“นี่คือเกาลัดคั่วน้ำตาลทรายที่ท่านแม่ทำ พี่ใหญ่โปรดชิม” ไหลไหลน้อยวิ่งเข้ามาวางเกาลัดคั่วน้ำตาลไว้บนโต๊ะในห้องอย่างเร่งรีบ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะช้อนเปลือกตาขึ้นมองและวิ่งออกมาปานติดปีกบิน
พอเข้าไปโรงครัว ก็เอ่ยถามความสงสัยเมื่อครู่กับมารดา
นึกถึงกับข้าวบนโต๊ะหลายวันมานี้ที่ไม่ถูกแตะเลยแม้แต่น้อย ลั่วชีเหนียงไม่เพียงแต่ถอนหายใจ ปมในใจของเด็กคนนี้หนักหนาเช่นนัก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ออกมา
ไม่เป็ไร นางเชื่อมั่นว่าคงอีกไม่นานแล้ว
“พี่ชายเ้าคือผู้เล่าเรียน ในตำรามีคำกล่าวไว้เช่นนี้ เมื่อ์จะบันดาลความรับผิดชอบยิ่งใหญ่แก่ผู้ใด ต้องผ่านความลำบากเพื่อฝึกจิตใจ เหนื่อยเพื่อฝึกกล้ามเนื้อและกระดูก อดอยากเพื่อฝึกสุขภาพและผิวพรรณ ปล่อยวางเพื่อฝึกร่างกาย หากมิทำสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลยุ่งยาก ดังนั้นจิตใจแน่วแน่อดทน จักไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้”
เมื่อเห็นสายตางุนงงของไหลไหลน้อย นางยิ้มแย้มและยื่นลูกซานจาที่เพิ่งทำเสร็จใส่ปากของไหลไหลน้อย “ความหมายก็คือ ์้าให้มนุษย์คนหนึ่งเป็ยอดคน ย่อมต้องจัดสรรความลำบากทุกข์ทนมาทดสอบคนผู้นี้ เพียงเพื่อ้าฝึกฝนปณิธานความแน่วแน่ของคนผู้นี้เพื่อดูว่าเขาคือคนที่อดทนหรือไม่”
ไหลไหลน้อยเคี้ยวซานจาในปาก รสชาติเปรี้ยวหวานนี้ เขาไม่เคยทานมาก่อน “เช่นนั้นความหมายของท่านแม่คือ ์ทำเช่นนี้กับพี่ใหญ่ ก็เพราะพี่ใหญ่คือยอดคนหรือ?”
“แม่ก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่เ้านับเป็ยอดคนได้หรือไม่ แต่แม่เชื่อว่า ์ทำเช่นนี้กับเขา จะต้องมีเหตุผลแน่ โชคร้ายมักมากับโชคดี โชคดีมักมากับโชคร้าย ทุกสิ่งล้วนถูกจัดสรรมาอย่างดีที่สุด”
ในโรงครัว เสียงของสองแม่ลูกดังไปถึงห้องตะวันออกอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ ลั่วจิ่งซีที่ขณะนี้กำลังกินเกาลัดอย่างมีความสุขเหลือบมองลั่วจิ่งเฉิน อีกฝ่ายทำหน้าขึงขัง แต่ดวงตาชั้นเดียวคมกริบที่สวยงามกลับมีประกายสว่างวาบ เขารู้ว่า ลั่วจิ่งเฉินหวั่นไหวแล้ว
ใช่แล้ว เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงว่าต้องให้กำลังใจพี่ใหญ่เช่นนี้!
“พี่ใหญ่ แม้ว่านางจะเชื่อถือไม่ได้ แต่ข้ารู้สึกว่าที่นางพูดมานั้นถูกต้อง! ทุกสิ่งในตอนนี้คือสิ่งที่์กำลังฝึกฝนท่าน ขอเพียงเราอดทนต่อไป รอพี่ใหญ่หายดี จะต้องเจิดจรัสเปล่งประกายเป็แน่!”
เจิดจรัสเปล่งประกาย!
ช่างเป็คำพูดที่สวยงามนัก สมัยที่เขาเพิ่งจะห้าหนาวก็สามารถร่ายบทความผ่านวาจา อายุสิบหนาวเขาก็สอบผ่านระดับอำเภอจนกลายเป็ซิ่วฉาย เพียงแต่สิ่งที่ตนได้รับตอบแทนกลับมาหาใช่คำอวยพรและความยินดี หากแต่เป็ขาพิการหนึ่งข้าง!
“ออกไป!”
เสียงต่ำะโออกมากะทันหันของลั่วจิ่งเฉินทำให้ลั่วจิ่งซีสะดุ้ง เขาเม้มปาก ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรผิดไป
“ข้าไม่ออกไป! หลายปีมานี้ พี่ใหญ่เอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องตลอด! ข้าไม่เชื่อว่า ท่านจะยินยอมหลบซ่อนอยู่ในห้องนี้ไปชั่วชีวิต! ทั้งที่ไม่ใช่ว่าท่านออกไปไม่ได้ แต่ท่านกลัวการออกไปต่างหาก!
ตอนที่นางใกล้จะตาย ท่านก็ออกไปได้มิใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้จึงทำไม่ได้? นางเริ่มดีขึ้นแล้ว ดูสิ ยังมีเกาลัดนี่ให้ด้วย!”
ลั่วจิ่งซีชี้เกาลัดคั่วน้ำตาลทรายบนโต๊ะ “นี่คือสิ่งที่นาง้านำมาหาเงิน ตอนนี้ในสมองนางมีเพียงเื่หาเงิน ก็เพื่อ้าให้พี่ใหญ่ดีขึ้นไม่ใช่หรือ? ในตอนที่ทุกคนกำลังพยายามกันถึงเพียงนี้เหตุใดจึงมีเพียงพี่ใหญ่ที่ถอดใจกันเล่า!”
“ลั่วจิ่งซี!”
คำพูดของลั่วจิ่งซีทำให้ลั่วจิ่งเฉินโมโหจนตบโต๊ะอย่างแรง น้ำเสียงก็ทวีความตึงเครียดไปสามเท่าโดยไม่รู้ตัว
“ถึงท่านจะะโใส่ข้า ข้าก็ไม่กลัว! ตอนนี้ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านรักษาตนเองให้หายดีและ้าให้ท่านเหมือนคนปกติทั่วไป! ถึงแม้นางไม่ช่วย ข้าก็จะทำด้วยตนเอง อย่างมากข้าก็แค่ไปยืมเงินกับโรงพนันสือวานเรื่อยๆ เลวร้ายที่สุดก็แค่ตาย!”
“ลั่วจิ่งซี! เ้ากำลังท้าทายข้า!”
“ไม่ใช่!” ลั่วจิ่งซีทำใจกล้า ทั้งที่ตอนนี้เขากลัวจนตัวสั่น แต่กลับอดกลั้นไว้และกล่าวต่อ “เื่อะไรท่านถึงอนุญาตให้ตนเองสูญเสียจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ แต่ให้ข้าทำเื่เ่าั้ไม่ได้! สิ่งที่ท่านทำคือกำลังอนุญาตให้ขุนนางจุดไฟ แต่ห้ามชาวบ้านจุดตะเกียง [1] !”
ลั่วจิ่งเฉินตกตะลึงกับคำพูดของลั่วจิ่งซี ริมฝีปากที่ซีดขาวสั่นระริก ท้ายที่สุดก็สะบัดแขนเสื้อและนั่งลงอย่างอดกลั้น
เมื่อได้ยินเสียงของสองพี่น้อง ลั่วชีเหนียงก็ยกลูกซานจาเดินออกมาจางโรงครัว
“จะโมโหใหญ่โตทำอะไร มากินลูกซานจาหวานๆ ที่แม่ทำเร็วเข้า”
นางพูดขณะที่ยัดเยียดขนมใส่ปากให้ลั่วจิ่งซี หลังจากเขาทานหมด ก็ยื่นเกาลัดคั่วน้ำตาลทรายหนึ่งห่อกับลูกซานจาใส่มือของลั่วจิ่งซี
“น้ำตาลของบ้านเรายืมมาจากผู้ใหญ่บ้าน เ้านำของสิ่งนี้ไปให้ผู้ใหญ่บ้าน บอกว่าวันรุ่งขึ้นบ้านเรามีเงิน จะคืนน้ำตาลให้แน่” ขณะพูดก็ผลักลั่วจิ่งไหลมาทางเขา “พาไหลไหลไปด้วย อย่าให้คนในหมู่บ้านเอาแต่บอกว่าพวกเ้าพี่น้องชิงชังกันและกัน”
ชัดเจนว่าลั่วจิ่งซีมองดูไหลไหลน้อยอย่างไม่ยินดี แต่ไหลไหลน้อยกลับนึกถึงความรู้สึกที่ถูกลั่วจิ่งซีอุ้มวันนี้
อบอุ่นแต่มีพลัง เหมือนกับเวลาหู่จื่อที่ถูกพ่อของเขาอุ้มอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกนี้ช่างมีความสุขนัก
เมื่อรับรู้ถึงมือน้อยข้างหนึ่งที่สอดเข้าหาฝ่ามือของตน ลั่วจิ่งซีชำเลืองมองลั่วจิ่งไหลที่หันหน้าไปอีกทาง พร้อมกับใบหน้าเขินอาย แม้ปากจะบ่นเชอะ แต่มือกลับออกแรงบีบมือน้อยที่กำลังสั่นไว้
เมื่อเห็นสองพี่น้องออกจากบ้านไป ลั่วชีเหนียงจึงย่างเท้าเข้าห้องตะวันออก
“นานมาแล้วมีคนสองคน คนหนึ่งคือ ผู้มากด้วยความรู้แต่กลับสอบไม่ผ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนอีกคนความสามารถธรรมดาทั่วไปแต่กลับสอบได้อันดับต้นๆ ทุกครั้งร่ำไป” ลั่วชีเหนียงไม่ได้พูดคุยกับเขาด้วยเหตุผล หากแต่เล่านิทานเื่หนึ่งออกมา
เพิ่งเริ่มเล่า ลั่วจิ่งเฉินก็ถูกดึงดูด
เหตุใดผู้มีความรู้เป็ยอดคนสอบไม่ผ่าน แต่คนธรรมดากลับทำสำเร็จได้?
“บนโลกใบนี้ ย่อมมีคนสงสัย จึงถามอาจารย์ของทั้งสองคน เหตุใดจึงปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้? อาจารย์ไม่ได้กล่าวให้มากความ เพียงแค่จัดการทดสอบกะทันหัน หลังจากการสอบครั้งนี้ คนทั้งหมดจึงได้รู้ถึงสาเหตุโดยทั่วกัน”
พูดจบ นางก็ไม่พูดต่อ หากแต่อาศัยว่าเกาลัดยังคงร้อนกรุ่น จึงแกะเปลือกออก จากนั้นยื่นให้ลั่วจิ่งเฉิน
“กินรองท้องก่อน” ขณะพูดก็ออกไปทำบะหมี่ให้เขาหนึ่งชาม
รอนางยกบะหมี่กลับมาก็เห็นถ้วยเกาลัดที่ว่างเปล่า พลันเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
พอรับรู้ถึงรอยยิ้มของนาง ลั่วจิ่งเฉินจึงอึดอัดเล็กน้อย เมื่อครู่ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองก็ยิ่งรู้สึกถึงความหิวอย่างทรมาน เลยเผลอทานมากไปหน่อย
เพียงแต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่า เหตุใดการทดสอบจึงสามารถวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองนั้นได้
“มา กินบะหมี่ชามนี้ก่อน แล้วข้าจะบอกให้เ้ารู้”
ลั่วชีเหนียงเห็นลั่วจิ่งเฉินยังคงขมวดคิ้ว ก็รู้ว่าเขานั้นทั้งดื้อรั้นหัวแข็ง
ลั่วจิ่งเฉินเองไม่ได้รู้สึกว่าการถูกอีกฝ่ายอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งเป็เื่แปลกอะไร นับั้แ่นางสามารถท่องบทกลอนในตำรา ความเป็ทรมาน ความตายสุขสงบ ของเม่งจื้อกับลูกศิษย์ในยุคก่อนสมัยราชวงศ์ฉิน เขาก็รู้สึกว่าผู้ที่เป็มารดาผู้นี้ เหมือนจะต่างออกไปจากอดีตบ้างเล็กน้อย
ลั่วจิ่งเฉินก้มหน้าก้มตากินเพราะ้ารู้คำตอบว่าคืออะไร
“กินช้าลงหน่อยเถอะ หลายวันมานี้เ้าไม่ได้กินอะไร ต้องกินให้ช้า เ้าค่อยๆ กินไป แม่จะค่อยๆ เล่า ดีหรือไม่?”
คล้อยกันกับเสียงอันแสนอ่อนโยนของลั่วชีเหนียง ตะเกียบของเขาก็ค่อยๆ ลดระดับความเร็วลง
“การสอบครั้งนั้นนอกจากจะทดสอบความรู้ เ้าคิดว่าแล้วยังมีอะไรอีก?” ลั่วชีเหนียงมองเขา ดวงตากลมสวยแฝงด้วยการให้กำลังใจและเชื่อมั่น
นางกำลังเชื่อว่าตัวเขาจะรู้ได้ด้วยตนเองหรือ?
“นอกจากความรู้ที่สั่งสมมาด้วยตนเอง การเรียนและนำไปใช้ก็จำเป็มิใช่น้อย”
เมื่อลั่วจิ่งเฉินได้พูดคุยเื่ความรู้ ความหม่นหมองในอดีตบนตัวเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ความมั่นใจและมีชีวิตชีวาขึ้น เขาเหมือนเป็ดั่งเด็กหนุ่มที่เจิดจ้าดั่งสายลมและจันทรา
“นอกจากนี้ สำหรับความแตกต่างในมุมมองและความเข้าใจเชิงลึกของบทความทั่วไป การวิเคราะห์ตีความก็ปรากฏความแตกต่างเช่นกัน อีกทั้งรสนิยมความชอบของผู้คุมสอบก็คือ การทดสอบที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้สอบ”
-----
[1] อนุญาตให้ขุนนางจุดไฟ แต่ห้ามชาวบ้านจุดตะเกียง หมายถึง การใช้อภิสิทธิ์อำนาจในทางไม่ชอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้