ยิ่งตามเข้าไป หลิงเซียวก็ยิ่งประหลาดใจ
ระหว่างทางไม่เจอใครแม่แต่คนเดียว อากาศก็เย็นลง ทิศทางนั้นยังเป็ด้านหลังเขาสายกลาง
เขาอู๋ซวงของทั้งห้าสายตั้งอยู่บนยอดเขา และจุดที่ชันที่อยู่คือสายกลาง โดยเฉพาะหลังเขา ป่าไม้ดงดิบ ต้นไม้อายุนับร้อยปี หนทางขรุขระ ลึกลับซับซ้อน ทั้งยังมีสัตว์ป่านักล่า ดังนั้นปกติจึงไม่อนุญาตให้ศิษย์เข้าเขตพื้นที่นี้เด็ดขาด
โหยวเสี่ยวโม่อ่อนแอขนาดนั้น หากไปหลังเขาล่ะก็ ได้ไปทิ้งชีวิตไว้แน่
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิงเซียวเริ่มระส่ำระส่าย พลันเร่งฝีเท้าไปทางหลังเขา ขณะที่เขาเกือบถึงทางแยกไปหลังเขา ไกลออกไปก็เห็นเงาคนที่คุ้นตา หนึ่งในนั้นคือคนที่ตามเขาแจทุกวัน ทังอวิ๋นฉี
ทังอวิ๋นฉีอยู่ไหนไม่อยู่ ดันมาอยู่ที่ๆ โหยวเสี่ยวโม่หายตัวไป มันจะบังเอิญถึงเพียงนี้เชียว?
หลิงเซียวพลันสีหน้าเปลี่ยน ลมเยือกเย็นพัดผ่าน พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกทังอวิ๋นฉี
ทังอวิ๋นฉีรู้สึกเพียงลมเย็นพัดมาจึงหลับตาปี๋ พอลืมตาดู เบื้องหน้าก็ปรากฏเซียวเกอผู้เป็ที่รักของนางโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จนลืมไปชั่วขณะถึงจุดประสงค์ของตัวเองที่มาที่นี่ พลันวิ่งปร๋อไปหาหลิงเซียว “เซียวเกอ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ลูกน้องสองคนกลับไม่ได้มีสีหน้าดีใจแต่อย่างใด หากแต่หน้าถอดสี ซีดเผือดเมื่อเห็นหลิงเซียวโผล่มา
“เ้าถามข้าว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? งั้นต้องถามเ้าก่อน ว่าศิษย์น้องเ้าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้?” สายตาชำเลืองนางอย่างเ็า เมื่อเห็นท่าทีแสร้งทำเป็บังเอิญเจอกันของนาง ช่างน่าสะอิดสะเอียน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มร่าของทังอวิ๋นฉีก็หายไปทันใด ในที่สุดก็คิดถึงจุดประสงค์ที่มาอยู่นี่
ผลคือไม่เจอโหยวเสี่ยวโม่ กลับเป็หลิงเซียวโผล่มาแทน นี่มันอะไรกัน? ถ้าเป็ปกติ ทังอวิ๋นฉีต้องดีใจมากแน่ที่ ‘บังเอิญ’ เจอกันแบบนี้ แต่ตอนนี้ ถ้าหากเขารู้ว่านางกำลังจะลงมือกับโหยวเสี่ยวโม่ ผลลัพธ์…แทบไม่กล้าคิด
“คือว่า…ข้ากับศิษย์พี่ทั้งสองมาเดินเล่นน่ะ ไม่ทันรู้ตัวก็เดินกันมาถึงนี่”
ทังอวิ๋นฉีแก้ตัวอย่างตื่นเต้น หมัดนั้นกำแน่นอยู่ในแขนเสื้อ จนไม่มีสี กลัวเขาจับได้
แวบนึงที่หลิงเซียวเผยแววตาโเี้ แต่พริบตาเดียว ก็กลับมาแทนที่ด้วยสายตาสง่าอ่อนโยน “ศิษย์น้องมาเดินเล่นจริงหรือ แต่ที่นี่เป็เขตต้องห้าม พวกเ้ากล้ามาถึงนี่ หรือมีเื่อันใดที่ทำได้แค่ที่นี่งั้นหรือ?”
“ไม่มีแน่นอน เซียวเกอคิดมากเกินไปแล้ว พวกข้าแค่มาเดินเล่นจริงๆ” ทังอวิ๋นฉีปฏิเสธทันควัน จากนั้นก้มหน้าไม่กล้าสบตาหลิงเซียว
หลิงเซียวยิ้มแย้มอ่อนโยน แต่สายตากลับเย็นะเื “เมื่อเป็เช่นนี้ งั้นศิษย์น้องเ้าเห็นโหยวเสี่ยวโม่บ้างหรือไม่ เมื่อครู่ระหว่างทางข้าพบคนนึงเขาบอกว่า เจอโหยวเสี่ยวโม่มาทางนี้กับคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าศิษย์น้องเห็นพวกเขารึเปล่า?”
“โหยวเสี่ยวโม่?” ทังอวิ๋นฉีพลันแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่มีนะ ตลอดทางมานี้ไม่เจอเขาเลย ถ้าเซียวเกอไม่เชื่อ ท่านถามศิษย์พี่ข้าทั้งสองคนได้ ข้าอยู่กับพวกเขาตลอด”
“ศิษย์พี่หลิง ศิษย์น้องทังพูดความจริงขอรับ พวกข้าอยู่ด้วยตลอด ไม่มีใครเห็นโหยวเสี่ยวโม่เลย” ไม่รอให้หลิงเซียวถาม สองคนก็รีบเสริมขึ้น
“เซียวเกอ ข้านึกได้ว่ามีธุระต้องทำ หากท่านไม่มีเื่อะไรแล้วล่ะก็ งั้นข้าขอตัวก่อน”
ทังอวิ๋นฉีกลัวว่าอยู่นานเกินไป เกิดโหยวเสี่ยวโม่โผล่มาตอนนี้ เจอกันจังๆ คำพูดพวกเขาถูกจับได้แน่ว่าโกหก จึงอยากรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด พูดจบก็รีบสาวเท้าจากไป
“ช้าก่อน” หลิงเซียวโพล่งออกมาเสียงดัง
ทังอวิ๋นฉีสะดุ้ง นิ่งอยู่กับที่ เหลียวมองหลิงเซียวช้าๆ “เซียวเกอ มีเื่อะไรอีกหรือ?”
“พวกเ้าแน่ใจนะ ว่าไม่รู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่อยู่ที่ไหน?” หลิงเซียวหันข้างมองนางที่กำลังหลบตา เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ทั้งสามรีบส่ายหัว โหยวเสี่ยวโม่นัดพวกเขามาเจอที่นี่ แต่ั้แ่พวกเขามาถึง ก็ไม่ได้เจอเงาตัวโหยวเสี่ยวโม่เลย ดังนั้นพวกเขานับว่าไม่เจอโหยวเสี่ยวโม่จริง ฉะนั้นถ้าถามว่าอยู่ที่ไหนจึงไม่มีทางรู้แน่ หากแต่เป็เจียงหลิวก็ไม่แน่
หลิงเซียวเดาว่าพวกเขาคงไม่กล้าโกหกเขาแน่ จึงปล่อยตัวไป
ทังอวิ๋นฉีกับพวกจึงรีบจ้ำอ้าวหนีไปราวกับกลัวว่าถ้าไปช้าจะโดนหลิงเซียวเรียกกลับไป
กลิ่นของโหยวเสี่ยวโม่ยังไม่ได้จางไป หลิงเซีวมองไปทางหลังเขา ถ้าเดาไม่ผิด โหยวเสี่ยวโม่กับคนผู้นั้นน่าจะไปทางนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ที่นี่นอกจากกลิ่นของทังอวิ๋นฉีสามคน ยังมีกลิ่นของใครอีกคนนึงอยู่ด้วย
หลิงเซียวยืนนิ่งที่เดิม หน้านิ่งวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดก็เด้งตัวขึ้นมา สะบัดชายเสื้อจากนั้นหายตัววับไปทางหลังเขานั่น
ขณะเดียวกันนั้น หลังเขาที่ทั้งมืดครึ้มทั้งดิบชื้น ชายชุดดำที่แบกร่างใครคนนึงวิ่งอย่างเร่งรีบอยู่ในดงเขา ฝีเท้าไวมาก สัตว์ป่าที่โผล่ออกมา ทันใดก็ถูกเขาสะบัดเหวี่ยงออกไปไกล จนถึงด้านหน้าที่มีกำแพงเถาวัลย์ปรากฏขึ้นจึงหยุดลง
เงาดำคลี่เถาวัลย์ตรงกำแพงออก จากนั้นก็เห็นปากทางเข้าถ้ำมืดปรากฏออกมา เงาดำเดินดุ่มเข้าไปอย่างไม่คิด
ทีแรกนั้นด้านในมืดมิดไปหมด แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไป รอบๆ ด้านในก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่ลืมตาขึ้น ทันใดแสงสว่างจ้าก็แยงตาเขา จึงปิดตาแล้วค่อยๆ เปิดออกให้มันปรับตัว เขารู้สึกว่าตัวเองคงกำลังขึ้น์…
โลกสีขาวมีการแกะสลักวิจิตร ทั่วทั้งด้านในนั้นมีน้ำแข็งแกะสลักรูปร่างต่างๆ นาๆ เช่น สาวงาม รูปคน ทิวทัศน์ พืชพรรณ สัตว์และอื่นๆ อะไรที่ควรจะมีล้วนมีหมด น้ำแข็งนั้นราวกับถูกคนแกะสลักออกมา งานช่างประณีตใหญ่โตเช่นนี้คงต้องใช้คนเป็ร้อยเป็พัน ไม่งั้นคงไม่เสร็จง่ายๆ
นี่เป็ถ้ำที่ใหญ่พอสมควร กว้างสามพันเมตร สูงสามร้อยเมตรได้ ้าไม่มีทางออก ราวกับทั้งตัวถ้ำนี้อยู่ภายในูเา
การแกะสลักเช่นนี้น่าจะมีมานานแล้ว อากาศหนาวเย็นด้านในไม่ได้เย็นถึงกระดูก โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกหนาวเย็น แต่ยังพอทนไหว
เงาดำเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ไม่ได้ใส่ใจว่าโหยวเสี่ยวโม่จะตื่นรึยัง ทันใดก็โยนเขาลงพื้น
“โอ๊ย” เสียงดังลั่น โหยวเสี่ยวโม่ไม่คิดว่าเขาจะโยนตัวเองลงมาดื้อๆ ไม่ทันตั้งตัวจึงกระแทกก้นจ้ำเบ้า พื้นนั้นเป็น้ำแข็งเย็น กระแทกจนแทบแตกเป็เสี่ยง
โหยวเสี่ยวโม่พลางนวดก้น พลางเงยหน้าจ้องพร้อมขมวดคิ้ว
เงาดำนั้นเป็ผู้ชาย ทั่วทั้งร่างนั้นถูกห่อหุ้มด้วยชุดสีดำ รวมถึงบนหัวด้วย ดังนั้นเขาจึงเห็นแค่ดวงตาอำมหิตที่ลอดออกมาใต้ผ้าคลุม ซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่
โหยวเสี่ยวโม่พึมพำ คนๆ นี้เป็ใครกันแน่?
ทั้งสำนักเทียนซิน เขาเองก็ไม่เคยมีเื่กับใครนอกจากทังอวิ๋นฉี เดิมทีเขาเดาว่าน่าจะเป็คนของทังอวิ๋นฉี แต่พอคิดๆ ดูมันน่าแปลก ถ้าเกิดทังอวิ๋นฉีมีแผนนี้จริง คงไม่ต้องเสียเวลาไปขู่เจียงหลิวให้มาพาตัวเขาไปให้
แต่ถ้าไม่ใช่ทังอวิ๋นฉี เขาก็คิดไม่ออกว่าจะเป็ใครไปได้
“ผู้าุโท่านนี้ เหมือนว่าข้าไม่รู้จักท่าน ทำไมถึงจับตัวข้ามาด้วย?” โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลาย คนๆ นี้รับมือไม่ง่ายเลย จากเมื่อครู่จนถึงตอนนี้ มองเขาด้วยสายตาอำมหิตตลอด ราวกับว่าจะถลกหนังเขาออกเสียให้ได้
“อยู่ที่นี่แหละ หากกล้าหนีล่ะก็ ข้าจะหักขาเ้าซะ” ชายชุดดำเอ่ยน้ำเสียงเหี้ยมโหด พูดจบก็หมุนตัวออกจากถ้ำ
จนเมื่อเขาหายไป โหยวเสี่ยวโม่จึงลุกขึ้นมา ตบก้นที่เจ็บระบม
แน่นอนเขาไม่นั่งรอความตายอย่างเชื่อฟังที่นี่หรอก จากสายตาเขาก็ดูออก คนผู้นี้ทำทีเหมือนเขาคือคนตายแล้วแต่แรก จากที่เขาวิเคราะห์ ชายชุดดำนั้นมีสิทธิ์ฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะรอ
หันหลังก็มีแต่น้ำแข็งแกะสลัก นี่คือครั้งแรกที่ได้เห็นอะไรสวยงามตระการตาแบบนี้ เสียดายไม่มีอารมณ์ชื่นชมมันตอนนี้
โหยวเสี่ยวโม่ถอนหายใจ แอบย่องไปทางเข้าถ้ำ ผ่านไปครู่นึงแล้ว ชายชุดดำน่าจะออกไปแล้ว
เมื่อโอบอุ้มความหวังไว้ โหยวเสี่ยวโม่ยกเท้าก็เดินออกไป ทันใดก็ถูกช็อต ไฟฟ้าสถิตเข้าทั่วร่าง ความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบนี้สะดุ้งจนโหยวเสี่ยวโม่ต้องรีบเก็บเท้ากลับมา ยืนบ่นพึมพำหน้าทางเข้า
แม่งเอ้ย? ม่านกั้นมิติอีกแล้ว
ความรู้สึกนี้เขาคุ้นเคย เหมือนครั้งแรกที่ไปหอคัมภีร์ ด้วยความที่ไม่รู้อะไรเลย จึงถูกม่านกั้นมิติบนชั้นวางช็อตจนสะดุ้ง
ทว่าครั้งนี้เขาได้ข้อมูลอย่างนึงที่สำคัญ ชายชุดดำร่ายม่านมิติได้ หมายความว่าต้องเป็คนที่พลังสูง นึกถึงสายตาเป็ประกายสื่อถึงการผ่านอะไรมามากมายคู่นั้น ต้องเป็ผู้าุโในสำนักเทียนซิน ไม่ผิดแน่นอน!
แต่แบบนี้ก็เท่ากับ โอกาสในการลอบหนีนั้นยิ่งมืดมัวสิ
ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังพะว้าพะวงนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบไม่ไกลจากด้านนอกก็ดังเข้ามา
----------------------------------------------