ร่างบางขยับกายเล็กน้อย มือเล็กลูบััความเย็นไปที่เตียงนอน
‘เขาคงออกไปก่อนรุ่งสางสินะ’ หลิวเซียงเอ๋อร์ปรือตามองไปรอบห้องหอไร้เงาฮ่องเต้หนุ่ม แม้ใจหนึ่งจะรู้สึกโล่ง แต่ใจหนึ่งกลับรู้สึกเปลี่ยวเหงา ร่างบางยันกายลุกนึกถึงเหตุการณ์ใน่คืนที่เพิ่งผ่านพ้นมา เธอนึกได้ว่าเฉินฮั่วได้เข้ามาที่ห้องหอนี้เช่นกัน อาจเพราะคิดว่าเธอมีภัยเขาจึงพลีพลามเข้ามาในห้องเธอในยามจังหวะนั้นได้
“พระสนม..ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือไม่เพค่ะ” น้ำเสียงคุ้นเอ่ยเรียกนางในยามเช้าอย่างตื่นเต้น
“มีอะไรหรือ..”
“องค์หญิงเจ็ดมาพบพระสนม รออยู่ที่ศาลาหน้าตำหนักแล้วเพค่ะ” น้ำเสียงตื่นเต้นของนางทำให้คนฟังพลางขมวดคิ้วตาม
‘องค์หญิงเจ็ด? นี่เรายังต้องพบใครอีกบ้างนะ’ ภาพความคิดครั้งเก่าก่อนที่เธอจะมาที่แห่งนี้ก็ไม่เคยมีผ่านในความคิดนั้นซักครั้ง เพราะนี่คือตัวละครนอกที่ไม่มีเอ่ยเล่าอยู่ในนิยายที่เธอเคยอ่าน แววตาเรียวจับจ้องมองสตรีร่างสูงกว่าเธอไม่มากนัก แต่กลับดูสง่างามราวบุรุษ ริมฝีปากเรียวบางยกยิ้มทักทายจนเธอแปลกใจในท่าทางนาง แววตากลมราวกวางน้อยจับจ้องมองเธอราวกลับเห็นของหวานทำให้เธอรู้สึกขนลุกแปลก ๆ
“หนานเว่ยคารวะสนมหลิว”
“ลุกขึ้นเทิดองค์หญิงหนานเว่ย” หลิวเซียงเอ๋อร์เอื้อมมือรับแขนนางก่อนเชื้อเชิญให้นั่งลงดื่มชาที่ตระเตรียมไว้
“สนมหลิวคงจำข้ามิได้แล้วกระมัง” เธอมองหน้าเรียวพิจารณาอย่างถี่ถ้วน สตรีองอาจผู้นี้ดูห้าวหาญราวบุรุษ
“ขออภัยองค์หญิงที่ข้าลืมเลือน” เธอรีบกล่าวอย่างแก้ตัว ความวิตกกังวลราวกลัวถูกจับผิดได้ หลิวเซียงเอ๋อร์เอื้อมมือหยิบขนมกุ้ยฮวาขนาดพอคำยื่นใส่จานนาง กลิ่นหอมนวลลอยแตะจมูกพลางทำให้นางรู้สึกน้ำลายซอ
“ข้าติดตามท่านพี่ไปราชการครั้งนี้ยาวนานเกือบสองปี ไม่คิดว่ากลับมาจะได้เห็นสนมหลิวเปลี่ยนไปเยอะเช่นนี้”
“ข้ามีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปในสายตาองค์หญิงงั้นหรือ” อีกฝ่ายมิเอ่ยวาจา เพียงพยักหน้ารับริมฝีปากเล็กเม้มเคียวขนมอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะรีบกลืนลงคอ
“ในคืนเทศกาลหยวนเซียวท่านใช้วรยุทธ์ใดหลบหลีกชายชุดดำพวกนั้น”
“วรยุทธ์?” หลิวเซียงเอ๋อร์เน้นย้ำ เธอฟังไม่ผิดที่องค์หญิงหนานเว่ยเอ่ยถามถึงศิลปะการต่อสู้ที่ผู้นี้กล่าวคือวรยุทธ์
“ใช่..” องค์หญิงหนานเว่ยเน้นย้ำ
“ข้าหาได้มีวรยุทธ์เช่นบุรุษผู้กล้าไม่ เพียงแค่ศิลปะป้องกันตัวยามเจอเหตุจำเป็”
“เช่นนั้นท่านสอนข้าได้หรือไม่” หางคิ้วเรียวกระตุกเล็กน้อยอย่างแปลกใจ หลิวเซียงเอ๋อร์เม้มริมฝีบางราวคิดคำนวนเหตุใดองค์หญิงหนานเว่ยผู้ที่ดูเก่งกาจจึงอยากที่จะเรียนศิลปะป้องกันตัวกับเธอนัก
“ท่านสอนวรยุทธ์นั้นให้ข้า แล้วข้าจะตอบแทนด้วยการพาท่านออกไปเที่ยวนอกวังดีหรือไม่” หนานเว่ยต่อรองเธอด้วยที่รู้ว่าเธอเคยได้แอบออกไปนอกวังมาครั้งหนึ่งจากองครักษ์ข้างกายของฮ่องเต้
“ได้..ถ้าองค์หญิง้าข้าก็จะสอนให้เ้าเอง” หลิวเซียงเอ๋อร์ตาลุกโตราวเจอของดี เธอคิดว่าเป็การดีถ้าหากได้องค์หญิงหนานเว่ยมาช่วยอีกคน
‘ว่าแต่เราต้องไปสืบเื่นางกับหลินเสียงซะหน่อย’
******
สายลมเย็นพัดกลีบดอกเหมยร่วงหล่นราวหิมะขาวโปรยปราย ความเย็นโอบล้อมผิวกายทำให้เธอต้องยกแขนกอดอกเพื่อหาความอุ่น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยลมหอมชื่นเธอยืนนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาราวภาพยนตร์ที่ฉาย
“เหตุใดยามนี้เ้าถึงยังไม่นอน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยข้างหลังเธอจนคนถูกทักสะดุ้งตัวหันกลับไปมอง
“ฝ่าา..?” ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวมาหยุดยืนข้างตัวเธอก่อนจะยื่นมือหยิบกลีบดอกเหมยออกจากมวยผมเธออย่างนุ่มนวล
“อากาศเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายเอา หรืออยากให้เจิ้นคอยดูแล” ฮ่องเต้หนุ่มยกคิ้วเอียงมองใบหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าจนเขาต้องเสยคางเรียวขึ้นมอง
“ฝ่าาหรือจะดูแลหม่อมฉัน แค่ส่งสมุนไพรมาให้ก็ทรงกรุณามากแล้วเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์เหน็บแนม จนฮ่องเต้หนุ่มดึงรั้งเอวนางโอบกอดจนใบหน้าแนบอก หลิวเซียงเอ๋อร์ยันกายออกเล็กน้อยพลางแหงนหน้ามองบุรุษตรงหน้าเธอคิ้วพาดเฉียงราวกระบี่กระตุกยก ปากบางยกยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
“เช่นนั้นคืนนี้ให้เจิ่นดูแลเ้าดีหรือไม่” น้ำเสียงนุ่มนวลกระซิบข้างใบหูเธอจนรู้สึกร้อนและเริ่มแดง หลิวเซียงเอ๋อร์ได้แต่ยืนนิ่ง เธอไม่รู้ว่าต้องตอบรับเขาเช่นไรหากบ่ายเบี่ยงก็กลัวโทษ ฮ่องเต้หนุ่มเห็นร่างบางนิ่งเงียบจึงซุกจมูกโด่งลงแก้มเธอราวฟอดใหญ่ จนเธอเอียงศีรษะมองอย่างเกรียวกราด เขาถึงกลับหลุดขำท่าทางเธอออกมาเล็กน้อย
“แล้วเหตุใดฝ่าามิสู้อยู่ดูแลตำหนักซูเม่ยกงล่ะเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์กล่าวลองเชิงจนเขาเองเริ่มหงุดหงิด จริงอย่างที่เธอกล่าวหากเป็ก่อนหน้านี้ เขาคงมิคิดที่จะออกมาไกลถึงตำหนักสนม ผิดกลับในยามนี้เขารู้สึกอยากพบหน้าเธอ
“เ้ากำลังหึงหวงเจิ่นอยู่ใช่หรือไม่” หนานรั่วหานรีบเอ่ยเย้าแหย่เธอจนแก้มนวลแปรเปลี่ยนเป็สีแดง
“หม่อมชั้นมิบังอาจเช่นนั้นเพค่ะ ฝ่าาจะอยู่ตำหนักใดก็เป็ความตั้งใจของฝ่าาหม่อมฉันมิอาจห้ามได้”
“เช่นนั้นคืนนี้เจิ่นอยู่ตำหนักเ้ามิดีหรือ”
“แล้วแต่ฝ่าาเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์หมุนกายออกห่างทันทีที่เขาละแขนจากเอวเธอ องครักษ์ไป่ฟางหรงหยุดยืนตรงหน้าทั้งสองพร้อมยกมือคารวะทั้งสอง
“ถวายบังคมฝ่าา พระสนม..กระหม่อมมีเื่กราบทูลฝ่าาพะย่ะค่ะ” องครักษ์ไป่ฟางหรงแม้ใบหน้าจะดูงามราวสตรีหากแต่ร่างแกร่งกลับดูกำยำและว่องไว หนานรั่วหานก้าวเดินห่างจากนางราวสี่ศอก
“เ้ามีอะไรก็ว่ามา”
“กระหม่อมทราบมาว่าอีกสามวันจะมีขบวนองค์ชายจากแคว้นหูเยว่มาพร้อมองค์หญิงเพื่อสานสัมพันธ์กลับแคว้นเป่ยหลงของเรา”
“เ้าคิดว่านี่คือการผูกมิตรหรือ เ้าก็รู้ว่าแคว้นเป่ยหลงกับแคว้นหูเยว่เป็เช่นไร ยังจักปล่อยเข้ามา” หนานรั่วหานสบถเอ่ยอย่างไม่พอใจ ตลอดระยะเวลาหลายราชวงค์แคว้นหูเยว่ก็มิละการรุกรานแคว้นของเขาเลยแล้วนี่ยังส่งขบวนองค์ชายมาพร้อมกับองค์หญิง มาอย่างตามใจโดยมิได้ส่งสารยิ่งทำให้เขารู้สึกราวถูกหยามเกียรติต่อราชวงศ์ยิ่งนัก
“แต่ฝ่าาพะย่ะค่ะ..สายข่าวเรารายงานว่าแคว้นหูเยว่อาจมีส่วนรู้เห็นการหายตัวไปของไท่เฟย กระหม่อมจึงอยากให้พระองค์เตรียมตัวต้อนรับองค์ชาย องค์หญิงจากแคว้นหูเยว่ไว้ก่อนพะย่ะค่ะ”
“อืม...ถ้าสายข่าวคาดการณ์ไม่ผิดเช่นนั้นเจิ้นจะจัดต้อนรับให้ซะหน่อยแล้ว” หนานรั่วหานพยักหน้าส่งให้องครักษ์ไป่ฟางหรงก่อนจะเดินกลับไปหาร่างบางที่ยืนดูราวสนอกสนใจในข่าวการมาของแคว้นหูเยว่
“คืนนี้เจิ่นคงมิได้อยู่ดูแลเ้าแล้ว เช่นนั้นเ้าก็รีบเข้าห้องหอซะเดี๋ยวจะไม่สบายไป”
“หม่อมฉันสบายดี...ฝ่าาอย่าได้ห่วง” เธอบุ้ยหน้าราวเด็กน้อยจนหนานรั่วหานรีบคว้าแขนดึงเธอมาพร้อมหอมฟอดใหญ่อีกครั้ง หลิวเซียงเอ๋อร์ที่ไม่ทันตั้งตัวใจนรีบยกมือกอบกุมแก้มแดงราวซุกซ่อนไว้ หนานรั่วหานยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้