“เื่แต่งงาน? บ่าวไม่รู้ว่ามีเื่แบบนี้มาก่อนเลยเ้าค่ะ หรือว่านายท่านกล่าวไปเช่นนั้นเอง ฮูหยินไม่เคยกำหนดหมั้นหมายคุณหนูกับผู้ใดนะเ้าคะ” ิมามาปฏิเสธเสียงแข็งก่อนที่โม่เสวี่ยถงจะเล่าจบเสียอีก
“แม่นมทราบหรือไม่ว่าท่านแม่เคยไปมาหาสู่กับฮูหยินสกุลไหนเป็พิเศษบ้าง” โม่เสวี่ยถงถามอย่างไม่ลดละ เฟิงเจวี๋ยหร่านไม่ใช่คนพูดอะไรเลื่อนลอยโดยไม่มีมูลเหตุแม้ว่าเขาจะดูเกกมะเหรก ไม่เป็โล้เป็พาย แต่นางรู้ว่าเขามิได้ไร้พิษสงเหมือนอย่างที่แสดงออก
การพบเจออันน่าเหลือเชื่อที่วัดเป้าเอินซื่อ ก็บ่งชัดแล้วว่าเขามิใช่คนธรรมดา
คนแบบเขาหรือจะพูดเื่เหลวไหลไร้สาระ
คำตอบคือเป็ไปไม่ได้แน่นอน!
“ฮูหยินสุขภาพไม่ดี นอนป่วยอยู่บนเตียงมาโดยตลอด ยามอยู่อวิ๋นเฉิงก็ไม่มีสหายที่สนิทสนมกันเป็พิเศษ กับเหล่าฮูหยินคนอื่นๆ ก็คบหาเพียงผิวเผิน เื่กำหนดหมั้นหมายให้คุณหนูย่อมเป็ไปไม่ได้หรอกเ้าค่ะ” ิมามาย้อนนึกถึงอดีตไปพลาง กล่าวไปพลาง
นางเป็แม่นมของลั่วเสีย อยู่กับลั่วเสียตลอดเวลา ต่อมาเมื่อแต่งเข้าสกุลโม่ก็ยังจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย โม่เสวี่ยถงเชื่อคำพูดของนาง แต่แปลกที่นางยังรู้สึกว่าคำพูดของเฟิงเจวี๋ยหร่านเชื่อได้
เมื่อท่านแม่มิได้คบหากับฮูหยินสกุลใดเป็พิเศษ แล้วจะกำหนดหมั้นหมายให้ตนเองได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดยี่สิบปีเมื่อชาติที่แล้ว กับชาตินี้อีกสิบกว่าปี นางยังไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงเื่นี้เลย หรือว่าท่านพ่อเห็นเหตุการณ์จวนตัวจึงหาข้ออ้างพูดส่งๆ ไปเช่นนั้นเอง
แต่ก็ไม่น่าจะเป็ไปได้ เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด ทว่าก็ไม่รู้จะไปหาคำตอบจากที่ไหน แม้แต่แม่นมของท่านแม่ยังบอกว่าไม่มี แล้วจะเป็ไปได้อย่างไร
คืนนี้โม่เสวี่ยถงยากจะหลับลง พลิกไปพลิกมานอนคิดไม่หยุด รู้สึกว่าเื่นี้ดูเหลือเชื่อเกินไป แต่กลับกดทับหัวใจของนางจนอึดอัดไปหมด เจอโศกนาฏกรรมชีวิตมาแล้วชาติหนึ่ง ชาตินี้เื่การแต่งงานนางคงต้องดูให้ดี นางมิได้้าคู่ครองที่พิเศษเลิศเลอ ไม่ขอคนที่ยกย่องให้เกียรติมากมาย ขอเพียงเขารักเดียวใจเดียวและดีกับนางเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ได้ นางไม่อาจให้เื่แต่งงานมาทำลายทั้งชีวิตของตนเองได้อีก
“คุณหนู เมื่อวานตอนบ่ายโม่ซิ่วสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่ฉวยโอกาส่ที่ออกไปซื้อแป้งผัดหน้า แอบไปที่จวนเจิ้นกั๋วโหวเ้าค่ะ เข้าไปทางประตูข้าง ใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาจึงกลับออกมา เช้าวันนี้มีการเตรียมรถม้าภายในจวน กล่าวว่าคุณหนูใหญ่สั่งไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะออกไปข้างนอกเ้าค่ะ” ยามเช้าตรู่ โม่เยี่ยนำข่าวจากโม่เฟิงมารายงานต่อให้โม่เสวี่ยถงรับทราบ
ความคิดแรกของโม่เสวี่ยถงก็คือ โม่เสวี่ยิ่มีนัดกับซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่ความคิดที่สองกลับคัดค้านความคิดก่อนหน้า
โม่เสวี่ยิ่จะนัดพบซือหม่าหลิงอวิ๋นเพื่อปรึกษาเื่อะไร ่นี้นางกำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน แม้แต่ภายในจวนยังต้องเก็บหางจิ้งจอกให้เรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนก็มิได้มีใจต่อกัน ไม่น่าจะนัดพบเจอกันได้ หากตัดเื่นี้ออกไปแล้ว ก็เหลือแต่หาวิธีเล่นงานตนเองอยู่เป็การลับ
ริมฝีปากคลี่ยิ้มเยาะหยันทอวูบออกมาสายหนึ่ง
สองคนนี้หากไม่ได้ตามความมุ่งหมาย ก็ไม่ยอมเลิกราสินะ
โม่เสวี่ยถงหยิบเม็ดประคำไข่มุกมาถือเล่นในมือครู่ใหญ่ จึงเอ่ยถาม “เมื่อวานคุณหนูสี่กลับถึงเรือนตอนไหน”
“ครึ่งคืนแล้วคุณหนูสี่จึงได้รับอนุญาตให้กลับเรือนเ้าค่ะ แต่น่าแปลกนัก สาวใช้ประจำตัวของคุณหนูสี่ออกไปนอกจวนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอถึงยามวอก[1] ก็ออกไปอีกครา ไปร้านขายยาเ้าค่ะ” โม่เยี่ยรายงาน
เนื่องจากต้องสะกดรอยตามโม่ซิ่วสาวใช้ประจำตัวของโม่เสวี่ยิ่ โม่เฟิงจึงมิได้ตรวจสอบให้ชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายเข้าไปซื้อยาอะไรกันแน่
พี่สาวน้องสาวของนางเหล่านี้ช่างดีแท้ ไม่ว่าใครก็คิดหาทางทำร้ายนางทั้งสิ้น
“โม่หลัน เดี๋ยวเ้าออกไปปล่อยข่าวลือว่าข้ากับพี่หญิงใหญ่และเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อจะไปเที่ยวด้วยกัน” โม่เสวี่ยถงเอ่ยกับโม่หลันขณะที่นางกำลังช่วยแปรงผมให้ แม้จะไม่ชัดเจนว่าโม่เสวี่ยิ่คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ แต่ถ้ามีโม่เสวี่ยฉงจอมป่วนเพิ่มเข้าไปอีกคน รับรองว่าต้องทำให้นางหัวะเิได้แน่นอน
แผนการของนางจะล้ำลึกแค่ไหน ลองมาเจอสตรีหนังหน้าหนาอย่างโม่เสวี่ยฉงก็ไปไม่เป็เหมือนกัน
นางเลือกปิ่นเรียบๆ ชิ้นหนึ่งเสียบเข้าไปที่มวยผมด้านหลัง
หลังจากไปคารวะเหล่าไท่ไท่แล้ว โม่เสวี่ยิ่กับโม่เสวี่ยถงก็กลับออกมาพร้อมกัน
“น้องสาม เ้ามีเวลาไปเที่ยวนอกเมืองกับข้าหรือไม่ ได้ยินมาว่าดอกเหมยเบ่งบานแล้ว ข้าอยากจะไปเก็บสักสองสามช่อมาปักแจกันในห้องหนังสือของท่านพ่อ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่าน เป็ข้าไม่ดีเอง ทำให้ท่านพ่อต้องทุกข์ใจ” โม่เสวี่ยิ่ยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ นางยังคงดูอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน หากมิได้เกิดเื่ในวัง โม่เสวี่ยิ่ก็ยังคงขึ้นชื่อว่าเป็สตรีมากความสามารถคนหนึ่งของเมืองหลวง
ป่าท้อชานเมืองตะวันออกเป็ป่าท้อที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองหลวง ที่นั่นเดิมทีเป็คฤหาสน์ของจิ้นอ๋อง เล่ากันว่าชายาจิ้นอ๋องชอบป่าเหมยเป็ที่สุด ดังนั้นจึงปลูกต้นเหมยกินพื้นที่เป็วงกว้างภายในบริเวณคฤหาสน์ แม้จะมิได้ล้ำเลิศเหมือนในวังหลวง แต่ก็มีปริมาณเยอะกว่ามาก ดอกเหมยนานาพรรณแข่งกันเบ่งบานท่ามกลางหิมะขาวโพลน งดงามสุดพรรณนา
หลังจากเหตุการณ์จิ้นอ๋องก่อฏผ่านพ้นไป จวนจิ้นอ๋องก็ถูกยึดกลายเป็ของทางการ มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดพายุฝนถล่มครั้งใหญ่ หลังพายุผ่านไปมีคนพบว่าป่าเหมยที่ไม่มีใครมาดูแลแห่งนี้นอกจากจะไม่เสื่อมโทรมไปเพราะเ้านายเดิมไม่อยู่แล้ว กลับงดงามตระการตายิ่งกว่าในอดีต จึงมีผู้หวังดีมารื้อกำแพงที่หักพังทั้งสองด้านออก ป่าเหมยผืนใหญ่แห่งนี้จึงเผยออกสู่สายตาประชาชน และกลายเป็ป่าท้อในเขตชานเมืองตะวันออกที่ขึ้นชื่อที่สุด
“พี่หญิงใหญ่ ข้ากำลังจะไปเรียนทำครัว หลังจากเรียนสำเร็จแล้วจะได้ทำกับข้าวให้ท่านพ่อเป็การแสดงความกตัญญูต่อท่าน” โม่เสวี่ยถงช้อนตาขึ้นกล่าวอย่างเอียงอาย
“น้องสามเรียนทำอาหารอยู่หรือ เช่นนั้นก็ดีเลย ข้าก็อยากเรียนเหมือนกัน ที่เรือนของข้ามีตำราทำอาหารอยู่เล่มหนึ่งพอดี ในนั้นมีวิธีทำอาหารที่มีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ท่านพ่อจะต้องชอบเป็แน่ เอาไว้พวกเรามีเวลาว่างค่อยไปเรียนด้วยกันดีหรือไม่?” โม่เสวี่ยิ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ หากโม่เสวี่ยถงปฏิเสธก็ดูจะแล้งน้ำใจไปหน่อย
“ขอบคุณพี่หญิงเ้าค่ะ ต้องไปตามน้องสี่มาด้วยหรือไม่”
โม่เสวี่ยิ่อึ้งงัน เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานแพร่ออกไปทั่วจวน ใครๆ ก็รู้ว่าเมื่อวานนี้ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน ยามนี้โม่เสวี่ยถงยังคิดจะให้โม่เสวี่ยฉงไปด้วยอีกหรือนี่
“เมื่อวานนาง... สุขภาพไม่ค่อยดี เกรงว่าคงไม่มีอารมณ์ไปไหนหรอกกระมัง” นางแสร้งกล่าวเป็ห่วงเป็ใย สีหน้าลำบากใจ
เมื่อวานคุกเข่าอยู่ห้องบูชาบรรพชนตั้งครึ่งค่อนคืน ตอนนี้คงไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร เวลาล่วงเลยมาถึงยามนี้แล้วก็ยังไม่มาคารวะเหล่าไท่ไท่
“พี่หญิงใหญ่เอ่ยถึงข้าหรือ หากหมายถึงข้าจริงๆ ล่ะก็ วันนี้ข้าก็อารม์ดีอยู่นะ ออกไปชมดอกเหมยกับพี่หญิงทั้งสองได้ เพียงแต่เป็เื่ที่ข้าไม่อาจร้องขอได้เท่านั้น” น้ำเสียงไพเราะอ่อนหวานลอยมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เห็นโม่เสวี่ยฉงซึ่งแต่งกายอย่างงดงามปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเหมือนคนกำลังจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน
“น้องสี่ ร่างกายเ้าเป็อย่างไรบ้าง ไม่เป็อะไรจริงๆ หรือ” รอยยิ้มของโม่เสวี่ยิ่ชะงักงัน จากนั้นก็แสร้งทอยิ้มเจิดจ้าออกมาอีกครั้ง เดินเข้าไปถามอย่างสนิทสนม
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ก็เป็การไปสะกิดแผลของโม่เสวี่ยฉง นางหันไปเหวี่ยงสายตาใส่โม่เสวี่ยถงอย่างขุ่นเคือง ลอบขบกรามกรอด นางไม่มีทางยอมให้นังคนชั้นต่ำนี่ได้ไปเสวยสุขเด็ดขาด แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงเื่นี้
“พี่หญิงใหญ่ดีต่อข้าจริงๆ ไม่เหมือนใครบางคน ไม่มีความเป็ผู้ดีเช่นสตรีชั้นสูงสักนิด ไปที่ไหนก็มีแต่จะก่อความรำคาญใจให้ผู้อื่น หากพี่หญิงใหญ่จะพานางไป ไม่สู้พาข้าไปดีกว่า จะได้ไม่ถูกใครหาเื่ไปฟ้องบิดาอีก” โม่เสวี่ยฉงตีฝีปากคมกริบ เดินเบียดแทรกเข้ามา จนโม่เสวี่ยถงเกือบหกล้ม
โชคดีที่โม่เยี่ยเอื้อมมือมาประคองนางไว้ทัน ขณะที่คิดจะสั่งสอนกลับเป็การลับ ก็ถูกโม่เสวี่ยถงปรามด้วยสายตา นางไม่เก็บถ้อยคำกระแนะกระแหนของโม่เสวี่ยฉงมาใส่ใจแม้แต่น้อย ยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน “น้องสี่ พี่หญิงใหญ่บอกว่าจะไปชมดอกท้อ จะไปด้วยกันหรือไม่ล่ะ”
“พี่หญิงใหญ่ จริงๆ หรือ งั้นข้าก็จะไปด้วย” โม่เสวี่ยฉงดวงตาเป็ประกาย เลิกสนใจทำศึกกับโม่เสวี่ยถงชั่วคราว วันนี้นางอุตส่าห์ฝืนใจตื่นแต่เช้า ได้ยินสาวใช้คุยกันว่าพวกนางกับซือหม่าหลิงอวิ๋นจะออกไปเที่ยวพร้อมกัน นางตกหลุมรักซือหม่าหลิงอวิ๋นมาโดยตลอด คราที่แล้วที่นางกล้าวิวาทตบตีกับโม่เสวี่ยิ่โดยไม่นำพาสิ่งใดก็เพราะเขา
ทว่าจนถึงบัดนี้นางก็ยังไม่มีโอกาสได้พบซือหม่าหลิงอวิ๋นอีกเลย ต่อมามีข่าวลือแพร่ออกไปว่าโม่เสวี่ยิ่ลอบติดต่อกับซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็การส่วนตัว เื่เหล่านี้โม่เสวี่ยิ่อธิบายให้นางฟังว่าจริงๆ แล้วนางกับเขามิได้มีอะไรกัน มิเช่นนั้นหากรู้ว่าเขาาเ็ คงบุกเข้าไปหาถึงในห้องแล้ว ไหนเลยจะแค่ยืนอยู่ในลานสวน
คำพูดนี้ก็พอจะทำให้นางเชื่ออยู่บ้าง คิดว่าหากตนเองรู้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นได้รับาเ็ก็จะต้องบุกเข้าไปหาแน่นอน โม่เสวี่ยิ่มิได้เข้าไปในห้อง ก็ไม่อาจนับได้ว่าสนิทสนมกันเป็การส่วนตัว และอีกไม่กี่วันต่อมาซือหม่าหลิงอวิ๋นก็แอบให้คนส่งของขวัญมาให้ อธิบายกับนางว่า เขามีใจให้นางเพียงผู้เดียว เื่ทุกอย่างระหว่างเขากับโม่เสวี่ยิ่เป็เพียงข่าวลือที่เชื่อถือไม่ได้
เมื่อก่อนยามที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นพบนางก็มักจะวางตัวเป็กลางไม่อบอุ่นหรือเ็าจนเกินไป บางครั้งแค่จะช้อนตามองยังเต็มไปด้วยการรักษามารยาท เขาไม่เคยพูดกับนางชัดเจนถึงเพียงนี้มาก่อน แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกเบิกบานใจได้อย่างไร เฝ้ารอวันที่จะได้พบเจอกับเขาอีก คิดไม่ถึงว่าหลังจากครั้งนั้นซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ไม่ได้มาจวนโม่อีกเลย
ดังนั้นพอได้ยินว่าจะได้พบซือหม่าหลิงอวิ๋น โม่เสวี่ยฉงก็ไม่สนแล้วว่าร่างกายของตนเองจะเมื่อยล้าเพียงใด รีบแต่งตัวอย่างงดงามเพื่อจะไปพบซือหม่าหลิงอวิ๋น
“น้องสี่เมื่อคืนเ้า... ถึงเพียงนั้น ร่างกายจะรับไหวได้อย่างไร ข้าเป็ห่วงเ้า เดี๋ยวท่านพ่อจะมาตำหนิได้ว่าข้าเป็พี่สาวแต่กลับไม่รักน้อง พาเ้าไปทรมาทรกรรม รอให้หายดีก่อน คราวหน้าจะออกไปต้องตามเ้าไปด้วยแน่ ดีหรือไม่?” โม่เสวี่ยิ่หรือจะยอมพาโม่เสวี่ยฉงไปด้วย ยามนี้จึงมุ่นคิ้วขมวดแสร้งทำทีเป็ห่วงใย
“พี่ใหญ่ ร่างกายข้าปรกติดีทุกอย่าง ไฉนจึงไม่ยอมพาข้าไปด้วยเล่า หรือว่ามีสิ่งใดที่ไม่อยากให้ข้าเห็น” เบื้องลึกในดวงตาของโม่เสวี่ยฉงฉายแววเคลือบแคลงใจ คำกล่าวนี้ดูไร้ความเกรงใจเป็ที่สุด ตอนนี้ฟางอี๋เหนียงมิได้เป็ที่รักใคร่โปรดปรานของโม่ฮว่าเหวินอีกต่อไป นางจึงรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็ต้องระวังตนเหมือนเดิมอีก
“จะไม่ยอมได้อย่างไรเล่า เมื่อเป็เช่นนี้ พวกเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” โม่เสวี่ยิ่ถูกต้อนจนหมดหนทาง จึงจำใจต้องรับคำ
ที่หน้าประตูจวนมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคัน โม่เสวี่ยฉงรู้สึกตื่นเต้น ตั้งท่าจะขึ้นรถม้า ทันใดนั้นก็ถูกคนเหยียบชายกระโปรงด้านหลังจนนางเกือบล้ม เมื่อหันศีรษะกลับไปก็พบว่าเป็โม่ซิ่ว จึงสะบัดมือตบ ก่อนด่าทอด้วยความโกรธ “นังบ่าวชั้นต่ำ เดินไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร”
“คุณหนูสี่โปรดเมตตา บ่าวไม่ทันระวัง ต้องขออภัยด้วยเ้าค่ะ” โม่ซิ่วใ เอามือกุมใบหน้า ลงไปคุกเข่าที่พื้นแล้วร้องขอให้ละเว้นโทษ
เกิดเื่ที่หน้าประตูใหญ่เสียงดังออกไป คนที่ผ่านไปมาต่างหยุดยืนดู
“น้องสี่มีสิ่งใดไม่พอใจ นี่มันหน้าประตูใหญ่นะ... แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสม” โม่เสวี่ยิ่กดเสียงต่ำเตือนสติ บ้านสกุลโม่อยู่ติดถนนใหญ่ ยามนี้เห็นคุณหนูสองสามคนออกมาจากด้านใน ก็สอดส่ายสายตามาทางนี้ นี่มิใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการลงโทษบ่าวไพร่
“พี่ใหญ่ กระโปรงตัวใหม่ของข้าเลอะหมดแล้ว จะทำอย่างไร เป็เพราะนังบ่าวตัวดีผู้นี้ทีเดียว” โม่เสวี่ยฉงเดือดจัดที่ถูกโม่ซิ่วเหยียบชายกระโปรง ดึงชายกระโปรงด้านหลังมาดู ก็เห็นรอยเท้าประทับอยู่ชัดเจน แล้วจะไม่ให้นางนึกโมโหจนปากคอสั่นได้อย่างไร
“กระโปรงแบบนี้ข้าก็มี ดูเหมือนว่าจะตัดมาพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นข้ากับน้องสามล่วงหน้าไปก่อน ส่วนเ้าก็ตามโม่ซิ่วไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เรือนฝูฉิง เปลี่ยนเสร็จค่อยตามมา แล้วไปพบกันที่ป่าท้อเลยดีหรือไม่” โม่เสวี่ยิ่กล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ ทำทีคล้ายว่าคิดเผื่อโม่เสวี่ยฉง
สวมชุดกระโปรงแบบนี้ไปพบบุรษในดวงใจ ไม่เพียงแต่ไม่สร้างความประทับใจ อาจทำให้เขานึกรังเกียจได้ ไม่ว่าอย่างไรโม่เสวี่ยฉงก็ต้องไปเปลี่ยนชุด
แต่หากตนเองไปสายก็อาจจะไม่ได้พบกับซือหม่าหลิงอวิ๋น หรือไม่ก็ตามไปไม่ทัน
……………………………………………………………………………………..…………...…………....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามวอก หรือ ยามเซิน หมายถึง่เวลา 15:00น.-17:00น. เป็่บ่ายคล้อยใกล้ค่ำ ลิงมักส่งเสียงร้องเวลานี้จึงเรียกว่ายามวอก