หลิงจื่ออวี้ได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ั์ตาพลันเปล่งประกาย
มือเล็กๆ ดึงที่ใบหูของกระต่าย ครั้นได้ยินเสียงร้องที่ทุกข์ทรมานของมัน เขาก็รีบร้อนปล่อยมือ ก่อนจะนั่งยองตรวจดูใบหูของกระต่ายอย่างระมัดระวังว่าเป็อันใดหรือไม่
นี่เป็เด็กที่น่ารักมากๆ คนหนึ่ง แต่เป็เพราะเขามีนิสัยรักสันโดษมากเกินไป อีกทั้งมีความไม่มั่นใจในตนเอง ดังนั้นจึงกลายเป็เด็กที่ปิดกั้นตนเอง เพียงแค่ต้องชักนำสักเล็กน้อย ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็สามารถกลับมาเป็ปกติได้
หลิงต้าจื้อไม่อยู่ หยางซื่อไม่ได้บอกว่าเขาไปที่ใด วันนี้หลิงมู่เอ๋อร์ได้ของกลับมาเยอะแยะมากมาย ไม่เพียงแต่มีกระต่าย ยังได้เห็ดอีกจำนวนหนึ่งที่พบอยู่ในถ้ำอีกด้วย คืนนี้ก็จะได้กินน้ำแกงเห็ดกัน
นางมองกระต่ายพวกนั้น เนื้อในบ้านเหลือไม่มากแล้ว อยากจะฆ่ากระต่ายสักตัวเพื่อมาลิ้มรสอาหารสดใหม่เสียจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงแหล่งเงินทุนสร้างกิจการแล้ว ความคิดนั้นก็หายไปในฉับพลัน นางเช็ดน้ำลายที่มุมปาก แล้วให้กำลังใจตนเองอย่างเงียบๆ ขอเพียงแค่ได้ทำการค้าแล้ว หลังจากนี้อยากกินสิ่งใดก็จะได้กินสิ่งนั้น ฉะนั้น ตอนนี้ต้องสงบสติอารมณ์เสียก่อน อย่าได้กินสิ่งที่เป็แหล่งเงินทุนสร้างกิจการไปอันขาด
หยางซื่อยิ้มตาหยีเดินเข้ามา ในมือของนางถือตะกร้าหนึ่งใบ เห็นท่าทางที่ยิ้มตาหยีของนางแล้ว ก็รับรู้ได้ว่านางกำลังอารมณ์ดีอยู่
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ข้ากลับไปแล้วหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถามหยางซื่อ
“เฉินเอ๋อร์ [1] บอกว่าจะเอากวางไปส่งขายในเมือง ก็เลยไม่ได้อยู่ทานข้าวที่บ้านด้วย” หยางซื่อนำไข่ไก่ไปเก็บไว้ในห้องครัว
หลิงมู่เอ๋อร์ชะงักกับคำเรียกขานของนาง นางเงยหน้ามองไปทิศทางของหยางซื่อ แล้วะโถาม “ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านเรียกเขาว่าอย่างไรนะเ้าคะ?”
“เฉินเอ๋อร์อย่างไรเล่า!” หยางซื่อกล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย “ไม่ใช่ว่าเ้าพูดหรอกหรือว่าเขาเป็พี่ชายบุญธรรมเ้า?เช่นนั้นก็เป็บุตรบุญธรรมของข้าด้วยเช่นกัน ต่อไปพวกเราก็จะเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว”
ในหัวของหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏภาพท่าทางแปลกประหลาดของซั่งกวนเซ่าเฉินเมื่อได้ยินคำเรียกขานที่หยางซื่อเรียกอย่างคุ้นเคย เกรงว่าเวลานี้สมองของเขาน่าจะกำลังสับสนวุ่นวายอยู่กระมัง!อย่างไรเสียครอบครัวนี้ก็ล้วนเป็ที่คุ้นเคยกัน เพียงแต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งวัน เขาไม่เพียงแต่ได้น้องสาวบุญธรรมเพิ่มมาหนึ่งคน ยังได้แม่บุญธรรมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วยหนึ่งคน อีกทั้งสองคนนี้ล้วนยังพึ่งพาเขาอีกด้วย ในตอนนี้เขาคงไม่ได้สงสัยเจตนาของพวกนางหรอกกระมัง?
หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนมึนงงของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
ถ้าเขาจะคิดว่าคนในครอบครัวของพวกนางเป็เช่นนี้ เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถิด!คนในครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี เวลาผ่านไปกาลเวลาจะพิสูจน์ใจคน นางก็ไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเขาเช่นกัน เมื่อก่อนสิ่งที่ติดค้างเขาไว้ ไม่ช้าก็เร็วนางก็จะคืนให้แก่เขา ส่วนในอนาคตจะติดค้างเขาหรือไม่ นั่นก็ให้เป็เื่ของอนาคตถึงจะรู้ได้ สุดท้ายแล้วก็จะไม่ยอมให้เขาเสียเปรียบอย่างแน่นอน
“ท่านแม่ ท่านพ่อล่ะเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์นึกว่าหลิงต้าจื้อออกไปเดินเล่น คิดไม่ถึงเลยว่าฟ้าจวนจะมืดแล้วเขาก็ยังไม่กลับมา
หยางซื่อขมวดคิ้ว “เมื่อครู่ถูกท่านย่าเรียกไปหาแล้ว เวลานี้ก็ฟ้ามืดแล้ว แม้ว่าจะต้องทำงาน ยามนี้ก็ควรกลับบ้านได้แล้ว”
“อาจจะรั้งรออยู่ทานข้าวกระมัง!ในเมื่อไปทำงานให้บ้านของพวกเขา ก็คงมิใช่ว่าแม้แต่ข้าวหนึ่งมื้อก็ไม่ให้กินหรอกนะเ้าคะ ท่านพ่อข้ายังเป็บุตรชายของเขาอยู่มิใช่หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวยิ้มเยาะ
ใบหน้าของหยางซื่อแสดงท่าทีประหลาดใจ นางมองไปทิศทางของด้านนอก ตัดพ้ออย่างขมขื่นว่า ให้เขารั้งรออยู่ทานข้าว?ถ้าเป็อย่างนั้นจริงๆ ในใจของพวกเราก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าระยะหลายปีมานี้ พวกเราทำเื่ต่างๆ มามากมาย ก็ไม่เคยได้กินข้าวของสองเฒ่านั้นแม้แต่สักคำเดียว ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เหตุใดถึงยังไม่กลับมาเล่า?หรือว่าสองเฒ่านั้นจะเกิดมีมโนธรรมขึ้นในใจแล้ว?
“ท่านแม่ ไม่เช่นนั้นไปหาท่านพ่อเถิดขอรับ!ถึงแม้ว่าตอนนี้หิมะจะละลายแล้ว แต่ว่าบนพื้นถนนยังคงลื่นมากนัก” เสียงของหลิงจื่อเซวียนดังมาจากในห้อง
หลิงจื่อเซวียนต้องพักฟื้นขา ทั้งวันนั่งอยู่แต่บนเตียงขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ในใจของเขารู้สึกร้อนใจเป็อย่างยิ่ง แต่กลับไม่สามารถช่วยสิ่งใดภายในบ้านได้สักอย่าง ภาระทุกอย่างตกอยู่ที่ท่านแม่และน้องสาว เขายิ่งรู้สึกว่าตนเองที่เป็ถึงบุตรชายคนโตแต่กลับไร้ประโยชน์นัก แต่ถึงว่าตอนนี้จะรีบร้อนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ ครอบครัวได้นำเงินทั้งหมดที่มีมารักษาขาให้เขาแล้ว เงินที่เสียค่าใช้จ่ายให้เขาในทุกปีนั้นมีไม่น้อย ครั้งนี้จะเป็ครั้งสุดท้ายแล้ว เขาจะพลาดพลั้งอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ถึงแม้ใจจะรีบร้อนถึงเพียงใด เขาก็ต้องอดทนพักรักษาอย่างสงบในไม่กี่เดือนนี้ จนกว่าขาจะหายเป็ปกติจนสนิท
“ข้ากลับมาแล้ว” เสียงของหลิงต้าจื้อดังมาจากด้านนอก “พวกเ้ารอนานแล้วกระมัง?”
หลิงจื่อเซวียนได้ยินเสียงของหลิงต้าจื้อ ก้อนหินในใจของเขาก็ได้ร่วงหล่นหายไป เขาห่อตัวในผ้าห่มนวมอย่างแ่า สีหน้าผ่อนคลายลง
บริเวณด้านนอก หยางซื่อปัดหยดน้ำที่อยู่บนตัวหลิงต้าจื้อ ปากก็บ่น “ ว่าแต่ทานข้าวแล้วใช่หรือไม่?เหตุใดฟ้ามืดแล้วถึงยังไม่กลับมา?”
สีหน้าของหลิงต้าจื้อหยุดชะงัก ยิ้มแห้งพลางกล่าว “ใช่แล้ว!ท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าอยู่ทานข้าวด้วย จึงได้กลับมาช้า คราวหน้าข้าจะระวัง จะฝากความกลับมาให้พวกเ้าเสียก่อน”
หลิงมู่เอ๋อร์มองสีหน้าท่าทางของหลิงต้าจื้ออยู่ตลอด เห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ ยังมีสิ่งใดที่ดูไม่ออกอีกหรือ?
“ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้ทานข้าวมากระมัง! ท่านทำงานตลอดเวลาใช่หรือไม่เ้าคะ? พวกเขาให้ท่านทำสิ่งใด? ” หลิงมู่เอ๋อร์เอาแขนทั้งสองข้างกอดอก พลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “คนงานของพวกเขาทางนั้นก็มีไม่น้อยแล้ว เหตุใดยังต้องเรียกให้ท่านไปทำงานอีกเ้าคะ? พวกเขาตั้งมากมายทำสิ่งใดกันอยู่? อีกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามท่านทำงานตลอดทั้งยามบ่ายให้พวกเขา เหตุใดแม้แต่ข้าวสักคำเดียวก็ไม่ให้ทาน? พวกเขาเห็นพวกเราเป็สิ่งใดกัน? ”
หลิงต้าจื้อขมวดคิ้ว กล่าวอย่างลำบากใจ “มู่เอ๋อร์ พวกเราล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยมากมายขนาดนั้น”
“ท่านพ่อ พวกเราไม่ได้อยากจะคิดเล็กคิดน้อย แต่ว่าพวกเขาคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเรา ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่มาหาเื่พวกข้าหรอก ถึงแม้ท่านจะกลับมาแล้ว ก็เรียกใช้ท่านเหมือนกับเป็วัวเป็ม้า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงฮึดฮัดอย่างเ็า “ถ้าหากตอนที่ข้าอยู่ แล้วพวกเขายังกล้าเรียกพวกท่านไปทำงานอีก ข้าจะทุบตีพวกเขาทั้งหมดจนไม่อาจลงจากเตียงได้เลย ให้พวกเขาแต่ละคนเหมือนดั่งคนพิการก็มิปาน เช่นนั้นก็เป็คนพิการไปเสียเลยถึงจะดี”
“เ้าเด็กคนนี้ เหตุใดเดี๋ยวนี้ถึงได้ดุร้ายเช่นนี้? ไม่ว่าพวกเขาจะเป็อย่างไรก็คือท่านปู่ท่านย่าของเ้า เ้าคล้อยตามสักหน่อยไม่ได้หรือ? ”หลิงต้าจื้อถอนหายใจพลางกล่าว
“ท่านอยากตอบแทนความกตัญญูอย่างโง่เขลา ข้าไม่้าเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ไปในห้องครัว นางะโไปทางหลิงจื่ออวี้ “น้องเล็ก พวกเราไปทำกับข้าวกัน”
หยางซื่อมองเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ จ้องเขม็งไปที่หลิงต้าจื้อพลางกล่าว “มู่เอ๋อร์เป็เด็กนิสัยดีมากเพียงนั้น เวลานี้ถูกท่านทำให้อารมณ์เสียเข้าแล้ว ท่านไปง้องอนนางด้วยตนเองเถิด”
“เ้าเด็กคนนี้ตอนนี้ยิ่งแสดงอารมณ์ออกมาในให้คนในครอบครัวได้เห็นขึ้นเรื่อยๆ ข้าว่าท่าทางเช่นนั้น แข็งแกร่งกว่าเ้านายเก่าข้าเสียอีก” หลิงต้าจื้อยิ้มแห้งพลางกล่าว “เมื่อครู่มีชั่วขณะ ข้ายังนึกว่าถูกเ้านายตำหนิ ในใจรู้สึกทุกข์ใจเป็อย่างมาก”
“เช่นนั้นก็สมน้ำหน้าท่านแล้ว ผู้ใดใช้ให้ท่านไปแก้ตัวแทนพวกเขากันเล่า? ” หยางซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อท่านแม่ของท่านปฏิบัติต่อพวกเราอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ มู่เอ๋อร์ชอบก็แปลกแล้วล่ะ! ”
“ข้าก็รู้เหตุผลนี้ดี นี่ไม่ใช่…แค่ไม่อยากให้พวกเ้ามีความคับแค้นใดๆ ในใจ อยากให้พวกเ้าอยู่อย่างสนิทสนมกลมเกลียวกัน! ” หลิงต้าจื้อจับมือของหยางซื่อพลางกล่าว
“พวกเราไม่ได้อยากมีความคับแค้นใจ แต่ว่าพวกเขาก็ควรทำตัวให้เป็ผู้าุโสักหน่อย ครั้งนี้ข้าฟังมู่เอ๋อร์ ต่อไปจะไม่ให้พวกเขามาปั่นหัวอีกต่อไป ท่านจะไปทำงานนั่นก็เป็เื่ของท่าน ข้ากับลูกจะไม่ไปช่วยพวกเขาทำงานอีกแน่” เป็ไปได้ยากมากที่หยางซื่อจะแสดงจุดยืนที่แน่วแน่ของตนเองเช่นนี้
หลิงต้าจื้อถอนหายใจเบาๆ เขามองไปรอบๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือของหยางซื่อ “แม่ของลูก หลายปีที่ผ่านมานี้ลำบากเ้าแล้ว เ้าแต่งให้ข้า ไม่ได้ทำให้เ้ามีชีวิตอย่างมีความสุขเลยสักวัน”
หยางซื่อเขินอายจนแก้มแดง ดวงตาก็แดงระเรื่อขึ้นมา “เ้าก็รู้สภาพการณ์ของข้า ถ้าไม่ใช่ท่าน ทั้งชีวิตนี้ของข้าก็ไม่มีผู้ใด้าแล้ว ท่านไม่รังเกียจข้า ทั้งยังดีกับต่อข้าขนาดนี้ ข้าซาบซึ้งใจเหลือเกิน เหตุผลที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ชอบบ้านของพวกเรา นั่นก็เป็เพราะข้า ถ้าท่านไม่แต่งงานกับข้า พวกเขาก็คงไม่ปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ แล้วยิ่งไม่ปฏิบัติต่อลูกเช่นนี้เหมือนกัน เป็เพราะดวงของข้าข่มท่านแล้ว”
“พูดจาเหลวไหลอันใดกัน คำกล่าวนินทาด้านนอกพวกนั้น เหตุใดข้าถึงไม่คิดว่าเป็เื่จริง เ้าเชื่ออย่างนั้นหรือ? พวกเขาอิจฉาที่พวกเราสามีภรรยาต่างเคารพซึ่งกันและกัน ลูกๆ เป็เด็กดีเชื่อฟัง ดังนั้นเลยกล่าววาจาให้พวกเราโมโห ข้าแต่งกับเ้าแล้ว นั่นถือเป็ความโชคดีของข้าที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาแปดชั่วอายุคน” หลิงต้าจื้อกล่าว “ถ้าหากไม่มีเ้า เด็กพวกนี้จะมาจากที่ใด? หากพวกเขายอมถูกคนรังแกง่ายๆ ก็ไม่มีทางที่จะเกิดมาหรอก!”
หยางซื่อมองค้อนเขาไปหนึ่งที ฉวยโอกาสที่ลูกทำกับข้าวในห้องครัว นางซบลงในอ้อมกอดของเขา ด้วยใบหน้าที่เขินอาย
บ้านของสกุลหลิงทั้งเก่าทั้งชำรุดทรุดโทรม พื้นที่ก็คับแคบ กล่าววาจาอันใดออกไปก็เก็บเสียงไม่อยู่ สามีภรรยาสองคนพูดคุยกันอยู่ที่ห้องโถง หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในห้องครัวกับหลิงจื่อเซวียนที่อยู่ในห้องนอนล้วนได้ยินหมดแล้ว
เหล่าพี่น้องที่ได้ยินความในใจของท่านพ่อกับท่านแม่ ชั่วขณะก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา โดยเฉพาะหลิงมู่เอ๋อร์ เดิมทีที่ไม่พอใจนิสัยที่ยอมคนให้ผู้อื่นรังแกของหลิงต้าจื้อ ครั้นได้ยินคำพูดอย่างใจกว้างและรักใคร่ที่เขามีต่อหยางซื่อแล้ว ในใจของนางก็เพิ่มคะแนนให้เขาเล็กน้อย ความไม่พอใจแต่เดิมที่มีต่อเขาก็พลันมลายหายไปสิ้น
ท่านพ่อที่มีความรักความเมตตาขนาดนี้ ถึงแม้จะอ่อนแอยอมให้คนอื่นรังแกบ้าง นางก็ยอมรับได้
หลิงมู่เอ๋อร์ทำน้ำแกงเห็ด และแผ่นแป้งข้าวฟ่างอีกจำนวนหนึ่ง รสััของข้าวฟ่างมีความหยาบ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คุ้นชิน กินไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง
หลิงต้าจื้อมองอยู่ในสายตา นำน้ำแกงเห็ดส่วนของตนเองนั้นเลื่อนไปให้หลิงมู่เอ๋อร์ พลางกล่าวว่า “พ่อยังไม่ได้กิน เ้ากินเถิด! พ่ออายุมากแล้ว กินได้ไม่เยอะเท่าใด”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นั้น อยู่ใน่อายุได้สามสิบปีกว่า ซึ่งเป็วัยที่เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงในยุคปัจจุบัน และมีความเป็ไปได้สูงว่ายังไม่แต่งงาน แต่ในที่นี้ เขากลับเรียกได้ว่ามีอายุมากแล้ว
ความอยากอาหารของบุรุษนั้นมีมาก แผ่นแป้งข้าวฟ่างหนึ่งชิ้นจะทำให้อิ่มได้อย่างไร? เขาเพียงแค่สงสารนาง จึงอยากเอาของอร่อยเก็บไว้ให้กับนาง! จุดนี้ นางรู้ข้อนี้เป็อย่างดี
“ท่านพ่อ ข้าก็กินไม่ลงแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบายใจ “ข้าตัวเล็ก กระเพาะก็เล็ก กินเยอะไปก็ย่อยได้ยาก ตอนกลางคืนจะทำให้นอนไม่หลับ ไม่เช่นนั้น ท่านกินมันเถิดเ้าค่ะ”
“น้ำแกงเพียงถ้วยเดียวยังผลักกันไปผลักกันมา พวกเ้าสองพ่อลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีเกินไปใช่หรือไม่? ” หยางซื่อเป็คนตัดสิน นำน้ำแกงถ้วยนั้นมาแบ่งเป็สองส่วน และเหลืออีกครึ่งหนึ่งให้กับหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์มองเห็ดที่อยู่ในถ้วย แล้วก็มองน้ำแกงในถ้วยของหลิงต้าจื้อหนึ่งที ดวงตาก็มีน้ำตาคลอออกมา
แท้จริงแล้วความรู้สึกที่ถูกคนรักใคร่มันดีเช่นนี้นี่เอง ด้วยความรักของพวกเขา นางก็จะดูแลพวกเขาให้เป็อย่างดี ทำให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ตอนที่ท่านไปขายกระต่ายในตัวตำบล ข้าจะไปบ้านท่านยายเ้าค่ะ ครั้งนี้จะไปเพื่อเยี่ยมเยียนพวกเขา” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “นำกระต่ายไปให้พวกเขาสักหนึ่งตัวเถิด! พวกเราขายแค่สี่ตัวก็พอแล้ว”
สิ่งนี้เพิ่งจะตัดสินใจเมื่อครู่นี้เอง มีกระต่ายรวมทั้งหมดเจ็ดตัว เก็บสองตัวไว้ให้หลิงจื่ออวี้ เหลืออีกห้าตัว ค่อยนำไปมอบส่งให้หยางเสี่ยวหู่อีกหนึ่งตัว
หลิงจื่ออวี้เลือกกระต่ายสองตัว หนึ่งตัวสีเทาอีกหนึ่งตัวสีขาว เขาได้ตั้งชื่อให้พวกมันเรียบร้อยแล้ว ตัวหนึ่งชื่อเดือนหก อีกตัวชื่อเดือนเจ็ด ประจวบเหมาะคล้องจองกับชื่อเล่นที่แปลว่าเดือนแปดของเขาพอดี
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินชื่อนี้แล้ว ในใจก็หัวเราะอย่างมีความสุข แต่ภายนอกกลับชื่นชมหลิงจื่ออวี้ว่าตั้งชื่อได้ไพเราะ ใบหน้าของหลิงจื่ออวี้ปรากฏรอยยิ้ม ดูสดใสมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนมาก
“จืออวี้” หยางซื่อลูบเส้นผมของหลิงจื่ออวี้อย่างอ่อนโยน “เ้ารีบกิน กินเสร็จแล้วค่อยไปเล่นกับเดือนหกและเดือนเจ็ด พรุ่งนี้แม่จะไปหาหญ้าสดมาให้พวกมัน ให้พวกมันได้กินอาหารสักหน่อย”
“ในฤดูนี้หาหญ้าสดได้ค่อนข้างยาก วันนี้ข้าหาบนูเาอยู่เป็เวลานาน ก็หามาได้เพียงแค่หนึ่งกำมือ อันที่จริงกระต่ายหิวมากแล้ว ก็สามารถกินอย่างอื่นได้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “น้องเล็ก หญ้าสดหนึ่งกำมือที่ข้านำกลับมาวันนี้สามารถพอให้พวกมันกินได้แค่คืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยหาอย่างอื่นมาให้พวกมันกิน เ้าวางใจเถิด พี่สาวจะช่วยเ้าเลี้ยงเอง”
เชิงอรรถ
[1] เอ๋อร์ หมายถึง ลูก หรือ เด็ก(儿)นำมาต่อท้ายชื่อคน โดยส่วนใหญ่พ่อแม่ใช้เรียกลูก หรือ ผู้าุโใช้เรียกเด็ก เป็การแสดงความสนิทสนมหรือเอ็นดู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้