“ท่านยาย” หลี่หลินเรียกหยางเหล่าฮูหยิน ั้แ่มีคู่หมายนางก็เปลี่ยนไปเป็คนละคน ไม่เงียบขรึมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทั้งยังมีภรรยาหลี่หงคอยชี้แนะอย่างเงียบๆ ทำให้นางสดใสขึ้นมาก
“คารวะปีใหม่ท่านยายเ้าค่ะ” ภรรยาหลี่หงกล่าวขึ้นเช่นกัน
“ขอให้ท่านยายมีความสุขในวันปีใหม่ขอรับ” หลี่ลั่วมาผสมโรงด้วย
ข้อมือของหยางเหล่าฮูหยินสวมกำไลหยกที่หลี่ลั่วมอบให้ หัวเราะฮะๆ พูดกับเขาว่า “ลั่วเกอเอ๋อร์หกขวบแล้ว แค่พริบตาเดียวก็กลับเมืองหลวงมากว่าครึ่งปีแล้ว หงเกอเอ๋อร์แต่งภรรยาแล้วเช่นกัน หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็มีคู่หมายแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ รอปีหน้า ภรรยาหลี่หงคงมีเ้าตัวอ้วนมาเพิ่มอีกหนึ่งคน” หยางฮูหยินกล่าวยิ้มๆ แล้วอุ้มหลานสาวของตนมาหยอกล้อ
“ไม่รีบเ้าค่ะ” หลี่หยางซื่อกล่าว “ิเจี๋ยเอ๋อร์และหงเกอเอ๋อร์ล้วนยังหนุ่มยังสาว สองสามีภรรยาควรจะมี่เวลาที่รักใคร่ปรองดองกัน บำรุงร่างกายให้พร้อมก็ไม่สาย”
หลี่หงและภรรยาหลี่หงหน้าแดง คู่แต่งงานใหม่มักจะตกเป็หัวข้อสนทนาได้อย่างง่ายดาย
“เยียนเอ๋อร์ขอแสดงความยินดีกับพี่หลินด้วยเ้าค่ะ” หยางเหยียนเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าว่าที่สามีของพี่หลินเป็ชายหนุ่มหน้าตาดีมีความสามารถคนหนึ่ง”
หลี่หลินหน้าแดงราวกับผลผิงกั่ว[1] “เยียนเอ๋อร์ดีแต่หัวเราะข้า รอปีหน้าเ้าเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ก็...” คำพูดของนางหยุดไป เห็นหยางเยียนมีสีหน้าซีดเผือด จึงคิดถึงเื่ของนางขึ้นมาได้
“พวกเ้าสองคนช่างเป็สาวน้อยน่าไม่อายนัก” ภรรยาหลี่หงรีบกล่าว “ยังไม่ได้ออกไปก็คิดจะออกเรือนเสียแล้ว”
“ใช่ๆๆ เป็ความผิดของข้าเอง ข้าต้องขอโทษเยียนเอ๋อร์ด้วย” หลี่หลินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
หยางเยียนหัวเราะเล็กน้อยแล้วไม่เอ่ยอันใดอีก
“พวกเ้าคุยกันอยู่ที่นี่ ข้าจะพาหงเกอเอ๋อร์และลั่วเกอเอ๋อร์ไปห้องหนังสือของท่านปู่ เกรงว่าท่านปู่และท่านพ่อจะรอจนร้อนใจแล้ว” หยางช่านกล่าว หยางช่านเป็พี่ชายคนโตของหยางเยียน
“ไปเถิด”
หลี่หยางซื่อและคนอื่นๆ นั้นกลับไปหลังจากกินอาหารมื้อเที่ยง เมื่อยามที่กลับไปนั้น หยางฮูหยินส่งพวกเขาขึ้นรถม้า เพิ่งจะส่งขึ้นรถม้า ข้ารับใช้ก็มารายงานว่า “ฮูหยิน คุณหนูเกิดเื่แล้วเ้าค่ะ”
หยางฮูหยินรีบรุดเข้าไปในเรือนของหยางเยียน เห็นข้อมือของนางมีเืไหลออกมาไม่น้อย ร่างของนางนอนอยู่บนเตียงอย่างอิดโรย “เหตุใด...เหตุใดพวกท่านต้องช่วยข้าเอาไว้?” แขนข้างนี้ มีร่องรอยาแนับไม่ถ้วนแล้ว
“เยียนเอ๋อร์...ลูกรักของข้า เ้าอย่าทำเช่นนี้ นี่เ้ากำลังกรีดหัวใจของแม่”
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วจริงๆ ท่านดูสิเ้าคะ วันนี้วันที่สองเดือนหนึ่ง ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่มีเพียงข้า...ข้าไร้ซึ่งหนทางจะยินดี ข้ายินดีไม่ออก” หยางเยียนกล่าว “ท่านแม่ ในใจของข้าเป็ทุกข์ พี่ชายแต่งงานแล้ว แต่งพี่สาวหน้าตางดงามราวกับหยกสลัก พี่สาวก็มีคู่หมายแล้ว แม้เป็เพียงจวี่เหริน แต่ปีหน้าสอบหน้าพระที่นั่งไม่แน่ว่าจะสอบจิ้นซื่อได้ คนทั้งหมดล้วนกำลังยิ้มแย้ม ข้ารู้สึกว่ารอยยิ้มของพวกเขาทิ่มแทงใจข้า หรือว่าพวกเขาไม่รู้เลยหรือว่าข้าไม่อยากยิ้ม?”
“เ้าวางใจเถิด แม่จะต้องให้ออกเรือนไปอย่างดี เ้าวางใจได้” หยางฮูหยินปลอบโยน
“ท่านแม่ หากว่าข้า้าจวี่เหรินผู้นั้นเล่า?” หยางเยียนถาม
“เ้าพูดอะไรกัน?” หยางฮูหยินตกตะลึง
“ท่านแม่ดูสิเ้าคะ เหตุไฉนถูกผู้อื่นล่วงเกินเช่นเดียวกัน พี่สาวจึงโชคดีเช่นนี้ ถูกคนช่วยเอาไว้ ข้ากลับเสียความบริสุทธิ์? เวลานี้ถือดีเช่นไร นางสามารถมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากความสามารถ ข้ากลับต้องหลบอยู่แต่ในเรือนทุกวัน?” สีหน้าท่าทางของหยางเยียนดุร้ายขึ้นมา “ท่านแม่ เพราะเหตุใดเล่าเ้าคะ? ์ไฉนจึงทำกับข้าอย่างอยุติธรรมเช่นนี้? ข้าไม่กล้าออกไป ข้าเกรงว่าสายตาของทุกคนจะมองข้าต่างออกไป ข้าไม่กล้าออกไปจริงๆ”
“จวี่เหรินผู้นั้นมีอะไรดี? เป็ชายหนุ่มยากจน ครอบครัวยากจนอย่างยิ่ง” หยางฮูหยินกล่าว “แม่จะหาให้เ้าดีกว่านี้”
“ดีกว่านี้หรือ? ท่านแม่พูดว่าดีกว่านี้ คือให้ข้าไปเป็อนุของพี่ชายใช่หรือไม่?” หยางเยียนย้อนถาม
“เ้า...” หยางฮูหยินไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร “เยียนเอ๋อร์ เ้ารู้สถานการณ์ของเ้าดี แล้วแต่งไปเป็อนุของพี่ชายไม่ดีตรงไหนเล่า จวนโหวสูงส่ง ฐานะก็ดี แม่สามียังเป็ท่านอาของเ้า ชีวิตเช่นนี้ย่อมดีเป็แน่ อีกทั้งลั่วเกอเอ๋อร์ต่อไปยังต้องไปจวนฉีอ๋อง ถึงเวลานั้นจวนโหวยังคงเป็ของหงเกอเอ๋อร์ อาจจะรอให้เ้าให้กำเนิดบุตรชาย บุตรชายของเ้าจะได้สืบทอดตำแหน่งโหวของจวนโหว”
“ท่านก็พูดแล้วว่าต้องให้กำเนิดบุตรชาย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะให้กำเนิดบุตรชายแน่นอน? อาจจะไม่รอให้ข้าเข้าพิธีปักปิ่น พี่สะใภ้ก็ตั้งครรภ์แล้ว” หยางเยียนกล่าวอีก
“เ้าวางใจ ข้าจะหาวิธีทำให้พี่สะใภ้ของเ้าตั้งครรภ์ไม่ได้ เช่นนี้แล้วท่านอาของเ้ารอไม่ไหว ย่อมต้องให้หงเกอเอ๋อร์แต่งอนุ ถึงเวลานั้นเ้า...”
“ข้าไม่้า” หยางเยียนขัดคำพูดของนาง “ข้าไม่้าเป็อนุ ท่านแม่ เมื่อแรกเริ่มองค์หญิงฉางหนิงบอกให้พวกเราห้ามแพร่งพรายเื่นี้ ไม่ใช่ยังสามารถให้เรามีเงื่อนไขหนึ่งข้อมิใช่หรอกหรือ? ข้าแต่งกับคนดีๆ ให้องค์หญิงฉางหนิงเป็คนทาบทาม”
นี่...หยางฮูหยินเมื่อแรกไม่ได้คิดถึงเื่นี้ หากองค์หญิงฉางหนิงสามารถเป็ผู้ทาบทาม เช่นนั้นดียิ่ง “แม่จะไปคิดดู คัดเลือกคน ดูว่าเ้าชอบหรือไม่ หากว่าชอบค่อยไปจวนองค์หญิงฉางหนิง ขอให้นางช่วย”
“ขอบคุณท่านแม่เ้าค่ะ” หยางเยียนโผเข้ามาในอ้อมกอดของหยางฮูหยิน นางจะต้องแต่งออกไปกับคนดีๆ ดีกว่าว่าทีสามีซิ่วไฉของหลี่หลินอีก
วันที่สามเดือนหนึ่ง หลี่หงและภรรยาหลี่หงกลับไปบ้านสกุลหลี่ว์
วันที่สี่เดือนหนึ่ง จวนโหวทั้งครอบครัวไปจวนจงกั๋วกง
วันที่ห้าเดือนหนึ่งเป็วันที่ยิ่งใหญ่วันหนึ่ง หนึ่งคือเป็วันต้อนรับเทพเ้าแห่งโชคลาภ สองคือเป็วันเกิดของหลี่เหล่าไท่เหฺย หลี่เหล่าไท่เหฺยผู้นี้ แม้จะมีความเลอะเลือนอยู่บ้าง แต่ชีวิตของเขาถือว่าไม่เลวเลย ในฐานะบุตรอนุของจวนจงกั๋วกง มารดาใหญ่ในครั้งนั้นปฏิบัติต่อเขาไม่เลว ต่อมาเส้นทางขุนนางของเขาก็ไม่เลว มีตำหนิเพียงเล็กน้อยก็คือภรรยาคนที่สองของเขา เวลานี้เกษียณแล้ว ดำเนินชีวิตสบายๆ และในยามนี้ก็ถึงวันเกิดของเขาแล้ว
หลี่เหล่าไท่เหฺยในวัยหกสิบสองปี แม้จะไม่ใช่วันเกิดครบรอบใหญ่ แต่เนื่องด้วยไม่ได้จัดงานวันเกิดเมื่อครบหกสิบปี ดังนั้นวันที่ห้าจึงจัดอย่างใหญ่โต
หลี่เหล่าไท่เหฺยรั้งตำแหน่งขุนนางถึงขั้นสาม เพื่อนขุนนางในราชสำนักมีไม่น้อย ยังมีจวนชิ่งป๋อ จงกั๋วกง สกุลหลิน...และผู้ที่มีความสัมพันธ์จากการเกี่ยวดองแต่งงาน ล้วนได้เชิญมาทั้งสิ้น
ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นก็คือ พ่อบ้านกู่เป็ตัวแทนของฉีอ๋องมามอบของขวัญ
เมื่อหลี่ลั่วเห็นพ่อบ้านกู่ เขาไม่เพียงแต่ประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น “ไฉนท่านจึงมาได้?”
“เรียนเสี่ยวโหวเหฺย นี่เป็น้ำใจเล็กน้อยของจวนฉีอ๋อง ก่อนท่านอ๋องจะออกเดินทางได้กำชับเอาไว้ว่า อย่าได้ลืมการได้รับมาแล้วตอบแทนไปตามธรรมเนียมมารยาทขอรับ” พ่อบ้านกู่กล่าว
“ท่านพี่ฉีอ๋องมีใจแล้ว” คนผู้นั้น...เพื่อให้หน้าตน
หลังจากผ่านเทศกาลตรุษจีน ต้นเดือนสอง ที่นาห้าสิบหมู่ของหลี่ลั่วก็เก็บเกี่ยวอ้อย อ้อยในจำนวนสี่สิบห้าหมู่นั้นนำมาทำเป็น้ำตาล หนึ่งหมู่สามารถทำเป็น้ำตาลแดงได้หนึ่งชั่ง และราคาของน้ำตาลแดงก็คือน้ำตาลแดงหนักหนึ่งตำลึง[2]เท่ากับเงินหนึ่งตำลึง
อ้อยอีกห้าหมู่นั้นหลี่ลั่วตั้งใจส่งไปซีเป่ย ที่ดินหนึ่งหมู่มีอ้อยราวๆ สามพันต้น หากเป็ที่ดินห้าหมู่จะมีอ้อยประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันต้น
อ้อยนั้นเก็บรักษาง่าย ทิ้งไว้เป็เดือนก็ไม่เสีย ดังนั้นอ้อยจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันต้น มีองครักษ์จำนวนสองร้อยนายของจวนฉีอ๋องคุ้มกันส่งไป เริ่มเปิดเส้นทางการส่งของไปซีเป่ย
ขณะเดียวกัน ด้วยหลี่ลั่วยินดีที่เก็บเกี่ยวอ้อยได้ จึงส่งอ้อยไปตามเรือนต่างๆ อ้อยมัดหนึ่งมีหกต้น เรือนว่านโซ่ว เรือนใหญ่ เรือนที่สาม ส่งไปที่ละมัด สกุลหลี่ว์ จวนจงกั๋วกง จวนสกุลหยาง หลี่จิง จวนแม่ทัพอวี๋ ส่งไปที่ละสองมัด ขาใหญ่ของเขาจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นส่งไปหกมัด
“ที่นาที่ปลูกอ้อยของเ้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว หวานยิ่งนัก” จ้าวหนิงฮ่องเต้กัดไปหนึ่งคำ “ไม่เลว ยังคงเป็คนชอบกินอยู่นั่นเอง”
หลี่ลั่วนั่งหัวเราะอย่างภาคภูมิใจอยู่บนเก้าอี้ “เสี่ยวเฉินว่าจ้างชาวนาผู้หนึ่งดูแลสวนผลไม้ จากนั้นจ้างบ่าวรับใช้หลายคน เสี่ยวเฉินชอบกิน ไม่ใช่เพื่อสร้างความผาสุกให้ฝ่าาหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
คำพูดเช่นนี้ หากเป็ผู้อื่นคงไม่กล้าพูด
“ดูไปแล้ว ยังคงเป็เจิ้นที่เอาเปรียบเ้า เ้าปลูกอ้อยเป็จำนวนเท่าใดรึ?”
หลี่ลั่วยื่นนิ้วมือทั้งห้าออกมา “ห้าสิบหมู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ห้า...” จ้าวหนิงฮ่องเต้เกือบจะเดาว่าห้าหมู่เสียแล้ว กลับกลายเป็ห้าสิบหมู่ไปเสียนี่ “เ้าปลูกมากเพียงนั้นเพื่อทำอันใด?”
“ปลูกเล่นๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมให้คนส่งไปซีเป่ยแล้ว องค์รักษ์ของจวนฉีอ๋องคุ้มกันส่งไป อย่างไรเสียพวกเขาอยู่จวนฉีอ๋องก็ไม่มีเื่อันใดให้ทำ ได้รับเงินเดือนเปล่าๆ หางานให้พวกเขาทำเล็กน้อย เมื่อเก็บเกี่ยวอ้อยครั้งนี้ ยังเป็พวกเขาที่ไปช่วย” หลี่ลั่วกล่าว
ฮ่าๆๆ...จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวเราะดังลั่น “เ้าพูดเช่นนี้ องครักษ์มากมายในวังหลวงของเจิ้นไม่มีเื่อันใดทำ เ้าก็จะหางานให้พวกทำด้วยหรือไม่?”
“ไม่ๆๆ พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วรีบส่ายหน้า “พวกเขาต้องคอยอารักขาความปลอดภัยของฝ่าา นั่นจึงจะเป็เื่สำคัญพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูปากของเ้าพูดจาเข้า หลังจากเ้าเก็บเกี่ยวอ้อยแล้ว ยังมีสิ่งใดจะส่งมาให้เจิ้นอีกเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เขาเกรงว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะกลายเป็ฮ่องเต้นักกิน
“เดือนสามกินเฉ่าเหมย เดือนห้ากินอิงเถา เดือนหกและเดือนเก้ากินองุ่น เดือนเจ็ดกินแตงโม ลูกท้อ และสาลี่พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วเอ่ยพร้อมกับนับนิ้ว
จ้าวหนิงฮ่องเต้ฟังแล้วถึงกับตกตะลึง เ้าเด็กน้อยคนนี้วันๆ คิดถึงแต่เื่กิน แล้วยังทำได้อย่างเป็จริงเป็จัง ดูราวกับว่าคิดถึงแต่เื่กินทั้งคืนทั้งวัน ช่างร้ายกาจนัก
ั์ตาของไห่กงกงแทบจะหลุดออกมานอกเบ้าแล้ว เสี่ยวโหวเหฺยเป็ถึงโหวเหฺยท่านหนึ่ง อยากจะกินอะไรไปหาซื้อมาก็พอแล้ว ไฉนจึงคิดถึงขั้นต้องลงไปปลูกเอง
หลี่ลั่วเห็นท่าทางของพวกเขาแล้ว มุมปากจึงยกยิ้มโค้งขึ้น “ฝ่าา ท่านไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ สิ่งของที่ตนเองปลูกนั้นก็คือการปลูกเล่นๆ ตามอารมณ์ รอให้เฉ่าเหมยกินได้แล้ว เสี่ยวเฉินจะพาฝ่าาไปเที่ยวหมู่บ้านของเสี่ยวเฉินสักหนึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ? ถึงเวลานั้นฝ่าาสามารถเก็บเฉ่าเหมยเสวยเองได้ สนใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เช่นนั้นตกลงตามนี้ เจิ้นจะรอ”
“เสี่ยวเฉินนั้น คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้วยากนักที่จะเอาคืน”
หลังจากหลี่ลั่วจากไปแล้วนั้น จ้าวหนิงฮ่องเต้ถอนใจ “นำอ้อยเหล่านี้แบ่งไปที่ฮองเฮา กุ้ยเฟย และเจาอี๋ ให้พวกเขากิน และต้องกินให้หมด ต้าไห่ เ้าพูดซิ เจิ้นมีลูกชายสามคน แต่ละคนกินดีอยู่ดี พวกเขาเคยคิดถึงเจิ้นหรือไม่? ลั่วเอ๋อร์เป็เด็กอายุห้าขวบ...หกขวบ มีของอร่อยเพียงเล็กน้อยก็จะคิดถึงเจิ้น นี่ช่าง...ลูกชายตนเองยังเทียบไม่ได้กับลูกชายของหลี่ซวี่”
ไห่กงกงฟังแล้วอยากหัวเราะ แต่ไม่กล้าหัวเราะ “เสี่ยวโหวเหฺยอายุยังน้อย รู้จักแต่เล่น เหล่าองค์ชายอายุมากขึ้นแล้ว มีเื่ให้ทำมากมายพ่ะย่ะค่ะ” ความจริงแล้วไห่กงกงอยากจะพูดว่า บรรดาองค์ชายนั้นเื่ผายลมอันใดล้วนไม่มีทั้งสิ้น มีเพียงแต่คิดว่าจะจัดการกับบัลลังก์ัของฝ่าาอย่างไรดี
“เื่ผายลมมากน่ะสิ” จ้าวหนิงร้องฮึเสียงเย็น “ไปๆๆ ไปส่งของเถิด”
[1] ผิงกั่ว (苹果) หมายถึง แอปเปิล
[2] ตำลึง (两) ในที่นี้คือมาตรวัดน้ำหนักในสมัยโบราณ 1 ตำลึง เท่ากับ 50 กรัม น้ำหนัก 10 ตำลึง เท่ากับ 500 กรัม หรือ 1 ชั่ง