คนที่รู้จักเขาล้วนรู้ว่าเขาเป็คนพูดน้อยมาตลอด แต่ละคำพูดที่ออกมาจากปากเป็เหมือนเช่นทองคำที่หาได้ยาก ดังนั้นเมื่อเขากล่าวคำพูดราวกับเป็คำพลอดรักออกมาเช่นนี้ หัวใจของนางพลันเต้นรัวแรง
นางรู้ว่าที่เขาพูดมิใช่เป็คำหวานที่พูดออกมาพล่อยๆ และมิใช่เป็คำพูดเพื่อต้องพักยกสงบศึก แต่เป็คำสัญญาอย่างแท้จริง!
นางเชื่ออย่างหมดจิตหมดใจว่าพวกเขาเป็คนประเภทเดียวกัน!
พวกเขาไม่มีทางให้คำสัญญาง่ายๆ ทันทีที่ให้คำสัญญาแล้ว จะต้องทำให้ได้!
มองสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจและหนักแน่นของเขา ในใจของเฟิ่งเฉี่ยนแน่ใจเหลือเกินว่า เมื่อเขาพูดออกมาแล้วเขาต้องทำได้แน่นอน!
เขาในนาทีนี้ได้ควักหัวใจทั้งดวงออกมาวางเบื้องหน้านาง แทบไม่ทันตั้งตัว ช่างร้อนแรง ป้อมปราการในหัวใจของเฟิ่งเฉี่ยนแทบจะพังทลายลงมา...
นางขอพับเก็บความเย่อหยิ่งทะนงตนของตัวเองไว้ชั่วคราวก่อนได้หรือไม่ ปล่อยวางทุกสิ่งเสียลงบ้าง ไม่ต้องสนใจว่าต่อไปจะเป็อย่างไร ทำเพียงแค่มีความสุขกับความรู้สึกนี้ ััความหวานล้ำและความสุขในวินาทีนี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ลงมือทำทันที!
นางเดินก้าวเล็กๆ เข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา ระหว่างที่เขากำลังมองนางด้วยสายตาตื่นตะลึง นางอ้าแขนทั้งสองข้างออกแล้วโอบไปรอบๆ เอวสอบของเขา พร้อมกับเอนศีรษะแอบอิงกระดูกไหปลาร้าของเขา นางปิดดวงตาทั้งคู่ลงอย่างพึงพอใจแล้วพูดงึมงำ “ตอนนี้ข้าอยากแอบอิงสักครู่ ได้หรือไม่”
ร่างของเซวียนหยวนเช่อแข็งค้าง ราวกับคนทั้งคนถูกสตัฟฟ์เอาไว้ ไม่เคลื่อนไหวใดๆ
มือของเฟิ่งเฉี่ยนกำอาภรณ์ของเขาเอาไว้แน่น...กระอักกระอ่วน เขินอาย!
ไฉนเขาจึงไม่มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเล่า หรือนางคิดไปเองเพียงฝ่ายเดียว
ขณะที่นางกำลังผละออกมานั้น เซวียนหยวนเช่อพลันรัดแขนทั้งสองข้างเข้ามาอย่างแ่า เขาออกแรงรัดร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอดของเขา เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา เฟิ่งเฉี่ยนถึงกับได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงผิดปกติของเขา
“ได้ เมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น!” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นทว่ากลับสั่นสะท้านเล็กน้อย
เฟิ่งเฉี่ยนอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเขาและยิ้มอ่อนหวาน
ความสุขที่สุดในใต้หล้านี้ ไม่มีเื่ใดเกินเื่ของคนทั้งสองคนที่มีจิตใจตรงกัน เมื่อในใจของข้ามีเ้า และในใจของเ้าก็มีข้าอยู่ด้วย ไม่ถามว่าอนาคตเป็อย่างไร อดีตที่แล้วมาเป็อย่างไร อย่างน้อยๆ ณ วินาทีนี้ พวกเราต่างมีกันและกัน ในสายตาของพวกเรามีเพียงกันและกันเท่านั้น!
ไท่จื่อน้อยเงยหน้ามองคนทั้งสองกอดกัน เขาหัวเราะเบิกบานใจแล้วอ้าแขนพลางร้องว่า “เสด็จพ่อ ลูกอยากกอดด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง แล้วทำเหมือนไม่เห็น ไม่สนใจ เอาแต่กอดภรรยาของตนเองต่อไป
ไท่จื่อน้อยทำปากยู่ด้วยน้อยอกน้อยใจ เขาหันไปมองเฟิ่งเฉี่ยน “เสด็จแม่ ลูกก็อยากกอดด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนหันหน้าไปมองท่าทางน่าสงสารของเขา คิดจะไปอุ้มเขาขึ้นมา ทว่ากลับถูกเซวียนหยวนเช่อกอดเอาไว้แ่า เขาหันไปพูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “อยากกอดหรือ วันหลังจะหาไท่จื่อเฟยให้เ้าสักคน เ้าจะกอดอย่างไรก็กอดไป!”
ไท่จื่อน้อยกระพริบตาปริบๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงงงัน
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะจนตัวสั่น บทเซวียนหยวนเช่อจะหึงหวงขึ้นมาเขาไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น น่ารักเหลือเกิน!
บนโต๊ะอาหาร สมาชิกของครอบครัวทั้งสามคนร่วมโต๊ะอาหารทานเมื้อเย็นด้วยกัน
กับข้าวบนโต๊ะไม่ได้มากมายนัก ผักสามอย่างเนื้อสามอย่าง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎเกณฑ์ของวังหลวงแล้วถือเป็มื้ออาหารที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่สำหรับครอบครัวธรรมดาสามัญแล้วกลับเป็มื้ออาหารที่อุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่ง
มองเซวียนหยนเช่อและเย่เอ๋อร์ เฟิ่งเฉี่ยนเพิ่งรู้สึกว่าได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวจริงๆ จังๆ เป็ครั้งแรก ความรู้สึกหวานชื่นนั้นเอ่อล้นเต็มหัวใจ
เซวียนหยวนเช่อโบกมือให้กับชิงเหอกูกูและจื่อซูที่ทำหน้าที่คีบกับข้าวอยู่ด้านข้าง “พวกเ้าออกไปให้หมดเถิด!”
รอกระทั่งนางกำนัลออกไปจนหมดแล้ว นิ้วเรียวยาวของเซวียนหยวนเช่อก็หยิบจอกหยกขาวขึ้นมาพูดกับเฟิ่งเฉี่ยนว่า “สุราจอกนี้ ยินดีกับเ้าที่เอาชนะซือคงเซิ่งเจี๋ย ทำให้แคว้นเป่ยเยียนของพวกเรากู้หน้าคืนมาได้!”
เฟิ่งเฉี่ยนยกจอกสุราขึ้นมาแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่ข้าเอาชนะหมากล้อมได้ เป็เพราะได้รับคำชี้แนะจากท่าน ความสำเร็จนี้มีผลงานของท่านอยู่ครึ่งหนึ่ง!”
ชนจอกสุราของนางเบาๆ เซวียนหยวนเช่อจับจ้องสายตามองนางแล้วยกยิ้ม “เช่นนั้น...ดื่มให้พวกเรา!”
เฟิ่งเฉี่ยนถูกสายตาจับจ้องไม่วางตาของเขามองจนจิตใจว้าวุ่น “ดื่มให้พวกเรา!”
ยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดจอก
ไท่จื่อน้อยมองจอกสุราแล้วมองคนทั้งสองตาปริบๆ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกอยากดื่มด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อกวาดสายตามองเขาปราดหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ไม่อนุญาตให้เด็กเล็กดื่มสุรา!”
“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ
เซวียนหยวนเช่อพูดด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “เด็กๆ ดื่มสุราแล้วจะทำให้กลายเป็คนโง่เขลา! เ้าอยากโง่เขลากว่านี้หรือ”
โอ๊ะ นี่มันะเืใจเกินไปแล้ว!
อะไรเรียกว่าเ้าอยากโง่เขลากว่านี้หรือ หมายความตอนนี้เขาก็โง่เขลามากอยู่แล้วเช่นนั้นหรือ
เหตุใดจึงทำร้ายจิตใจคนเช่นนี้!
เฟิ่งเฉี่ยนกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก!
ไท่จื่อน้อยน้ำตาเอ่อคลอดวงตาทันที ปากเล็กๆ นั้นเบ้ออกด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ทว่ากลับไม่กล้าต่อต้าน ได้แต่วางจอกสุราอย่างเชื่อฟัง
เย่เอ๋อร์ผู้น่าสงสาร!
เฟิ่งเฉี่ยนลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา นางคิดจะปลอบใจเขาสักประโยค แต่กลับพบว่าเขาหยิบตะเกียบขึ้นมาเขี่ยแครอทออกจากชามข้าว
เฟิ่งเฉี่ยนห้ามเขาทันที “เย่เอ๋อร์ เลือกกินไม่ได้! เด็กที่เลือกกินจะไม่สูง!”
ไท่จื่อน้อยมองมาด้วยสายตาเปล่งประกายวิบวับ “แต่เสด็จแม่ก็เลือกกินเช่นกันนี่นา!”
เฟิ่งเฉี่ยนก้มลงมองกองแครอทที่วางอยู่ข้างชามข้าวของตนเอง หน้าพลันร้อนซู่
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซวียนหยวนเช่อกำลังมองมาด้วยสายตารอดูละครฉากดีๆ อยู่ ภาพลักษณ์ของมารดาผู้การุณย์ที่นางพยายามทำอย่างไม่ง่ายดายพังทลายลงในชั่วพริบตา!
ทว่า นางเป็ใครกันเล่า หนังหน้าของนางหนายิ่งกว่ากำแพงเหล็กเสียอีก ไหนเลยจะถูกเื่เล็กแค่นี้ทำให้ลำบากใจได้
นางกระแอมกระไอให้คอโล่ง แล้วพูดอย่างมีเหตุผลว่า “ผู้ใดบอกว่าเสด็จแม่เลือกกิน เสด็จแม่เพียงแค่ไม่ชอบที่แครอทเหล่านี้มันแยกกัน เสด็จแม่ชอบนำพวกมันมารวมไว้ด้วยกันแล้วกินเข้าไปในคำเดียว แบบนี้จึงจะยิ่งอร่อย!”
พูดแล้วนางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบแครอทคำหนึ่งส่งเข้าปากอย่างฝืนๆ
นางมีสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อเคี้ยวช้าๆ “ดูสิ แครอทต้องกินเช่นนี้!”
เซวียนหยวนเช่อมองนางที่ริมฝีปากสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด
นางถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ นางพยายามกลืนแครอทลงคออย่างยากเย็น
บุตรชายถึงกับไม่กินแครอทเหมือนกับนาง ถือว่าเป็การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ไท่จื่อน้อยเอียงคอมองนางเนิ่นนาน จากนั้นนำแครอทที่ตนแยกออกมาใส่ไว้ในชามของนาง เขายิ้มจนดวงตาโค้ง “เสด็จแม่ ท่านกินให้มากๆ เย่เอ๋อร์ให้แครอทที่เย่เอ๋อร์แยกออกมาให้ท่านกินด้วย!”
เฟิ่งเฉี่ยนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางแทบจะหน้ามืด
หลุมที่ตัวเองขุดเอง ต่อให้น้ำตาคลอตาก็ต้องะโลงไป!
ทว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมีสีหน้ารอดูละครอย่างเบิกบานใจ ทำให้นางไม่สบอารมณ์ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจลากเขาลงน้ำด้วย
“ฝ่าา มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ดีมาก สามีภรรยาเดิมก็เหมือนนกในป่าเดียวกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ดังนั้น...”
นางคีบแครอทใส่ชามข้าวของเซวียนหยวนเช่อด้วยรอยยิ้ม ทว่าเขากลับส่งกลับมาระหว่างทาง พร้อมกับพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ที่เจิ้นได้ยินมา เหมือนจะเป็ ‘สามีภรรยาเดิมทีเป็นกในป่าเดียวกัน เมื่อยามคราวเคราะห์เข้าหา ต่างบินแยกจากกัน’ ต่างหากเล่า”
เฟิ่งเฉี่ยนมืดแปดด้าน
ลั่วหยิ่งเข้ามาในเวลานี้ และขอพบนางเป็การด่วน
“ทูลฝ่าา ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ! แมวเทพบำเพ็ญตนสำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินแล้วดีใจมาก “ดีเหลือเกิน! ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจข้านับว่าวางลงได้เสียที!”
ลั่วหยิ่งพูดอีกว่า “หลังจากแมวเทพบำเพ็ญตนสำเร็จ ไทเฮาให้คนมานำแมวเทพไปส่งที่ตำหนักฉางโซ่วทันทีพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาให้กระหม่อมมาบอกความฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยน “เื่อะไรหรือ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้