“โง่ที่สุด... โง่มาก... โง่เง่าเป็บ้า!”
เหม่ยฉีสบถซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เคียดแค้นสาหัสซึมลึกถึงก้นบึ้งจิตใจนาง ไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากสั่นระริก มือกำหมัดแน่น นางโกรธจนหน้าแดงก่ำไปหมด
“หมายถึงใครเ้าคะ? คุณหนูไม่พอใจใคร ข้าจะไปลากคอพวกนางมาลงโทษให้คุณหนูสบายใจ”
“จะใครเล่า! นักเขียนบ้านี่ไง วางพล็อตเื่มาซะดิบดี นางเอกฉลาดชะมัด รู้มันทุกเื่ รู้ไปหมดทุกอย่าง เื่แค่นี้กลับไม่รู้ ทำไมไม่รู้...” ปลายเสียงหายลงคอแห้งผากไป เหม่ยฉีหน้าตะลึงลาน เบิกตามองหญิงสาวในวัยไล่เลี่ยนาง ทั้งสองสวมชุดสีครีมอ่อน มีเครื่องประดับน้อยชิ้น คลับคล้ายคลับคลาสาวใช้ในยุคโบราณ
“พวกเ้าเป็ใคร!? ทะ... ที่นี่... ที่ไหน?”
“คุณหนูรองจำพวกข้าไม่ได้หรือเ้าคะ?”
สาวใช้มองหน้ากันอย่างงุนงง เมื่อคุณหนูรองทำหน้าเหมือนเห็นผี นางลุกพรวดจากฟูก วิ่งโวยวายไปทั่วเรือน ‘นี่มันที่ไหน! ข้าฝันแน่ ๆ ฝันไปแล้ว’
คุณหนูรองในชุดขาวสะอาดไม่ทันได้รับขันน้ำเพื่อล้างหน้าบ้วนปาก ไหนจะชุดสวยงาม เกล้าผมด้วยปิ่นทองอย่างพิถีพิถัน อาหารเช้าอันควรละเมียดละไมชิม โดยเฉพาะผักปลาเพื่อสุขภาพ ในเมื่อเรือนร่างผิวพรรณอันงดงามของนางเป็ที่นิยมชมชอบของบุรุษในแคว้นต้าเหลียง
รับรองว่าเป็เื่ใหญ่แน่! ใครเล่าจะอยากโดนลงโทษั้แ่รุ่งเช้า อากาศสดชื่นแจ่มใสเช่นนี้
เรือนกว้างขวางเกิดเสียงดังราวเสียงกลอง ล้วนเป็เสียงฝีเท้าของคุณหนูรองและบ่าวรับใช้ บ่าวหญิงชายเข้าไปไถ่ถามว่าคุณหนูรอง้าสิ่งใด มีอะไรให้รับใช้หรือไม่ นางตั้งคำถามแปลก ๆ ตะคอกใส่พวกเขา
“ข้าไม่หิว! ข้าสบายดี!”
เื่คุณหนูรองล้มป่วย แถมตื่นนอนมาก็เสียสติไปแล้วถึงหูบิดา ก่อนที่นางจะเรียกชื่อบ่าวรับใช้ได้ถูกต้องทั้งหมด ไม่มีคนไหนที่นางจำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้
นี่มันเื่อะไรกัน?
อาการปวดขมับทำให้เหม่ยฉีหยุดยืนอยู่กับที่ ความทรงจำเ้าของร่างแล่นไหลเข้ามาในหัวนาง พลันหันไปกระจกบานหนึ่งในห้องรับรองแขก
“เยว่ฉี!”
‘สตรีผู้ถือตำราลับสกุลหยาง’
นิยายที่นางกำลังอ่าน!
นางเอกของเื่เป็บุตรีหมอหลวงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ กำลังทหารเข้มแข็ง ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิผู้เกรียงไกร ชาวประชาอยู่ดีกินดี เป็ยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุด
หมอหลวง ‘ไท่ซือจิ่ว’ ได้รับการขนานนามว่าเป็หมอเทวดาลงมาจุติ เก่งฉกาจเสียจนเป็ที่ถูกใจของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ ว่ากันว่าไม่มียาตำรับใดที่เขาไม่สามารถปรุงมันขึ้นมา แม้กระทั่งยาถอนพิษซึ่งไร้หนทางแก้ ฮองเฮาองค์ก่อนเกือบถูกลอบปลงพระชนม์ ทว่าวาสนายังมี ถึงมือหมอหลวงผู้นี้เสียก่อน จึงรอดชีวิตได้ราวปาฏิหาริย์
ไท่ซือจิ่วได้ถ่ายทอดวิชาการปรุงยาให้กับบุตรสาวด้วย เยว่ฉีเป็นักปรุงยาสตรีคนแรกแห่งต้าเหลียง
“ก็ต้องเป็นางนั่นแหละ ห้องนอนข้าไม่ใหญ่ขนาดนี้!”
แม้แต่ภาษาที่พลั้งปากพูดดันเป็หญิงโบราณไปเสียอย่างนั้น เหม่ยฉีส่ายหน้ามองเรือนกว้างขวางแบ่งแยกเป็สัดส่วน ตกแต่งด้วยของมีค่าสมฐานะผู้ดี เรือนไม้แยกย่อยที่ล้อมลานทั้งสี่ทิศ ต้นไม้เขียวชอุ่ม มีป่าไผ่ด้านหน้าเรือนรับรองแขกในทิศอุดร สวนน้ำตกประดับด้วยหินนิลหายาก บ่อปลาซึ่งรวมทั้งบ่อแล้วต่อให้นางตรากตรำทำงานครึ่งชีวิตก็คงไม่มีปัญญาจะซื้อแม้ปลาสักตัว
ที่นี่ไม่ต่างจากพระราชวังขนาดย่อม ด้วยความที่เป็ทั้งบ้านพักอาศัยและโรงปรุงยา
หลังสำรวจพื้นที่โดยรอบในระยะเวลาอันสั้น โดยไร้บ่าวรับใช้ซึ่งพาลหวาดกลัวนางจนไปหาที่หลบซ่อนตัวในเรือน นางเหงื่อท่วมโทรมกาย พบชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านไปไว ๆ ทางชะลอมไม้ไผ่สำหรับตากสมุนไพรวางเรียงราย
นางขยับจมูดตามกลิ่นอบอวลของใบไม้ที่ถูกต้มและเผา ชะโงกคอมองเรือนไม้สำหรับปรุงยา มีทั้งบ่าวรับใช้และผู้มาศึกษาวิชายา ได้ยินพวกเขาเรียก ‘ท่านหมอหลวงขอรับ’ ต่างคนเข้าไปช่วยงานเ้าของเรือนอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนสวมชุดสีขาว
“ลูกสาว... เ้าควรรับสมุนไพรบำรุงร่างกายเสียหน่อย... ข้าได้ยินเื่แปลก ๆ จากบ่าวรับใช้ในเรือน”
“ทะ... ท่าน!” นางชี้หน้าบุรุษร่างสูงโปร่งในชุดขาว อายุราว ๆ สามสิบกว่าปี ไม่สิ! กลิ่นยาตลบขนาดนี้ก็ต้องเป็ท่านหมอหลวง แล้วเขาเรียกนางลูกสาว หมอหลวงไท่ซือจิ่วอายุสี่สิบสามปี “หน้าเด็กชะมัด! ท่านอายุสี่สามปีจริงหรือ?”
“เ้าดื่มยาผิดขนานจนสติเลอะเลือนไปแล้วรึ? อาการเ้าเป็ยังไงบ้าง?”
นางฝันไปแน่ ๆ เป็ความฝัน!
เหม่ยฉีกลับมามีสีหน้านิ่งเรียบ หันไปทางเครื่องชาม แทนที่จะหยิกตนเองให้ตื่น นางพุ่งไปคว้ามันแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ เขวี้ยงจานไปสองสามใบ
เพล้ง! เพล้ง!
“สามสหายแห่งเหมันต์[1]ฤดูของข้า! นั่นชามพระราชทานเชียวนะ ลูกสาว เ้าทำอะไร? เ้าเสียสติไปแล้ว!”
“ไท่ซือจิ่ว!”
“เ้าไม่เรียกข้าท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อรึ!?”
หากเป็บุตรสาวของไท่ซือจิ่ว ก็คงไม่ฝันแน่นอน เหม่ยฉีอ้าปากค้าง เข้าไปกอดบิดาผู้ซึ่งนางพานพบเป็คราแรก
ใครเล่าจะคิดว่านอนอ่านนิยายในคอนโดมิเนียม นั่งด่านักเขียนอยู่ดี ๆ ดันหลุดเข้ามาเป็ตัวละครที่นางด่าทอสารพัดว่าโง่ นักเขียนก็โง่เง่าไม่แพ้กัน
“ฮ่า ๆ ข้าถูกรางวัลแล้ว”
“เยว่ฉี! เ้าไปโรงยากับข้าเดี๋ยวนี้”
เหม่ยฉีนั่งมองคันฉ่องไม้ฉลุลายโบตั๋น หลังจากที่นางหลับไปสามคืนแล้วพบว่าตัวเองติดอยู่ในนิยายจริง ๆ ทุกรุ่งเช้ามีบ่าวรับใช้นำอ่างล้างหน้าเข้ามา สาวใช้คนสนิทอย่างซูหนี่ว์แต่งตัวและเกล้าผมให้นาง จากนั้นนางก็ขอบ่าวให้ยกอาหารมาลองหลายอย่าง อาหารเต็มโต๊ะ! ผิดจากที่ที่นางจากมา นางเจริญอาหาร ลิ้นรับรู้รสชาติเป็อย่างดี นางขอสุรารสเลิศมาดื่มจนเมามาย ใช้ชีวิตอย่างสตรีร่ำรวยในยุคโบราณ
ทว่าในสถานที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโลกโซเชียล นางถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นางไม่มีความสุขเท่าไรนัก
ที่นี่ไม่ใช่กรุงปักกิ่ง พูดถึงแคว้นเยียน[2]นั้นนางจำได้ว่าอยู่ไกลออกไปพอสมควร
ในนิยายกล่าวว่าตัวเอกของเื่อาศัยในต้าเหลียง[3] มันจึงไม่มีกลิ่นอายบ้านเกิดเมืองนอนของนางแม้แต่น้อย เลวร้ายเสียยิ่งกว่าคือนางอาจอยู่เมืองที่ไม่มีกำแพงหมื่นลี้[4]ด้วยซ้ำไป
เหม่ยฉีตรงไปสำรวจลานกว้างด้านหน้าเรือนไม้ ต้นไม้รายล้อมรอบดูร่มรื่นสบายตา มีม้านั่งหินสำหรับจิบชาเป็มุมรับรองแขก ถัดไปนั้นเป็น้ำตกที่มีหินสีนิล ดูอย่างไรก็เป็ที่พำนักอาศัยของเศรษฐีใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่ใช้ประโยชน์มันอย่างคุ้มค่าก็ตาม
พอนางนึกขึ้นได้ว่าเป็นิยาย! นั่งถอนหายใจบนม้านั่งหินอย่างสิ้นหวัง
---------------
[1] ซุ่ยหานซานโหย่ว (岁寒三友) ประกอบด้วยต้นไม้สามชนิด ต้นสน (松, sōng) ต้นไผ่ (竹, zhú) และต้นบ๊วย (梅, méi)
[2] ปักกิ่ง ในสมัยรณรัฐ (战国)เป็เมืองหลวงของแคว้นเยียน
[3] ต้าเหลียง (大梁 Dàliáng) เทียบกับปัจจุบันประมาณแถบมณฑลเหอหนาน
[4] 长城 ฉาง เฉิง : กำแพงเมืองจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้