เย่เฟิงไม่เคลื่อนไหวเพราะไม่้าเผยพลังที่แท้จริงต่อหน้าคนภายนอก แต่สำหรับจูไป่เหนี่ยว ในเมื่อนักล่าหลุมศพคนนี้ก็เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์เช่นกัน เย่เฟิงจึงอยากเห็นความแข็งแกร่งของเขา
การปะทะกับเซวี่ยนเฟิงฝูเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
เตาปาค้นมีดมาเชเต้จากที่นั่งก่อนะโลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปทางหน้ารถตรงที่เซวี่ยนเฟิงฝูเดินไป พลางพูดไปด่าไป “แม่ง มาดักปล้นตอนกลางวันแสกๆ ไอ้โง่นี่ใจกล้าไม่เบา”
ในฐานะที่เป็หัวหน้าแก๊งอสรพิษ์ ปกติมีใครในเยี่ยนจิงไม่ยำเกรงเขาบ้าง? ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะมีคนกล้าดักปล้นรถฮัมเมอร์สุดที่รัก จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร
เตาปาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เย่เฟิงไม่ทันห้าม เขาก็ะโลงจากรถไปแล้ว
เซวี่ยนเฟิงฝูแสดงความเหี้ยมโหดและน่ากลัวกระจายไทั่วใบหน้า เมื่อเห็นคนลงจากรถเพื่อขัดขืนก็แค่นเสียงอย่างดูแคลน ผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างเขามีหรือจะกลัวหัวหน้ามาเฟีย?
ห้าปีของการฝึกฝนทำให้เขาเคยชินกับการวางอำนาจไปเสียแล้ว สี่คนที่อยู่ในรถคันนั้นก็ไม่อยู่ในสายตาเขาเช่นกัน เซวี่ยนเฟิงฝูไม่เคยเจอเย่เฟิงและจูไป่เหนี่ยวมาก่อนจึงคิดว่าในรถคันนี้คงมีแค่คนธรรมดา
เตาปาคิดว่าเื่ยุ่งยากนี้ไม่จำเป็ต้องให้เย่เฟิงลงมือ ดังนั้นต้องจัดการให้เด็ดขาด ชายหน้าบากเดินอ้อมไปหน้ารถเพียงสองวินาที จากนั้นฟันมีดมาเชเต้คมกริบในมือไปทางเซวี่ยนเฟิงฝู่ทันที!
เขาแค่้าให้อีกฝ่ายกลัวจนล่าถอยไปเอง น่าเสียดายที่เซวี่ยนเฟิงฝูโเี้ยิ่งกว่า กำปั้นที่ก่อจากพลังภายในพุ่งกระแทกมีดเล่มใหญ่จนหลุดจากมือฝ่ายตรงข้ามอย่างง่ายดาย!
เตาปายังไม่ทันโต้ตอบ มีดเล่มใหญ่วาววับก็หลุดมือไปแล้วตามด้วยเสียงโลหะกระทบพื้นดังกังวาน
เขาอ้าปากหวอ ทำไมไอ้บ้านี่โหดขนาดนี้ นี่แทบไม่ต่างกับตอนเย่เฟิงกำจัดปืนพกในมือของเขาหรือเปล่านะ? หรือว่าคนคนนี้ก็เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์เช่นกัน?
“อย่าขยับ” ในเวลานี้เอง จ้าวอี้เปยที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับก็เอ่ยอย่างเยือกเย็นคำหนึ่งพร้อมหยิบปืนพกเล็งที่หัวของเซวี่ยนเฟิงฝู
ไม่แปลกที่เขาสามารถหยิบปืนพกออกมาได้ ทั้งหมดนี้เป็คำสั่งของเตาปาก่อนออกเดินทางว่าให้ซ่อนมันไว้บนรถ หากเจอด่านตรวจระหว่างทาง การขับรถฮัมเมอร์จะทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวและผ่อนปรนการตรวจสอบได้
เซวี่ยนเฟิงฝูชะงักเล็กน้อย
ปืน?
เห็นได้ชัดว่าท่าร่างของเขายังไม่สมบูรณ์แบบเท่าเย่เฟิง การบรรลุถึงขั้นนั้นจะสามารถหลบะุปืนได้ เซวี่ยนเฟิงฝูตกตะลึงเมื่อเห็นปากกระบอกปืนเล็งมาทางตัวเอง แน่นอนว่าเขากำลังหวาดกลัว
เย่เฟิงเห็นสถานการณ์แล้วถอนหายใจอย่างเสียดายเล็กน้อย เขาเหลือบมองจูไป่เหนี่ยวที่อยู่ด้านข้าง ในใจเสียดายที่ไม่ได้เห็นฝีมือของผู้ชายคนนี้
จูไป่เหนี่ยวเองก็มองเย่เฟิงเช่นกันราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นักล่าหลุมศพเพียงหัวเราะในลำคอแต่ไม่พูดอะไร
“บ้าไปแล้วเหรอถึงคิดจะปล้นรถฮัมเมอร์?” จ้าวอี้เปยติดตามเตาปานานเป็ปี ความร้ายกาจก็มีมากเช่นกัน แม้ปกติจะเป็เพียงหนุ่มน้อยน่ารักคนหนึ่ง แต่ในเวลาสำคัญแบบนี้จะทำเป็เล่นไม่ได้
“ถอยออกไปยืนข้างถนนซะ” จ้าวอี้เปยยกปืนเล็งไปทางเซวี่ยนเฟิงฝูอย่างระวังตัว
เซวี่ยนเฟิงฝูทำปากขมุบขมิบ จากนั้นค่อยๆ ยกมือยอมแพ้ ขณะเดียวกันก็ยกเท้าขวาเพื่อก้าวถอยหลัง
ทันใดนั้นชายผู้ร้ายกาจพลันเคลื่อนไหวและปล่อยกำปั้นใส่อย่างรวดเร็ว! หมัดนี้ถือว่าสมฐานะผู้ฝึกวรยุทธ์ โจรปล้นรถทุบข้อมือของจ้าวอี้เปยอย่างแรงแล้วแย่งปืนพกนั้นมา!
สถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เย่เฟิงไม่ทันได้ตอบโต้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเตาปาเลย
“ไอ้เวร มึงกล้าชี้ปืนใส่กูเหรอ คงเบื่อชีวิตแล้วสินะ...” เซวี่ยนเฟิงฝูแสยะยิ้มเหี้ยมพลางพลิกมือเล็งปากกระบอกปืนที่หัวของจ้าวอี้เปย เตรียมลั่นไกโดยไร้ความลังเล!
การฆ่าคนไม่ใช่เื่หนักหนาสำหรับเขา ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเมื่อเขาลงมือ ก็จะฆ่าคนที่อยู่ตรงนั้นให้หมด ไม่เหลือให้ไปปากสว่างที่ไหนอีก!
หัวใจของเย่เฟิงเต้นกระหน่ำ ยังไม่ทันถึงจุดหมายปลายทางคนก็จะตายแล้วหรือ? น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังอยู่เบาะหลัง แม้อยากไปช่วยก็คงไม่ทัน!
เขารู้สึกผิดในใจ รู้อย่างนี้คงไม่รอให้จูไป่เหนี่ยวลงมือหรอก หากจ้าวอี้เปยถูกฆ่า...
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะนั้นเองเสียงอาวุธมีคมสองสายตัดผ่านอากาศดังขึ้น
เคร้ง! ปัง! ฉึก!
เสียงแตกต่างกันสามเสียงดังเข้าหูเย่เฟิงติดต่อกัน เกิดประกายไฟเพียงชั่วพริบตา ไม่รู้เลยว่ามีดบินทั้งสองเล่มมาจากทางไหน มีดเล่มแรกโดนปืนพกในมือเซวี่ยนเฟิงฝูจนเขาเผลอลั่นไกตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทำให้ะุพุ่งโดนหน้าต่างรถ ส่วนมีดอีกเล่มที่ตามมาก็ปาดลำคอเซวี่ยนเฟิงฝูอย่างแม่นยำ
เสียงโลหะกระทบกันก่อนปืนพกจะตกลงพื้น
ดวงตาของเซวี่ยนเฟิงฝูเบิกกว้าง เขาหันมองก่อนชี้จูไป่เหนี่ยวที่นั่งอยู่เบาะหลัง หวังจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ได้เลย
เืสีแดงสดทะลักออกจากลำคอหยดเต็มพื้น
“ข้างหน้ามีสะพานอยู่ ต้องจัดการยังไงฉันคงไม่ต้องบอกหรอกมั้ง?” จูไป่เหนี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวก่อนตวัดสายตามองร่างของเซวี่ยนเฟิงฝู “รนหาที่ตายเองช่วยไม่ได้”
อาวุธลับ!
ไม่นานเย่เฟิงก็ตั้งสติได้ ไม่คิดเลยว่าคนคนนี้จะมีฝีมือการใช้อาวุธลับชั้นสูงตามคำเล่าลือ! ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนมานานเท่าไร แต่ดูจากความเร็วและวิถีของมีดบินทั้งสองเล่มแล้วน่าจะประมาณเจ็ดถึงแปดปีได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้เย่เฟิงไม่มีจิตหยั่งรู้จึงไม่สามารถตรวจสอบได้
“อี้เปย มานี่เร็ว ” ปฏิกิริยาของเตาปาเร็วมาก แม้ยังหวาดผวาเมื่อเห็นศพเซวี่ยนเฟิงฝูที่พื้น รวมทั้งจู่ไป่เหนี่ยวที่นั่งข้างเย่เฟิง ได้แต่ะโเรียกจ้าวอี้เปยให้ช่วยนำศพทิ้งลงแม่น้ำไหลเชี่ยวข้างหน้า
จ้าวอี้เปยรีบลงจากรถ สองคนร่วมมือกันลากศพออกไปพลางใช้ทิชชูปิดลำคอศพเพื่อไม่ให้ทิ้งรอยเื
“เซวี่ยนเฟิงฝูผู้นี้เชี่ยวชาญการอำพรางศพและทำลายหลักฐานมาก” จูไป่เหนี่ยวมองท่าทีของเย่เฟิงแล้วพบว่าอีกฝ่ายเหมือนคนธรรมดาจริงๆ เห็นท่าทางเด็กหนุ่มค่อนข้างใจึงอธิบาย “มันอยากให้เรากินบะหมี่[1] ฉันก็แค่ให้ของขวัญตอบแทนไปเป็ปกติ ได้ตายด้วยวิธีที่ตัวเองถนัดมากที่สุดก็น่าจะปลื้มอกปลื้มใจอยู่นะ”
เย่เฟิงเงยหน้ามองเตาปากับจ้าวอี้เปยช่วยกันโยนศพลงแม่น้ำ ในที่สุดคู่หูเจียงไหวก็สิ้นสุดลงที่นี่วันนี้แล้ว
“วางใจได้ ทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีปัญหาแน่นอน คนอย่างมันไม่มีเื้ัอะไรหรอก” จูไป่เหนี่ยวพูดต่อ
เย่เฟิงพยักหน้า “ผมคิดไม่ถึงเลยว่าผู้าุโจูจะเป็ผู้เชี่ยวชาญอาวุธลับ เป็เกียรติและโชคดีมากที่ได้ร่วมเดินทางกับคุณ”
ชายหนุ่มแสดงท่าทางนับถืออีกฝ่ายมาก
เมื่อจูไป่เหนี่ยวเห็นท่าทีของเขาก็ไม่สงสัยอะไรและคิดว่าเย่เฟิงต้องเป็เพียงคนธรรมดาแน่นอน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้อยากไปซากสุสานโบราณทำไม
เมื่อเตาปาและจ้าวอี้เปยจัดการศพและซากรถจักรยานยนต์เรียบร้อยแล้ว จึงออกเดินทางต่อด้วยรถฮัมเมอร์ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเมืองหลินเจียงซึ่งเป็จุดหมายปลายทาง
่เวลาสั้นๆ ระหว่างการเดินทาง เตาปาและจ้าวอี้เปยกลับรู้สึกว่าเป็่เวลาที่ไม่สบายใจมากที่สุด ทั้งสองคนรับรู้ว่ามันเป็ดินแดนต้องห้าม หากพวกเขาประมาทเพียงนิดเดียวก็อาจตายได้!
------------
[1] กินบะหมี่ เป็ภาษาลับในวงการ หมายถึง การฆ่าคนแล้วโยนลงน้ำเพื่ออำพรางศพ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้