เสิ่นจือลี่ก้มศีรษะไม่พูดจา
นางดูออกว่าส่วนลึกของดวงตาที่ไม่ยี่หระของเซียวกุ้ยเฟยนั้นแฝงความเ็าเอาไว้
จากลางสังหรณ์ของสตรี นางััได้ว่าเซียวกุ้ยเฟยเหมือนจะมีความเป็อริกับนาง
ขนตางอนเหลือบขึ้น นางเห็นนางกำนัลหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้านั้น...ดูแล้วคุ้นเคยเล็กน้อย...
ใช่แล้ว เป็นางกำนัลที่นางกับองค์หญิงตวนโหรวเดินสวนตอนไปเดินเล่นที่ตำหนักชิงหลวนก่อนหน้านี้!
นางพลันหลั่งเหงื่อเย็น มือไม้เย็นเยียบ
หรือว่าระหว่างที่พวกนางสนทนากันนั้นจะสร้างความปรปักษ์กับเซี่ยวกุ้ยเฟยอย่างไม่ทันระวังเข้าเสียแล้ว? แต่นางคิดไปคิดมาก็เหมือนจะไม่ได้กล่าวถึงเสี่ยวกุ้ยเฟยเลยนี่นา
เซียวกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น “คุณหนูใหญ่เสิ่นั้แ่เล็กก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากคนในตระกูลมาเป็อย่างดี ได้รับการเล่าเรียนศึกษาในจวนที่ดี ย่อมเข้าใจประโยคที่ว่า หากไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าตนทำสิ่งใด ก็อย่ากระทำสิ่งนั้น”
วันนี้เป็งานฉลองวันเกิดของนาง เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของนางหนาหนักและงามวิจิตร บนร่างสวมชุดปักดิ้นทองเป็ลายนกเฟิ่งหวงกับเมฆาสีแดง สีสันสดสวยราวกับมีก้อนลูกไฟห่อหุ้มนางไว้ ทั้งร่างประหนึ่งเปลวเพลิงอันร้อนแรง งดงามสูงส่งจนไม่มีคำบรรยาย เส้นผมงดงามนุ่มสลวยเกล้าขึ้นปักด้วยปิ่น ระย้าทองขยับไหวไปตามลมระยิบระยับสะดุดตา เข้ากับชุดลายเฟิ่งหวงเป็อย่างยิ่ง งดงามเป็ที่สุด การประทินโฉมก็ไร้ที่ติ
เสิ่นจือลี่พลันนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา : เมื่อเื่ราวดำเนินไปจนสุดทางแล้ว ก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกทางหนึ่ง
เซียวกุ้ยเฟยในตอนนี้ก็เหมือนกับเฟิ่งหวงที่บินกลับรังอย่างหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เปลวเพลิงลุกโชน ทั้งยังเป็เช่นดอกโบตั๋นสีแดงที่บานในยามเช้า รุ่มรวย สวยงาม เป็ดั่งบุปผาแห่งแคว้น
“หม่อมฉันโง่เขลานัก ขอกุ้ยเฟยโปรดชี้แนะด้วยเพคะ” เสิ่นจือลี่พูดด้วยท่าทีงดงาม
“นี่คือตำหนักชิงหลวนของเปิ่นกง ไม่ใช่จวนไท่ฟู่ ควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร กระทั่งไม่ควรคิดสิ่งใดก็จงอย่าได้คิด” เซียวกุ้ยเฟยเดินลงมา แล้วมายืนอยู่ตรงหน้านาง มือที่สวมปลอกเล็บทองคำเชยคางนางขึ้น “ไม่เช่นนั้นจะเป็การเพิ่มเื่ยุ่งยาก กระทั่งอาจนำพาเื่เลวร้ายมาสู่ตนเองได้”
“ปกติแล้วหม่อมฉันเป็คนระมัดระวัง ไม่มีทางคิดอะไรไม่ดีแน่นอนเพคะ” เสิ่นจือลี่พูดเสียงเบา ในใจเกิดความคิดประหลาดขึ้นมา : หรือเป็เพราะเื่อวี้หวาง?
แต่เหตุใดเซียวกุ้ยเฟยถึงต้องตักเตือนนางว่าอย่าคิดถึงอวี้หวางด้วยเล่า?
เซียวกุ้ยเฟยกระพริบตาน้อยๆ ไอเย็นดุร้ายทวีขึ้น ดีที่สุดย่อมต้องเป็เช่นนั้น หาไม่ก็ไม่รู้ว่าเื่ร้ายๆ จะมาถึงตัวเมื่อไหร่”
เสิ่นจือลี่มองตรงไปที่นาง ก่อนจะพูดอย่างอ่อนน้อม “ขอบพระทัยกุ้ยเฟยที่ชี้แนะ หม่อมฉันจะจดจำให้ขึ้นใจเพคะ”
“วันนี้ก็ขอให้เ้าเบิกบานสำราญใจในงานวันเกิดของเปิ่นกง ดื่มกินให้เต็มที่ อย่าได้กังวลเื่มารยาท เ้าออกไปเถิด”
“หม่อมฉันทูลลา”
เสิ่นจือลี่ค่อยๆ ถอยออกไป จากนั้นจึงค่อยๆ หมุนตัวออกมาจากตำหนักใหญ่
เถาจือนางกำนัลคนนั้นเดินเข้ามาด้วยแววตาเย็นเยียบ “กุ้ยเฟย แม่นางเสิ่นเหมือนจะจำหนูปี้ได้เพคะ”
เซียวกุ้ยเฟยััปลอกเล็บสีเหลืองทองอันงดงามเบาๆ แววตาเ็า “จำได้ย่อมดีที่สุด จากความฉลาดของนาง จะไม่รู้ว่าเปิ่นกงกำลังเตือนนางเื่อะไรได้อย่างไร”
เถาจือพูดอย่างเหยียดหยาม “นางเป็เพียงลูกขุนนางชั้นต่ำคนหนึ่งก็บังอาจหมายตาอวี้หวางหรือ? ช่างไม่รู้จักเจียมตัว”
“อายุสิบเจ็ดปี หัวใจเริ่มมีรักแรก อวี้หวางเป็ยอดคนท่ามกลางบรรดาัและเฟิ่ง เป็คนที่โดดเด่นที่สุดในราชวงศ์ นางจะชอบอวี้หวางก็เป็เื่ปกติ”
“ที่กุ้ยเฟยตรัสมาก็ถูกเพคะ กุ้ยเฟยตักเตือนนางครั้งนี้ หากนางยังมีความคิดชอบอวี้หวางอยู่อีกล่ะก็...”
“เช่นนั้นจะโทษว่าเปิ่นกงใจร้ายไม่ได้”
เซียวกุ้ยเฟยยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นเ็าไปจนถึงขั้วหัวใจ “ใช่แล้ว งานวันเกิดที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกครู่หนึ่งไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่”
เถาจือตอบ “หนูปี้ได้สั่งการลงไปแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเพคะ อีกประเดี๋ยวนางกำนัลจะจัดโต๊ะงานเลี้ยงด้านนอก อาหารของงานเลี้ยงก็กำลังจัดเตรียมอยู่ ให้หนูปี้ไปดูที่ห้องอาหารดีหรือไม่เพคะ?”
เซียวกุ้ยเฟยพยักหน้า “ไปเถิด”
ครั้นเห็นเสิ่นจือลี่เดินออกมา มู่หรงสือก็วิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ ในตอนที่กำลังจะะโเรียกนาง กลับเห็นนางมีท่าทางครุ่นคิด ไม่ค่อยปกตินัก
มู่หรงสือถามด้วยความเป็ห่วง “พี่เสิ่น ท่านเป็อะไรไปหรือ? เซียวกุ้ยเฟยตำหนิท่านมาใช่หรือไม่?”
เสิ่นจือลี่ได้สติกลับมาทันทีแล้วรีบตอบ “ไม่ใช่เพคะ”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย? เซียวกุ้ยเฟยพูดอะไรกับท่านหรือ?”
“ไม่มีอะไร เพียงพูดคุยเื่สัพเพเหระกันเท่านั้น”
เสิ่นจือลี่หน้าเจื่อน ในใจมั่นใจแล้วว่าเซียวกุ้ยเฟยกับอวี้หวางมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจบอกผู้ใดได้ ไม่แน่ว่าเซียวกุ้ยเฟยจะมีรักต้องห้าม รักชอบอวี้หวาง
มู่หรงสือพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว “ตอนนี้ยังไม่เย็นนัก พวกเราไปตำหนักบูรพากันดีหรือไม่?”
เสิ่นจือลี่กุมขมับ “อากาศคงจะร้อนเกินไป เมื่อครู่ก็เดินมาได้สักพักหนึ่งแล้ว หม่อมฉันเหนื่อยเล็กน้อย ้าจะพักอยู่บ้างเพคะ”
มู่หรงสือพองแก้มอย่างหงุดหงิด “ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราไปพักกันที่ตำหนักด้านข้างสักประเดี๋ยวก็แล้วกัน”
...
ในงานเลี้ยงของเซียวกุ้ยเฟย มู่หรงฉือย่อมจะต้องเข้าร่วมงาน เพราะเสด็จพ่อเองก็ต้องไป
นางกลับอยากจะรู้ว่า มู่หรงอวี้จะไปงานเลี้ยงวันเกิดนี้หรือไม่? ถึงอย่างไรเขากับเซียวกุ้ยเฟยก็มีความสัมพันธ์กันไม่ใช่หรือ
ครั้นคิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา คิดถึงว่าเขายังมาหยอกเย้านาง นางก็ฉุนขึ้นมา ไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงเสียแล้ว
ในตอนที่นางกำลังโมโหอยู่นั้น เสิ่นจือเหยียนก็มาขอพบ
นางพูดอย่างเสียอารมณ์ “เ้าก็มาร่วมงานด้วยหรือ”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมองไม่เห็นเงาหัวตัวเองเสียอย่างนั้น เขาเพิ่งจะมาถึงก็น่าจะยังไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อเตี้ยนเซี่ยนี่นา “น้องสาวเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยง ข้าย่อมต้องมาเป็เพื่อนนาง นางพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเกิดมาสองปี เพิ่งจะกลับเข้าเมืองหลวง ไม่ค่อยรู้จักคนในเมืองหลวงมากมายนัก”
“เปิ่นกงเองก็อยากจะมีพี่ชายคอยปกป้องบ้าง” มู่หรงฉือพูดหยอกล้อ
“เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงความรู้สึกอ่อนไหวเช่นนี้” เสิ่นจือเหยียนยิ้มขำ หน้าตาสดใส สวมชุดจีนสีขาวแฝงความบริสุทธิ์งดงาม เหมือนน้ำพุในฤดูร้อน ให้ความรู้สึกสดชื่น
“ก็แค่ระบายอารมณ์เท่านั้น”
“ใช่แล้ว เตี้ยนเซี่ย วันนี้ข้าตรวจศพของเซี่ยเสี่ยวลู่ใหม่อีกครั้ง พบอะไรใหม่ด้วยล่ะ”
“อ้อ? พบอะไรหรือ?” มู่หรงฉือกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ลุกขึ้นยืนรอเขาเล่า ดวงตาอันเฉลียวฉลาดกระพริบปริบๆ
เสิ่นจือเหยียนชี้ไปที่แก้มของตน “ที่แก้มของเซี่ยเสี่ยวลู่มีรอยนิ้วมือ เป็รอยที่เกิดขึ้นก่อนตาย หลังจากตายไปแล้วสองสามวันถึงได้ปรากฏขึ้นมา”
นางพูด “หรือจะพูดอีกแบบก็คือ เซี่ยเสี่ยวลู่ถูกคนร้ายอุดปากอุดจมูกจนขาดหายใจตาย”
เขาะโเรียกฉินรั่ว ชี้ไปที่แก้มซ้ายของฉินรั่ว “ตรงนี้สี่นิ้ว”
ต่อมา เขาก็ใช้ฉินรั่วเป็ตัวอย่างของคนที่ถูกทำร้าย ยืนอยู่ด้านหลังผู้เสียหาย เอามือปิดปากปิดจมูก “คนร้ายยืนอยู่ด้านหลังผู้ตายแล้วเอามือปิดจมูกเช่นนี้ ทำให้ผู้ตายขาดลมหายใจตนตาย ดังนั้นแก้มของผู้ตายจึงเกิดรอยเล็กน้อย”
นางจ้องไปยังตำแหน่งมือของเขาที่ปิดใบหน้าของฉินรั่ว “เ้าแน่ใจว่าเป็ตำแหน่งนี้?”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “รอยนิ้วมือชัดเจน คนร้ายเรี่ยวแรงเยอะมาก”
มู่หรงฉือเสนอความเห็น “ยังมีความเป็ไปได้ที่คนร้ายจะนั่งคร่อมอยู่บนร่างผู้ตาย ไม่ให้ผู้ตายร้องออกมาถึงได้ปิดปากปิดจมูก”
นางเรียกหรูอี้มาแล้วให้หรูอี้นอนลง ส่วนตัวเองลงไปนั่งทับตัวของหรูอี้ แล้วลองใช้มือซ้ายจากนั้นก็ใช้มือขวา “หากคนร้ายอยู่ด้านหน้าของผู้ตาย ใช้มือซ้ายปิดปากปิดจมูกผู้ตายก็ทำได้”
เขาอธิบาย “รอยนิ้วมือที่แก้มซ้ายของเซี่ยเสี่ยวลู่ผู้ตาย รอยนิ้วมือด้านล่างสุดเป็รอยที่อ่อนจางที่สุด เป็รอยที่เกิดจากนิ้วก้อย หากเป็ไปตามที่เตี้ยนเซี่ยกล่าว คนร้ายใช้มือซ้ายปิดปากกับจมูกผู้ตาย นิ้วชี้อยู่ด้านล่างสุด รอยนิ้วมือไม่มีทางเป็รอยที่จางที่สุดไปได้ หากใช้มือขวา รอยนิ้วก้อยจะอยู่ด้านล่างสุด แต่ว่าหากใช้มือขวาจะทุลักทุเลอยู่บ้าง”
นางลองใช้มือขวาอีกครั้ง ค่อนข้างลำบากอยู่บ้างจริงๆ ใช้มือซ้ายในการปิดปากอุดจมูกผู้ตายค่อนข้างราบรื่นกว่า
“แต่ก็ไม่ได้ตัดว่าคนร้ายจะใช้วิธีที่เปิ่นกงใช้ตอนที่เร่งรีบ แล้วใช้มือขวามาปิดปากจมูกผู้ตาย”
“ดังนั้น เื่นี้จึงสันนิษฐานได้แค่ตามที่พวกเราคิดกันได้” เสิ่นจือเหยียนกล่าวสรุป “หนึ่ง คนร้ายใช้มือขวาปิดปากกับจมูกของผู้ตายจากทางด้านหลัง สองคนร้ายกับผู้ตายหันหน้าเข้าหากัน ใช้มือขวาปิดจมูกคนตายเอาไว้”
“หากเป็สถานการณ์ที่หนึ่ง คนร้ายปิดปากปิดจมูกเหยื่อให้ตายก่อนแล้วค่อยข่มขืน?”
“ไม่ตัดความเป็ไปได้นี้”
“เตี้ยนเซี่ย พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?” หรูอี้หน้าตาเหรอหรา
“หรูอี้ อย่ารบกวนเตี้ยนเซี่ยกับใต้เท้าเสิ่นวิเคราะห์คดี” ฉินรั่วรีบห้าม
“ที่น่าสนใจก็คือ ข้าพบว่าหม่าตงผู้ต้องสงสัยเคยถูกหักมือขวามาก่อน ทั้งยังไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที หลายปีมานี้จึงไม่สามารถออกแรงได้มาตลอดเท่ากับเป็คนที่มือขวาใช้การไม่ได้แล้ว” เสิ่นจือเหยียนยิ้มเย็น “หากหม่าตงใช้มือปิดปากกับจมูกผู้ตายจริงจนทำให้ผู้ตายขาดอากาศจนตาย เช่นนั้นก็ต้องเป็นิ้วโป้งอยู่ด้านล่าง ซึ่งไม่เข้ากับรอยนิ้วมือที่อยู่บนใบหน้าผู้ตาย”
มู่หรงฉือใ “ความหมายของเ้าก็คือ หม่าตงอาจถูกใส่ความจริงๆ? เขาไม่ได้ข่มขืนแล้วฆ่าเซี่ยเสี่ยวลู่?”
เขาพยักหน้า “หากคนร้ายเป็คนอื่น เช่นนั้นคนๆ นี้ก็น่ากลัวนัก ถึงกับสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายหม่าตงได้อย่างหมดจดเช่นนี้ออกมา”
นางพูดต่อ “หม่าตงร้องว่าตนถูกใส่ร้ายตลอด จำไม่ได้ว่าหลังจากเมามายไร้สติแล้วเกิดเื่อะไรขึ้น เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้ว คนร้ายตัวจริงตั้งใจจะให้หม่าตงเป็แพะรับบาป”
จู่ๆ นางก็คิดถึงเชือกถักสีแดงเส้นนั้นขึ้นมา แล้วสั่งให้หรูอี้ไปเอาที่ห้องบรรทม “ตอนนี้ไม่ตัดความเป็ไปได้ที่คนร้ายจะเป็ผู้อื่น เช่นนั้นบางทีเชือกถักสีแดงอาจจะเป็สิ่งที่คนร้ายทิ้งเอาไว้”
“ปกติแล้วจะต้องเป็สตรีที่จะพกเชือกถักหรูอี้สีแดงเช่นนี้ติดตัว แต่คนร้ายที่ฆ่าเซี่ยเสี่ยวลู่นายบ่าวน่าจะเป็บุรุษที่มีพละกำลังเยอะมาก” เสิ่นจือเหยียนค่อยๆ เดินอยู่ในตำหนักใหญ่พลางพูดวิเคราะห์ “ข้ากำลังคิดว่า หรือจะเป็ขอทานคนอื่นที่พักอยู่ในวัดคืนเดียวกัน เมื่อก่อคดีเสร็จก็โยนความผิดไปให้หม่าตงหรือไม่”
“ก็มีความเป็ไปได้” ฉินรั่วกล่าว
“เ้าส่งคนไปตรวจสอบใกล้ๆ วัดแล้วหรือยัง?” มู่หรงฉือถาม
“เช้าวันนี้ข้าสั่งให้เ้าหน้าที่ปลอมตัวไปเดินสอบถามอยู่นอกประตูทิศตะวันตก หวังว่าจะมีความคืบหน้าใดบ้าง” เขาตอบ “คดีนี้จับคนร้ายได้ในที่เกิดเหตุ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่ามันราบรื่นเกินไป”
“คนร้ายตัวจริงจัดฉากได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็คนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง” ดวงตาของนางฉายความสงสัย
ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น พวกเขาลองเรียบเรียงรูปคดีใหม่ แต่ว่ายังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม
ในตอนนี้เองก็มีขันทีคนหนึ่งเข้ามารายงาน “เตี้ยนเซี่ย ตำหนักชิงหลวนส่งข่าวมาบอกว่า เซียวกุ้ยเฟยหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือพูดอย่างไม่พอใจ “เซียวกุ้ยเฟยโตขนาดนั้นแล้ว จะหายไปได้อย่างไร?”
ขันทีตอบกลับ “เตี้ยนเซี่ย เซียวกุ้ยเฟยหายตัวไปจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ องครักษ์กับนางกำนัลค้นหาไปทั่วทั้งตำหนักชิงหลวน ก็ยังหาเซียวกุ้ยเฟยไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างไม่เข้าใจ “นี่ชักแปลกเกินไปแล้ว คนโตๆ แล้วคนหนึ่งจะหายตัวไปได้อย่างไร? อีกอย่าง ข้างกายเซียวกุ้ยเฟยมีนางกำนัลคนสนิทดูแลอยู่ คงไม่ถึงกับหายตัวไปในตำหนักชิงหลวนของนางเองหรอกกระมัง”
มู่หรงฉือเดินออกไปด้านนอก พูดเสียงเย็น “ไปดูที่ตำหนักชิงหลวน”
ตำหนักชิงหลวนในตอนนี้ยุ่งจนเละเป็โจ๊ก บรรดาบุตรสาวของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปในเมืองหลวงกับเหล่าคุณชายจากตระกูลมีชื่อเสียงไม่อาจเข้าไปในสวนด้านหลังได้ จึงทำได้เพียงรั้งอยู่ในตำหนักด้านข้าง เถาจือผู้เป็หัวหน้านางกำนัลตำหนักชิงหลวน แม้จะร้อนใจแต่ว่ายังคงสั่งงาน จัดแบ่งองครักษ์และนางกำนัลออกเป็กลุ่มเล็กหลายกลุ่มให้ตามหาเซียวกุ้ยเฟยทั้งด้านนอก ด้านในและโดยรอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้