิดใหม่บนแผ่นดินเสินโจวแห่งนี้
สิบสี่ปีก่อนเสวียนเทียนเกิดในตระกูลเสวียนซึ่งเป็หนึ่งในห้าตระกูลทรงอำนาจทั้งห้าของแผ่นดินเสินโจวและนับั้แ่วินาทีแรกที่เขาเกิด เขาก็กลายเป็ศูนย์รวมของสายตาทุกคู่ในแผ่นดินเสินโจว
เสวียนหงผู้เป็บิดาของเขานั้น เป็บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลเสวียนนามว่าเสวียนสง และเป็อัจฉริยะรุ่นที่สองของตระกูลเสวียน ความสามารถแกร่งกล้าสมกับเป็ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเสวียน
“หลานชายของข้าเสวียนสง อนาคตถูกกำหนดให้ออกท่องทั่วเสินโจวร้อยหมื่นลี้กำราบสิ้นผืนดินใต้ฟ้าทั้งแปดทิศ เป็ลูกรักของ์ ควรตั้งชื่อว่า ‘เสวียนเทียน’” เมื่อเขาเกิดท่านปู่เสวียนสงก็ตั้งชื่อนี้ให้แก่เขา
ในฐานะหลานสายตรงคนโตของตระกูลเสวียนเสวียนเทียนเกิดมาก็ได้รับความรักจนล้นเหลือ คนเคารพนับหมื่น คนอิจฉาอีกนับไม่ถ้วน
ชาติก่อนเขาเป็เด็กกำพร้าคนหนึ่งไม่เคยได้รับความรักมากมายจากครอบครัว ชาตินี้เกิดเป็ลูกหลานตระกูลเสวียนเสวียนเทียนคิดว่าฟ้าคงมีตา ในที่สุดก็หมดทุกข์พบสุขเสียที
ทว่าความสุขทั้งหลายเหล่านี้มาเร็วก็ไปเร็ว
เมื่อเสวียนเทียนอายุสามปีมีสตรีนางหนึ่งนามว่าอินจีมาที่ตระกูลนางเย้ยหยันเพลงกระบี่ของเสวียนหงว่าเหมือนเด็กน้อยจุดไฟ เสวียนหงโกรธจัดขึ้นประมือกับอินจีหนึ่งสนาม ผลปรากฏว่า ถูกอินจีโจมตีกระบี่เดียวแพ้พ่ายนั่นเป็ความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิตของเสวียนหง
หลังประลองอินจีคุยกับเสวียนหงอย่างลับๆ อยู่เนิ่นนาน สองคนคุยกันไม่ลงตัว อินจีจึงโกรธเกรี้ยวออกจากจวนไป
เื่ราวดูเหมือนจะสงบลงแต่กลับไม่เป็เช่นนั้น
เมื่อเสวียนเทียนอายุห้าปีในการประลองใหญ่ของตระกูล ท่านอาสองเสวียนจีลุกขึ้นต่อต้านเสวียนหงท้าประลองเสวียนหงชิงฉายามือหนึ่งของทายาทรุ่นที่สองรวมไปถึงตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล
พลังวัตรของเสวียนจีที่ผ่านมาต่ำว่าเสวียนหงอยู่สามขั้น ห่างชั้นกันมาก ทว่าครั้งนี้พลังวัตรของเสวียนจีกลับก้าวตามทันเสวียนหงโดยไม่มีใครรู้ทั้งยังใช้เพลงกระบี่ลึกลับที่ไม่ใช่ของตระกูลเสวียนทำร้ายเสวียนหงจนาเ็หนักในตอนนั้นผู้นำตระกูลเสวียนสง โกรธกริ้วดุจฟ้าฟาด ตำหนิบุตรคนรองเสวียนจีว่าไม่เห็นความเป็พี่เป็น้องจึงทำร้ายพี่ใหญ่เช่นนี้กล่าวได้ว่าเสวียนจีนั้นมีจิตใจโเี้ลงมือได้อย่างอำมหิตต่อให้ชนะเสวียนหงก็จะไม่มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่เขา ทั้งยังนำยาวิเศษล้ำค่าที่เก็บรักษาไว้ออกมาให้เสวียนหงรักษาอาการาเ็อีกด้วย
หากแต่เื่ก็ยังไม่จบหลายวันหลังจากนั้นผู้นำตระกูลเสวียนสงกลับมีคำสั่งปุบปับปลดบุตรคนโตเสวียนหงออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดผู้นำตระกูลเปลี่ยนให้เสวียนจีมาเป็ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำแทนอีกทั้งกล่าวว่าเสวียนหงใจคดไร้คุณธรรม ขับไล่เขาออกจากตระกูล
เมื่อบิดาประสบเคราะห์เสวียนเทียนก็ได้รับเคราะห์ตามไปด้วย เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลเสวียนพร้อมกันกับบิดามารดาพริบตาเดียวจากฟากฟ้าร่วงสู่ธุลีดิน
เดิมคิดว่าคราวเคราะห์ครั้งนี้จะผ่านพ้นไปแล้วแต่คิดไม่ถึงว่านี่เป็เพียงจุดเริ่มต้น
หลังจากเสวียนเทียนถูกขับไล่ออกจากตระกูลพร้อมกับบิดาเสวียนหงและมารดาหวงเยว่กลับไปพำนักที่บ้านท่านตาหวงหย่วนเฉิงชั่วคราว การล่าสังหารที่ยาวนานหลายปีก็ได้เริ่มต้นขึ้นั้แ่นั้น
สกุลหวงเป็เพียงตระกูลชั้นกลางกำลังรบไม่เข้มแข็ง แต่ถูกศัตรูที่มีฝีมือสูงส่งตามฆ่าจนแม้แต่เสวียนหงก็ได้รับาเ็สาหัส เพียงพริบตาสกุลหวงก็ล่มสลายในสิบคนตายเสียเก้า เหลือคนที่หนีรอดแทบไม่ถึงหนึ่งในสิบคนทั้งยังกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
ระหว่างหนีเอาชีวิตรอดเสวียนเทียนอายุเพียงห้าปี ไม่มีกำลังโต้ตอบแม้แต้น้อย ในวินาทีวิกฤตครั้งหนึ่งท่านตาหวงหย่วนเฉิงปกป้องเขาจากคมกระบี่จนได้รับาเ็สาหัส
เสวียนหงผู้เป็บิดาฝืนร่างกายที่เจ็บหนักพาหวงเยว่เสวียนเทียนกับสายเืสกุลหวง ตีฝ่าหนีออกมาโดยการสังหารคนจนถนนเป็สีเื
การหนีครั้งนี้ยาวนานถึงห้าปีจากเขตอำนาจของตระกูลเสวียนทางตะวันตก หนีมาจนถึงเขตอำนาจของสำนักกระบี่ผู้ทรงอำนาจทางทิศเหนือระยะทางที่เดินผ่านนั้นยาวไกลกว่าแสนลี้ เทียบเท่ากับการเดินรอบโลกในชาติก่อนได้หลายรอบ
หนีมาเรื่อยๆจนถึงเหนือสุดของแผ่นดินเสินโจว ห่างไกลจากเขตอำนาจตระกูลเสวียนและสลัดหลุดจากคนที่ตามล่า มาหยุดอยู่ที่อำเภอแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเป่ยโม่ได้
สายเืสกุลหวงจึงตั้งรกรากลงที่นี่
ตระกูลชั้นกลางตระกูลหนึ่งคนในตระกูลมากกว่าพันคน จำนวนคนที่หนีมาจนถึงอำเภอเป่ยโม่กลับมีไม่ถึงยี่สิบคนนี่นับรวมเสวียนหง เสวียนเทียน และหวงเยว่สามคนเข้าไปด้วยแล้ว
นอกจากนี้หัวหน้าตระกูลอย่างหวงหย่วนเฉิงยังได้รับาเ็สาหัสแม้ว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้แต่พลังวัตรก็ลดลงไปมาก ตกลงไปถึงชั้นเบิกนภาขั้นสาม
โดยเฉพาะเสวียนหงแต่เดิมก็าเ็หนักจากฝีมือของเสวียนจีต่อมาในการล่าสังหารก็ได้รับาเ็ซ้ำแล้วซ้ำอีกอาศัยเพียงหนึ่งลมหายใจยืนหยัดถึงเดินฝ่าถนนสีเืออกมาได้ หลังจากหนีเอาชีวิตรอดเขาเหลือเพียงร่างกลวงๆ เพราะเส้นเอ็นเส้นลมปราณทั่วร่างนั้นขาดสะบั้นจนกลายเป็คนพิการ
คนตระกูลหวงที่เหลือต่างก็ได้รับาเ็หนักถูกทำร้ายจนไม่อาจฟื้นคืน กำลังของตระกูลตกต่ำอย่างมาก
ตระกูลชั้นกลางอย่างตระกูลหวงนับกำลังที่เหลืออยู่ยังสู้ตระกูลเล็กบางตระกูลในอำเภอเป่ยโม่ไม่ได้เลย
ั้แ่เริ่มตั้งรกรากที่อำเภอเป่ยโม่ ตระกูลหวงก็ถูกกีดกันจากสามตระกูลผู้มีอำนาจในอำเภอเป่ยโม่ ซึ่งได้แก่ ตระกูลหนิวตระกูลเฉิง และตระกูลจาง
ตระกูลหวงนอกจากสูญเสียกำลังคนแล้ว ยังมีตระกูลเสวียนที่แสนจะยิ่งใหญ่คอยจดจ้องตามล่าด้วย เมื่อเผชิญหน้าการยั่วยุจากสามตระกูลอย่างตระกูลหนิว ตระกูลเฉิง และตระกูลจาง พวกเขาก็ได้แต่อดทนเสมอ เพื่อให้สามตระกูลมีขอบเขตบ้างตระกูลหวงจึงส่งลูกหลานไปเข้าสำนักใหญ่ๆ ของอาณาจักรเสินเตา
เสวียนเทียนเกิดในตระกูลผู้ฝึกกระบี่ย่อมต้องเข้าสำนักกระบี่์ สำนักกระบี่เพียงสำนักเดียวของราชวงศ์เสินเตา
เสวียนหงไม่กล้าสอนเพลงกระบี่วิถีลมปราณของตระกูลให้แก่บุตรชายเพื่อป้องกันไม่ให้ร่องรอยรั่วไหลทั้งเมื่ออยู่ในสำนักกระบี่์ก็ให้เสวียนเทียนเปลี่ยนชื่อเป็หวงเทียน
เสวียนเทียนในวัยสิบปีครึ่งเข้าสู่สำนักกระบี่์และกลายเป็ศิษย์นอกของสำนักเวลาเพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วสามปีครึ่ง
วันนี้เสวียนเทียนอายุสิบสี่ปีฝึกพลังวัตรได้ถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่เป็ศิษย์นอกธรรมดาๆ คนหนึ่งในสำนักกระบี่์
แต่เดิมเสวียนเทียนเป็ถึงหลานสายตรงของสกุลเสวียนท่านปู่เสวียนสง บิดาเสวียนหงล้วนแต่เป็อัจฉริยะบุคคลอันหาได้ยากยิ่งของเสินโจวพร์จะด้อยได้อย่างไร
เสียดายที่เสวียนเทียนในวัยเด็กเมื่อครั้งถูกล่าสังหารนั้นได้รับาเ็แม้จะไม่ได้สาหัสมากมายแต่ก็ทำให้เส้นเอ็นเส้นลมปราณเสียหายไปส่วนหนึ่ง แม้ไม่ถึงขั้นพิการแต่ก็ทำให้กระทบกับการฝึกวรยุทธ์ของเขาจากอัจฉริยะกลายมาเป็คนธรรมดา
สิ่งที่โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือเสวียนเทียนเป็คนสองภพพลังิญญาแข็งแกร่ง สติปัญญาไม่ด้อยการฝึกฝนเพลงกระบี่จึงเร็วกว่าคนธรรมดาอยู่มากดังนั้นแม้พลังวัตรอยู่ในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แต่กลับมีคุณสมบัติที่จะประกระบี่กับลูกศิษย์ในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าแล้ว
ปกติแล้วศิษย์ในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าน้อยคนจะเป็คู่ประมือของเสวียนเทียนได้จางหู่คนนั้นเป็คนของตระกูลจางแห่งเป่ยโม่ เพราะเื่ความสัมพันธ์ของตระกูลเขาจึงชอบรังแกเสวียนเทียนกับหวงสืออยู่เสมอจางหู่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในขั้นสูงสุดของชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าเสวียนเทียนจึงพ่ายแพ้ให้กับเขา
“เสวียนจี...เ้าคนชั้นต่ำชั่วช้า เ้าบีบบังคับท่านปู่ทำตระกูลประสบเื่ร้ายวุ่นวาย ทำบิดาข้าาเ็สาหัสเส้นลมปราณขาดสะบั้นกลายเป็คนพิการ ล่าสังหารข้านับหลายหมื่นลี้ อีกทั้งทำลายเส้นลมปราณของข้าถ้าไม่ได้ท่านตาช่วยไว้ ข้าคงตายั้แ่ยังเล็ก แค้นนี้ไม่อาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้ข้าเสวียนเทียนจะสลักในกระดูก จารึกไว้ในหัวใจว่าสักวันหนึ่งเ้าต้องได้ชดใช้เป็สิบเท่า”
“ต้องมีสักวันหนึ่ง ข้าจะใช้กระบี่ในมือตัดหัวบนคอของเ้าเอาชีวิตสุนัขของเ้า แล้วยังผู้หญิงชั้นต่ำอินจีผู้นั้น ต้นเหตุของเหตุพลิกผันทั้งหมดนี่นอกจากเ้าแล้วยังจะมีใครอื่นอีก ไม่ว่าเ้าจะมาจากไหน เป็ปีศาจร้ายจากที่ใดต้องมีสักวันที่ข้าจะสังหารเ้าเสีย พลังที่เ้ามีข้าจะจับถอนรากถอนโคน ทำลายให้หมดสิ้น”
ทุกครั้งที่ย้อนคิดความแค้นที่เสวียนเทียนมีต่อเสวียนจีกับอินจีก็ยิ่งลึกล้ำเข้าไปอีกหนึ่งขั้นมือเขาชูขึ้นฟ้า เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สาบานหนักแน่น
แม้ว่าเสวียนเทียนจะได้แต่คาดเดาแต่ในใจนั้นรู้สึกมั่นใจอย่างที่สุดว่าเสวียนจีจะต้องบีบบังท่านปู่เสวียนสงมิเช่นนั้นแล้วเสวียนหงที่เป็บุตรที่เขาพอใจที่สุดเสวียนเทียนหลานคนโตที่เขารักที่สุด ไหนเลยเขาจะเปลี่ยนคำปุบปับไร้เหตุไร้ผลขับเสวียนหงออกจากตำแหน่งผู้สืบทอด ทั้งยังออกคำสั่งสังหารไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้
แล้วคนที่สามารถบีบบังคับเสวียนสงและทำให้เสวียนจีเก่งกาจขึ้นชั่วข้ามคืนได้นั้นจะเป็ใครไปได้เสียอีกนอกจากอินจีผู้ลึกลับที่ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้าผู้ซึ่งเคยล้มเสวียนหงได้ด้วยกระบี่เดียว
เหง่ง...
ระฆังบอกเวลาทอดเสียงยาวดังมาจากหน้าูเา
เสวียนเทียนมองท้องฟ้าดวงจันทร์ขึ้นไปถึงตรงกลางศีรษะแล้ว
ยามจื่อมาถึงแล้วเสียงระฆังดังครั้งสุดท้ายของวันเตือนลูกศิษย์ที่ยังไม่หลับใหลว่าสมควรนอนได้แล้วหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยามจะมีผู้ดูแลสำนักนอกมาตรวจเวรกลางคืนเพื่อตรวจตราศิษย์นอกของสำนัก
เสวียนเทียนปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากเหงื่อพวกนี้เหลือมาจากการฝึกกระบี่เมื่อครู่ต่อมา เมื่อนึกย้อนถึงเื่ร้ายที่เผชิญมาสิบสี่ปีในใจของเสวียนเทียนก็เต็มไปด้วยไฟแค้น ร่างกายร้อนรุ่ม เหงื่อไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นไปอีก
“ห่างออกไปร้อยเมตรทางทิศตะวันออกมีบึงน้ำอยู่แห่งหนึ่งล้างเนื้อตัวให้สะอาดแล้วลงเขาไปนอนพัก คืนพรุ่งนี้ค่อยฝึกกระบี่ต่อ จะต้องก้าวข้ามจางหู่ให้เร็วที่สุด”
เสวียนเทียนเดินไปทางทิศตะวันออกตัดผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ไม่นานก็มาถึงริมบึงแห่งหนึ่ง
ยามนี้ดวงจันทร์ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือบึงพอดิบพอดีในบึงเกิดเป็เงาสะท้อนกลับหัวเป็ดวงจันทร์กลมโตกำลังจมอยู่กลางบึงน้ำ
“หืม…?”
เสวียนเทียนขมวดคิ้วอย่างแปลกใจพลางพูดขึ้นว่า “ในดวงจันทร์ทำไมมีสิ่งของอยู่กัน?”
เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนฟ้ากลมเกลี้ยงขาวกระจ่างไม่มีตำหนิ
เสวียนเทียนก้มหน้ามองเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในบึงน้ำใหม่อีกครั้งมีเงาดำสายหนึ่งพาดอยู่ในดวงจันทร์จริงๆ
“นั่นคือ...” เสวียนเทียนเพ่งสายตามองอยู่นาน “กระบี่เล่มหนึ่ง?”
ไม่ผิดตอนนี้ผิวน้ำนิ่งสนิท ไม่มีคลื่นน้ำ เสวียนเทียนมองเห็นชัดเจนในเงาสะท้อนของดวงจันทร์กลางบึง มีกระบี่เล่มหนึ่งปักอยู่จริงๆ
ในบึงมีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง?
บึงน้ำแห่งนี้เสวียนเทียนเคยมาอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ฝึกกระบี่จนเหงื่อออกก็จะมาล้างตัวที่บึงน้ำแห่งนี้ หลังจากนั้นค่อยลงเขาไปนอน
เส้นลมปราณของเขาถูกทำลาย พร์ต่างกับคนธรรมดาไม่เท่าไรนัก คิดอยากก้าวขึ้นมาเหนือคนอื่นก็มีแต่ต้องพากเพียรตรากตรำฝึกฝนเท่านั้น เช่นนี้จึงจะก้าวข้ามคนอื่นได้ถึงจะมีความหวังที่จะล้างแค้นได้
ลูกศิษย์คนอื่นๆเห็นเพียงแค่เสวียนเทียนผู้มีพลังวัตรจากการฝึกยุทธ์ขั้นสี่เท่านั้น ซึ่งมีความสามารถพอจะประมือกับลูกศิษย์ที่มีพลังวัตรชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าแต่พวกเขาไม่เห็นว่าเสวียนเทียนตรากตรำฝึกกระบี่มากกว่าคนอื่นอยู่หนึ่งถึงสองชั่วยามทุกๆ วัน
“กระบี่ในบึงน้ำเป็กระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่งที่คนอื่นโยนทิ้งส่งๆ ไว้หรือว่าจะเป็กระบี่วิเศษที่มีคนทำหายกันนะ”
ในวินาทีนั้น ใจของเสวียนเทียนคิดอยากลงไปพิสูจน์ที่ก้นบึงให้รู้กันไป
ถ้าหากเป็เพียงกระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่งก็ไม่เป็ไร แต่ถ้าเป็กระบี่วิเศษ เช่นนั้นก็นับว่าได้กำไรครั้งใหญ่
อาวุธบนแผ่นดินเสินโจวแบ่งเป็สี่ชั้นชั้นนภา ชั้นปฐี ชั้นนิล ชั้นทอง แต่ละชั้นแบ่งออกเป็ระดับสูง กลาง ล่างรวมทั้งหมดสี่ชั้น สิบสองระดับ
อาวุธชั้นทองล้วนเป็อาวุธธรรมดา ช่างตีเหล็กตีหล่อขึ้นมา แต่อาวุธชั้นนภาชั้นปฐีและชั้นนิลเป็อาวุธที่ปรมาจารย์อาวุธที่เป็ที่เคารพแห่งแผ่นดินเสินโจวสร้างขึ้นมา
ปรมาจารย์อาวุธย่อมเป็ช่างตีเหล็กแต่ช่างตีเหล็กไม่แน่ว่าจะได้เป็ปรมาจารย์อาวุธช่างตีเหล็กบนแผ่นดินเสินโจวมีมากเหมือนขนวัวแต่ปรมาจารย์อาวุธหายากเหมือนขนหงส์เกล็ดกิเลน
กระบี่วิเศษจากชั้นนิลระดับล่างเล่มหนึ่งก็เพียงพอที่จะเพิ่มพูนความสามารถของผู้ใช้กระบี่ได้แล้วอย่างน้อยก็มีค่าถึงสิบหมื่นตำลึงทอง หรือเท่ากับเงินหลายร้อยหมื่นตำลึง
สกุลหวงครั้งที่มาตั้งรกรากที่เมืองเป่ยโม่ ทรัพย์สินที่นำติดตัวมาด้วยมีไม่มากนัก เวลานี้ผ่านไปสามปีสภาพความเป็อยู่ของตระกูลอัตคัดขัดสนเป็อย่างมาก ถ้ามีเงินหลายร้อยหมื่นตำลึงก็จะสามารถทำให้สกุลหวงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
หรือต่อให้เป็กระบี่ธรรมดากระบี่ชั้นทองระดับล่างก็ยังมีค่าเป็เงินหลายสิบตำลึงกระบี่ชั้นทองระดับกลางมีค่าเป็เงินหลายร้อยตำลึงกระบี่ชั้นทองระดับสูงมีค่าเป็เงินหลายพันตำลึง ถ้าหากตัวกระบี่ผสมโลหะพิเศษไว้ด้วยก็นับว่าเป็กระบี่ชั้นดีที่ดีรองลงมาจากบรรดากระบี่วิเศษมีค่าได้เป็เงินถึงหลายหมื่นตำลึง หรืออาจะหลายสิบหมื่นตำลึง
“ต๋อม...”
เสวียนเทียนพลันลงไปในบึงน้ำ
“หนาวมาก...”
เสวียนเทียนอดหนาวสั่นไม่ได้น้ำในบึงแห่งนี้ดันหนาวจัดผิดปกติ
ตอนนี้เป็่เดือนแปดพอดี ร้อนหาใดเปรียบ บึงน้ำนี้ เสวียนเทียนจะมาลงอาบตอนกลางคืนแทบทุกวันก่อนหน้านี้ไม่กี่คืนตอนอยู่ในน้ำเขายังรู้สึกสบายมากอยู่เลยคืนนี้กลับรู้สึกหนาวทิ่มแทงกระดูก
ทว่า...
“เพื่อกระบี่วิเศษ...เพื่อเงิน...ต้องสู้...!”
เสวียนเทียนกัดฟันที่สั่นกึกๆทำใจให้มั่น กลั้นลมหายใจดำดิ่งลงไปยังก้นบึง
บึงน้ำแห่งนี้ไม่ได้ตื้นสักนิดเสวียนเทียนยังไม่เคยดำไปถึงก้นบึงมาก่อน
นาทีนี้ไม่เพียงน้ำในบึงหนาวเยือกเสียดแทงกระดูกลมหายใจที่กลั้นมาได้สักพักก็เริ่มทำให้รู้สึกทรมานมาก
แต่เสวียนเทียนไม่ใช่คนที่จะยอมท้อถอยง่ายๆเขาอดทนต่อความหนาวเย็น กัดฟันแน่น ดำต่อลงไปยังก้นบึง
ดำลึกลงไปเกือบสิบเมตร ในที่สุดเสวียนเทียนก็มาถึงก้นบึง เมื่อตัวอยู่ในน้ำเสวียนเทียนย่อมมองไม่เห็นเงาของพระจันทร์ แต่ตรงกลางก้นบึง ดูเหมือนจะมีเงากระบี่เล่มหนึ่งปักเอนอยู่
เงากระบี่นั้นราวกับภาพฝันดั่งภาพมายา บิดเบี้ยวไปมาตามสายน้ำที่ขยับเคลื่อนไหวไม่เหมือนสิ่งของที่มีอยู่จริง ประหลาดเป็ที่สุด
เสวียนเทียนเพิ่งว่ายมาถึงข้างกระบี่เงากระบี่กลับส่องประกายเจิดจ้า ลำแสงสีขาวบาดตาสายหนึ่งพุ่งเข้ามาที่หว่างคิ้วของเสวียนเทียน
“เฮ้ย..”
เสวียนเทียนหลุดร้องใออกมาคำหนึ่งโดยสัญชาตญาณสองมือจับหน้าผาก ลืมไปว่าตนอยู่ก้นบึง ร่างกายเริ่มขยับดิ้นรน
ที่น่าแปลกก็คือน้ำในบึงดูเหมือนจะไม่กระทบกับการหายใจของเสวียนเทียน
นาทีนี้เื่ประหลาดอย่างการหายใจในน้ำได้นั้นเสวียนเทียนไม่ทันสนใจความสนใจของเขามุ่งไปที่ลำแสงสีขาวบาดตาสายนั้น
ลำแสงสีขาววิ่งเข้ามาที่หว่างคิ้วของเสวียนเทียนกลายเป็กระบี่เล่มเล็กประมาณหนึ่งนิ้วสีขาวประดุจหยกขาวเล่มหนึ่งสลักอยู่ที่กลางหว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นพลังรุนแรงสายหนึ่งก็ทะลักทลายออกมาจากกระบี่น้อยสีขาวสะอาดเล่มนั้น พริบตาก็แผ่ไปทั่วร่างกายทุกส่วนของของเสวียนเทียน
‘พลังมากมายเหลือเกิน’
นาทีนี้ดวงตาของเสวียนเทียนราวกับมองเห็นภายในร่างกายของตัวเองเห็นอย่างชัดเจนว่ากระบี่น้อยสีขาวตรงหว่างคิ้วของตนเล่มนั้นแผ่รัศมีสีขาวพิสุทธิ์วิ่งไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง ทำให้กำลังของเขาเพิ่มพรวดขึ้นมา
พริบตานั้นกระดูกของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตัวกระดูกเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปแวววาวส่องประกายประดุจหยกงามเส้นปราณของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมในร่างเนื้อของเขา สิ่งแปลกปลอมสีดำเป็ก้อนๆ ถูกขับออกไปทางรูขุมขนิักลายเป็ทั้งนุ่มทั้งแข็งแกร่ง เต็มไปด้วยพลังใต้ผิวยังมีชั้นอีกชั้นหนึ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่เ้าชั้นนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าิั รู้สึกถึงความทนทาน
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือปราณจำนวนมากมายที่แผ่ออกมาจากกระบี่เล่มน้อยสีขาวทะลักเข้ามาในเส้นปราณทั่วร่างของเสวียนเทียน
พริบตานั้นพลังวัตรของเสวียนเทียนก็ทะยานเพิ่มขึ้นจากชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่บรรลุชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า เส้นปราณภายในร่างขยายไปหนึ่งรอบภายในเปี่ยมไปด้วยลมปราณ รู้สึกว่าทั้งร่างอัดแน่นด้วยพลัง
ปราณบริสุทธิ์ที่ทะลักออกมาจากกระบี่น้อยสีขาวยังไม่หมดยังคงทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ชะล้างเส้นปราณทุกเส้นในร่างของเสวียนเทียนเส้นปราณของเสวียนเทียนยิ่งขยายไปอีกหนึ่งรอบตามพลังปราณที่ยิ่งเข้ามาเติมเต็มพลังเพิ่มพรวดหลายเท่า พลังวัตรลุเข้าสู่ชั้นใหม่อีกครั้ง
ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก
ใน่เวลาแสนสั้นนี้พลังวัตรของเสวียนเทียนเลื่อนระดับชั้นติดต่อกันไปถึงสองชั้นจากชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก้าวเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก
นอกจากนี้ร่างทั้งร่างยังผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก เส้นปราณทั้งหมดในร่างถูกสร้างขึ้นใหม่อาการาเ็ก่อนหน้านี้สลายไปดั่งเมฆที่ลอยห่างหายลับไป พลังในร่างเพิ่มพรวดพราด เทียบกับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้วแทบไม่แตกต่างกัน
“นี่มัน..เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในใจของเสวียนเทียนตกตะลึงพรึงเพริดทันใดนั้นเขาก็คิดถึงนิยายต่างโลกที่เคยอ่านเมื่อชาติที่แล้ว ในใจคิด “หรือข้าจะเก็บของวิเศษได้?”
พอคิดแบบนี้ความตื่นตระหนกในใจก็กลายมาเป็ความตื่นเต้นยินดี
ทว่าเสวียนเทียนยังไม่ทันได้ดื่มด่ำกับความยินดีนี้ตรงหว่างคิ้วของเขาก็ส่งคลื่นพลังรุนแรงสายหนึ่งออกมาทำเอาทั้งศีรษะของเขาได้ยินเสียงดัง ‘วิ้ง’ พลันสติสัมปชัญญะลางเลือนแล้วหมดสติไป
มึนๆ งงๆไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร
เมื่อเสวียนเทียนได้สติกลับมาอีกครั้งฟ้าก็สว่างแล้ว เขากลับมาอยู่ในสำนัก นอนอยู่บนเตียงของตัวเอง
“ศิษย์พี่หวง ท่านตื่นแล้วหรือ?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณสิบสองสิบสามยืนอยู่ข้างเตียงของเสวียนเทียนถามขึ้น
บนแผ่นดินเสินโจวมีตระกูลแซ่หวงไม่น้อยแต่ตระกูลแซ่เสวียนมีเพียงหนึ่ง เมื่อกราบเข้าสำนักกระบี่์เสวียนเทียนใช้ชื่อว่า ‘หวงเทียน’ ในสำนักกระบี่์ ชื่อจริงของเขามีเพียงญาติผู้น้องหวงสือเท่านั้นที่รู้
เด็กหนุ่มคนนี้เข้าสำนักมาพร้อมกับหวงสือมีชื่อว่าหลินตง พร์ธรรมดา สนิทกันกับหวงสือ
ในสำนักกระบี่์ความสามารถของเสวียนเทียนเหนือกว่าศิษย์นอกระดับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าหลายๆ คนหวงสืออาศัยมีเสวียนเทียนคอยดูแลถึงหลีกเลี่ยงการถูกรังแกไปได้มากหลินตงตัวติดอยู่กับหวงสือก็พลอยได้พึ่งบารมีของเสวียนเทียนไปด้วยหลบเื่ลำบากไปได้มากโข
ดังนั้นในใจและสายตาของหลินตงมีแต่เคารพนับถือเสวียนเทียน
เสวียนเทียนมองหลินตงด้วยแววตาสับสนถามขึ้นว่า “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
หลินตงตอบว่า“ศิษย์พี่หวง เมื่อคืนวานท่านหมดสติอยู่กลางบึงซ่อนกระบี่ที่เขาด้านหลังผู้ตรวจตราเวรกลางคืนเห็นว่าพี่ไม่ได้กลับมาเมื่อคืนถามหวงสือถึงรู้ว่าพี่ฝึกกระบี่อยู่ที่เขาด้านหลังเป็ผู้ตรวจตราเวรกลางคืนช่วยท่านกลับมา”
“เขาด้านหลัง? บึงซ่อนกระบี่?”
ในห้วงความคิดของเสวียนเทียนพลันฉายภาพความทรงจำเมื่อคืนวานขึ้นมา เขาดำลงไปที่ก้นบึง ตามหาเงากระบี่ในบึง
ปรากฏว่า...
เงากระบี่นั้นฝังเข้าไปตรงกลางหว่างคิ้วของเขาแผ่ปราณมหาศาลออกมา ทำให้พลังวัตรเข้าเพิ่มพรวดพราดเลื่อนระดับชั้นต่อเนื่องกันถึงสองชั้น ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก
‘นี่...ที่จริงเป็ฝันตื่นหนึ่งหรือเป็เื่จริงกันแน่?’ ในใจของเสวียนเทียนครุ่นคิดสงสัย
อยากดูให้ชัดอีกครั้งว่ากลางหว่างคิ้วของตนมีกระบี่สีขาวเล่มน้อยอยู่หรือไม่แต่ไม่ว่าอย่างไรเสวียนเทียนก็ไม่อาจมองเข้าไปในร่างจนเห็นกลางหว่างคิ้วได้เหมือนเมื่อคืน
ไม่อาจมองหว่างคิ้วของตนได้เสวียนเทียนได้แต่ทดสอบจากระดับพลังวัตร ว่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจริงหรือไม่จริง
พอโคจรลมปราณในใจเสวียนเทียนก็พลันพลุ่งพล่านยินดี
ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก!
เข้าสู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกแล้วจริงๆ!
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานทุกสิ่งเป็อยู่จริงไม่ใช่เพียงฝันตื่นหนึ่ง
ถ้าเช่นนี้กระบี่น้อยสีขาวกลางหว่างคิ้วเล่มนั้นก็คงยังอยู่แน่แท้ กระบี่น้อยเล่มนั้นแท้จริงแล้วคือ ‘สิ่งใด’ ถึงกับสามารถฝังเข้ามาในร่างคน แทรกมาอยู่กลางหว่างคิ้วได้
เสวียนเทียนขบคิดไม่แตกบนแผ่นดินเสินโจว ต่อให้เป็ดาบวิเศษชั้นนภาระดับสูงที่สุดก็ไม่เคยได้ยินว่าผสานเข้ามาอยู่ตรงหว่างคิ้วได้
ในใจแม้ว่าจะยินดีแต่ใบหน้าของเสวียนเทียนไม่เผยอารมณ์ออกมาให้เห็นแม้แต่น้อยเขารู้ว่าเื่นี้ต้องเป็เื่ใหญ่มาก หากเปิดเผยออกไป ไม่เป็ผลดีแก่ตัวเขาแน่
เสวียนเทียนรีบบังคับตนเองให้เก็บความดีใจเอาไว้ถามว่า “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าบึงน้ำที่เขาด้านหลังนั้นเรียกว่า ‘บึงซ่อนกระบี่’”
เสวียนเทียนเข้ามาในสำนักกระบี่์สามปีกว่าแล้วเข้ามาก่อนหลินตงหนึ่งปี ทบทวนดูแล้วเขารู้มากกว่าหลินตงอยู่หลายเื่
แต่เสวียนเทียนกลับไม่รู้เลยว่าบึงน้ำที่เขาด้านหลังมีชื่อเรียกหลิงตงกลับรู้ ทำให้เขาประหลาดใจ
หลินตงกล่าวว่า“ผู้ตรวจตราเวรกลางคืนที่ช่วยท่านกลับมาเมื่อคืนเป็คนพูดเขาเล่าว่าบึงน้ำแห่งนั้น เมื่อถึงคืนวันเพ็ญเดือนแปด จะปรากฏเงากระบี่เล่มหนึ่งแต่คนที่ลงไปดูกลับไม่เจออะไร ดังนั้นเลยเรียกกันว่า “บึงซ่อนกระบี่”ั้แ่หลายสิบปีก่อน ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในสำนักกระบี่์ก็มีอยู่แล้วแม้แต่ผู้าุโคนในของสำนัก หรือเ้าสำนักเองก็เคยลงไปสำรวจใต้ ‘บึงซ่อนกระบี่’ แต่ไม่พบว่ามีสิ่งใดอยู่ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เมื่อครั้งโน้นเป็ที่สนใจกันอยู่พักหนึ่ง ต่อมา เพราะใน ‘บึงซ่อนกระบี่’ ไม่มีสิ่งใดอยู่จริงๆผู้คนก็ค่อยๆ หลงลืมไป”
ปีก่อนๆคืนวันเพ็ญเดือนแปดเสวียนเทียนไม่ได้ไปที่ ‘บึงซ่อนกระบี่’ ปีนี้เป็ปีแรกที่ไปตรงกับคืนวันเพ็ญเดือนแปดพอดิบพอดี
‘คนอื่นลงไปกลับไม่พบกระบี่เล่มนั้น ข้ากลับได้พบทั้งกระบี่ยังแล่นมาอยู่ในหว่างคิ้วของข้าหรือตัวข้าจะมีสิ่งที่แตกต่างไปจากผู้อื่น?’
เสวียนเทียนขบคิดชั่วครู่ก็คิดขึ้นมาได้ คิดในใจว่า ‘ใช่แล้วข้าเป็ดวงิญญาสองชาติ ดวงจิตแกร่งกล้ากว่าผู้อื่นดวงจิตเป็สิ่งกำเนิดจากธรรมชาติ ต่อให้ฝึกวรยุทธ์ถึงขั้นนภาก็ฝึกดวงจิตไม่ได้หรือว่าเพราะดวงจิตที่แข็งแกร่งของข้าััถึงกระบี่ที่ซ่อนอยู่ใน ‘บึงซ่อนกระบี่’ เล่มนั้นได้กัน?’
“กระบี่เล่มน้อยสีขาวเล่มนั้นพอเข้ามาอยู่กลางหว่างคิ้วของข้าก็ทำให้พลังวัตรของข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสองระดับชั้นย่อมไม่ใช่ของล้ำค่าธรรมดาทั่วไปแน่ ไม่รู้ว่าการฝึกฝนของข้าหลังจากนี้จะยังคงรักษาความเร็วแบบนี้อยู่มั้ย? เสวียนจี อินจี...พวกเ้าคู่ชายหญิงสุนัข รอข้าก่อนเถิด อีกไม่นาน ข้าจะทวงหนี้กับพวกเ้า ความแค้นในวันวานจะให้พวกเ้าชดใช้เป็สิบเท่า”
นาทีนี้ในใจของเสวียนเทียนเปี่ยมล้นด้วยพลัง