เฉียวรุ่ยยื่นมือไปหยิบชามใบใหญ่ใบหนึ่งจากบนโต๊ะ ล้วงก้อนหินสามก้อนออกมาจากน้ำยาสีดำสนิท ใช้ผ้าเช็ดจนแห้งทีละก้อนแล้วค่อยวางไว้ด้านข้าง
“เทียนฉี ก้อนนี้ข้าให้เ้า!” เฉียวรุ่ยหยิบหินสีขาวก้อนหนึ่งส่งให้ประหนึ่งถวายสมบัติ
“ให้ข้าหรือ?” หลิ่วเทียนฉีเลิกคิ้วพลางมองอีกฝ่าย
“ใช่แล้ว หนึ่งในสองก้อนที่ข้าซื้อที่ตลาดของเก่าในวันนั้นไง!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า ตั้งใจอธิบายต่อ
“ไม่ถูกสิ ตอนนั้นเ้าซื้อก้อนหินสีอิฐกับสีฟ้าอย่างละก้อน ไม่มีสีขาวนี่?” หลิ่วเทียนฉีมองก้อนหินสีขาวในมือ
“ก้อนนี้หินสีอิฐ สีอิฐชั้นนั้นเป็โคลนเลนที่โดนลมจนแห้ง นี่ต่างหากหน้าตาดั้งเดิมของมัน!”
“อ้อ! แล้วหินก้อนนี้มีประโยชน์อะไรหรือ?” เขามองก้อนหินในมืออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นผลลัพธ์อะไร
“เื่นี้เ้าต้องใช้พลังิญญาดู! แล้วเ้าก็จะรู้!” เฉียวรุ่ยกะพริบตา เอ่ยด้วยสีหน้าลึกลับ
ได้ยินเช่นนั้น หลิ่วเทียนฉีพลันหลับตาลง ปลดปล่อยพลังิญญาออกมา
เมื่อพลังิญญาซึมทะลุเข้าไปในหินก็เป็จริงอย่างที่ว่า เขาเห็นยันต์วิเศษสิบแผ่น อีกทั้งอักขระยันต์ที่ถูกวาดก็ไม่ใช่อักขระยันต์ขั้นหนึ่งหรือขั้นสองที่เคยร่ำเรียน มันเป็อักขระยันต์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างสิ้นเชิง
มองพินิจอยู่เนิ่นนาน หลิ่วเทียนฉีจึงลืมตาขึ้นช้าๆ
“เป็อย่างไร? มองเห็นแล้วใช่ไหม?” เฉียวรุ่ยจ้องอย่างร้อนใจพลางเอ่ยถาม
“เห็นแล้ว ยันต์วิเศษสิบแผ่น อักขระยันต์้าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน คิดว่าน่าจะเป็อักขระยันต์ขั้นสามกระมัง!”
ได้ยินคำพูดของหลิ่วเทียนฉี พริบตาเฉียวรุ่ยหุบยิ้ม “ทำไมเป็สิบแผ่นเล่า เห็นชัดๆ ว่ามียันต์มากมายหลายแผ่นนัก? มันถี่ยิบอย่างกับแมลงตัวเล็ก ้าล้วนมีอักขระยันต์วุ่นวายเต็มไปหมด!”
“มากมายหรือ?” หลิ่วเทียนฉีได้ยินเช่นนั้น รู้สึกตะลึงนิดๆ
“ใช่แล้ว มีมากมายเชียว อย่างน้อยก็ร้อยสองร้อยแผ่น ไม่มีทางมีเพียงสิบแผ่นหรอก!” เฉียวรุ่ยเอ่ยอย่างมั่นใจ เป็ไปได้อย่างไร ทำไมเทียนฉีมองเห็นเพียงสิบใบเล่า?
“อาจเพราะปัญหาเื่พลังิญญากระมัง? พลังิญญาของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอถึงมองเห็นได้น้อย หากแกร่งกล้าขึ้น ย่อมมองเห็นมากกว่าเดิมเอง!”
“จะเป็เช่นนั้นหรือ?” เฉียวรุ่ยเกาศีรษะอย่างฉงน เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
“ข้าคิดว่าเป็เช่นนั้น” นี่เป็ข้อสรุปของหลิ่วเทียนฉี เขารู้ว่าสมบัติทั่วไปในหนังสือเล่มนี้ ผู้ที่พลังต่ำไม่อาจได้ การที่เขามองไม่เห็นอักขระยันต์มากปานนั้นคงเพราะพลังิญญาที่ต่ำไป
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยได้ยินก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างวางใจ
“ก้อนหินก้อนนี้ไม่เลวเลย ข้าชอบมาก ขอบคุณสำหรับของแทนใจนะ!” หลิ่วเทียนฉีเก็บก้อนหินแล้วรีบเอ่ยขอบคุณ
“ของ ของแทนใจอะไรเล่า?” ถูกพูดหยอกเย้า หน้าของเฉียวรุ่ยพลันแดงก่ำ
“อะไรกัน นี่ไม่ใช่ของแทนใจหรอกหรือ? อุตส่าห์เป็ของที่เ้าตั้งใจซื้อให้ข้าเชียวนะ!” พูดอย่างมีเหตุผลเข้าใส่
หากไม่ใช่ข้างในมีอักขระยันต์อยู่มาก เฉียวรุ่ยคงไม่มีทางซื้อหินก้อนนี้มา เพราะเฉียวรุ่ยฝึกยุทธ์ ไม่เป็วิชายันต์สักนิด อย่างไรหินก้อนนี้ก็ตั้งใจซื้อมาให้เขาอย่างแน่นอน
“เ้า เ้านี่มัน!” เฉียวรุ่ยถลึงตามองหลิ่วเทียนฉีที่ได้ประโยชน์แล้วแสร้งทำเหมือนขาดทุน จึงกลอกตามองบนอย่างจนปัญญา
“แล้วของแทนใจอีกชิ้นหนึ่งที่เ้าซื้อให้ข้าล่ะ?” หลิ่วเทียนมองดูท่าทางเคอะเขินนั่น จงใจหยอกต่อ
“อยู่ อยู่นี่!” เฉียวรุ่ยเขินอายเล็กน้อยก่อนหยิบขวดกระเบื้องน้อยใบหนึ่งออกมาส่งให้
เมื่อเปิดจุดขวดก็พบว่าด้านในมีของเหลวสีน้ำเงินอยู่ครึ่งขวด
“ของเหลวด้านในนี้คือน้ำทิพย์สีคราม ฤทธิ์เหมือนน้ำพุบรรณมาศที่เ้าให้ข้า ช่วยในการดูดกลืนปราณทิพย์”
“ขอบคุณมาก!” หลิ่วเทียนฉีจูบใบหน้าน้อย ก่อนเอ่ยขอบคุณ
“ยังมีนี่ด้วยที่ข้าจะมอบให้เ้า!” เฉียวรุ่ยพูดพลางเอาแมลงผายลมออกมา
“นี่คือ?” หลิ่วเทียนฉีแสดงสีหน้าฉงน มองดูแมลงสีดำขนาดเท่าเล็บในชาม
“นี่คือแมลงผายลม มันมีความสามารถสามอย่าง กินได้ นอนได้ ผายลมได้!”
“ความสามารถสามอย่างนี้มีความพิเศษอะไรหรือ?” ฟังดูธรรมดานักเชียว?
“ประการแรกคือกิน แมลงผายลมไม่กินเนื้อและอาหารมั่ว มันกินเพียงใบของสมุนไพรทิพย์ ยิ่งสมุนไพรทิพย์ขั้นสูงซึ่งมีพลังทิพย์เข้มข้นเท่าไร มันยิ่งชอบกิน เพราะอย่างนั้นมันจึงไวต่อสมุนไพรทิพย์ ดังนั้น หากเ้าพามันออกไปฝึกวิชาด้วยก็ให้มันช่วยหาสมุนไพรทิพย์ได้ ถือว่าเป็ผู้เชี่ยวชาญเชียวล่ะ ประการที่สองคือนอน แมลงผายลมขอแค่กินอิ่มก็จะหลับนิ่งๆ หากเ้าไม่มีสมุนไพรทิพย์เลี้ยง มันก็จะนอนตลอด ไม่ต้องห่วงว่ามันจะอดตายเลย และประการสามคือผายลม เ้าอย่าได้ดูถูกแมลงผายลมตัวกระจิริดนี่เชียวนะ ลมที่มันผายออกมาพิษรุนแรงยิ่งนัก ทีหนึ่งสามารถวางยาพิษฆ่าผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งได้เหลือเฟือ”
“ร้ายกาจปานนี้เชียว?” หลิ่วเทียนฉีฟังคำอธิบายจบอดตะลึงไม่ได้
“แน่นอน เพียงแต่ลมที่มันผายจัดการผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันเท่านั้น หากขั้นสูงกว่าก็ยังถูกพิษได้ แต่ไม่ถึงขั้นชีวิต” คิดสักครู่ เฉียวรุ่ยก็เสริมอีกหนึ่งประโยค
“นั่นก็ไม่ธรรมดาแล้ว!” ผายลมทีหนึ่งสังหารผู้ฝึกตนขั้นเดียวกันได้กลุ่มใหญ่ ร้ายกาจยิ่งกว่ายันต์วิเศษอีกมิใช่หรือ?
“ดังนั้น ข้าจะมอบให้เ้า!” เพราะความร้ายกาจนี่ เฉียวรุ่ยถึงมอบให้เขา
“เด็กโง่ ของดีเช่นนี้ เ้าเก็บไว้เองดีกว่านะ!” เสี่ยวรุ่ยหนอ ซื่อบื้อเช่นนี้เอง ในนิยายต้นฉบับก็เอาของดีที่สุดทั้งหมดมอบให้พระเอก ตอนนี้ยังจะนำมามอบให้ตนอีก
“ไม่ ของดีก็ควรมอบให้เทียนฉีสิ มีมันอยู่ข้างกาย มันจะปกป้องเ้า ข้าถึงจะวางใจได้!” มีแมลงผายลมอยู่ หลังจากนี้เทียนฉีไม่มีทางถูกพี่น้องตระกูลหลิ่วพวกนั้นรังแกอีกต่อไป
หลิ่วเทียนฉีได้ยินก็ก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจะรับแมลงผายลมตัวนี้ ทำพันธสัญญาให้มันเป็อสูรเลี้ยงของข้าก็ได้ แต่เสี่ยวรุ่ยต้องรับปากข้าเื่หนึ่งด้วย!”
“เื่อะไร?” เฉียวรุ่ยเอียงศีรษะมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“แมลงผายลมตัวนี้ข้ารับไว้ แต่สมบัติวิเศษอีกยี่สิบสามชิ้นบนโต๊ะนี่ สักชิ้นข้าก็ไม่เอา และศิลาทิพย์เหล่านี้ข้ายกให้เ้าเก็บตัวฝึกฝน เ้าต้องใช้ของเหล่านี้เลื่อนระดับเป็ระดับฝึกปราณขั้นเก้าให้ได้” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางส่งศิลาทิพย์ที่บิดามอบให้เฉียวรุ่ย
“นี่...” เฉียวรุ่ยได้ยินก็ตะลึง “ข้า ข้าอยากใช้สมบัติเหล่านี้ด้วยกันกับเ้านี่”
สมบัติมากปานนี้ เขาจะตัดใจใช้เองคนเดียวได้อย่างไรเล่า? ต้องใช้ด้วยกันกับเทียนฉีสิ
“ไม่ เ้าต้องเก็บตัวฝึกฝนเอง ข้าเพิ่งออกมา ต่อให้เก็บตัวฝึกฝนอีกหลายเดือน พลังก็ไม่มีทางยกระดับขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐาน่กลางในเวลาสั้นๆ ได้หรอก แต่เ้าไม่เหมือนกัน พลังของเ้าเพิ่งระดับฝึกปราณขั้นแปด ยังมีช่องว่างให้ยกระดับอีกมาก ข้าหวังว่าเ้าจะเก็บตัวฝึกฝน่หนึ่งจนยกระดับพลังขึ้นได้ ถึงเวลานั้น พวกเราก็สอบเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูด้วยกันได้แล้ว!”
“นี่...” ได้ยินหลิ่วเทียนฉีเอ่ยเช่นนี้ เฉียวรุ่ยก็ลังเล
ไม่ผิดหรอก พลังของเขาด้อยกว่าเทียนฉีอยู่มากจริง ที่จริงตนก็กังวลว่าจะสอบเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูไม่ได้ เปลืองค่าสมัครหนึ่งพันก้อนศิลาทิพย์ไปเสียเปล่า และท้ายที่สุดคงไม่อาจได้อยู่ด้วยกันกับเทียนฉี
“เป็เด็กดีนะ พยายามยกระดับพลังขึ้น ไม่เช่นนั้นหากเ้าสอบไม่ได้ พวกเราก็ต้องแยกจากกัน หรือเ้าอยากแยกจากข้าเล่า?” เทียนฉีลูบหน้าคนรัก เอ่ยถามเสียงเบา
“ไม่ ไม่อยาก!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ เขาไม่ยินดีแยกจากหลิ่วเทียนฉีหรอก
“เช่นนั้นก็เป็เด็กดีว่าง่าย เก็บตัวฝึกฝนเสียนะ!” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ยที่ลนลานส่ายศีรษะจนเหมือนกลองป๋องแป๋งจึงเอ่ยจริงจังขึ้น
“ก็ ก็ได้!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า รับปากข้อเสนอของคนรักอย่างจนปัญญา
.........
วันรุ่งขึ้น
หลิ่วเทียนฉีส่งเฉียวรุ่ยไปเก็บตัวฝึกฝนที่ห้องฝึกตนบนเขาด้านหลัง ส่วนตนกลับมาในเรือน ไปหาบิดาเพื่อร่ำเรียนวิชายันต์
“ทำไมไม่เก็บตัวฝึกฝนด้วยกันกับเสี่ยวรุ่ยเล่า?” หลิ่วเหอเห็นบุตรชายไม่ได้ไปกับลูกสะใภ้ก็รู้สึกผิดคาด
“ลูกเพิ่งเลื่อนระดับเป็ระดับสร้างรากฐาน ใน่สั้นๆ คงไม่มีทางยกระดับถึง่กลางได้ เพราะอย่างนั้นลูกจึงคิดว่าเรียนอักขระยันต์กับท่านพ่อคงเหมาะกว่า” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยตอบกลับ
“ต่อให้ไม่อาจยกระดับได้ อย่างน้อยหากเก็บตัวฝึกฝนต้องทำให้พลังคงที่ขึ้นได้อีกนี่?” หลิ่วเหอเข้าใจ ต่อให้เก็บตัวฝึกฝน ลูกชายก็ไม่มีทางยกระดับพลังไปถึงระดับสร้างรากฐาน่กลางในสี่เดือนได้ แต่ในใจลับๆ เขาก็แอบหวัง
“ฮ่าๆ หลังลูกดูดกลืนของวิเศษกับศิลาทิพย์ทั้งหมดถึงค่อยกินโอสถสร้างรากฐาน เช่นนั้นจึงทำให้พลังของลูกคงที่และมั่นคงยิ่ง จุดนี้ท่านพ่ออย่าได้กังวล”
เก็บตัวฝึกฝนสามเดือนนี้ หลิ่วเทียนฉีดูดซับน้ำพุบรรณมาศและหญ้าบรรณมาศทุกวัน กดตนเองไว้ตลอดไม่ขึ้นระดับสร้างรากฐาน จนกระทั่งดูดกลืนสมบัติวิเศษทั้งหมดแล้วจึงกินโอสถสร้างรากฐาน เสริมด้วยศิลาทิพย์สร้างรากฐานเข้าไปอีก ฉะนั้นเมื่อเขาขึ้นระดับสร้างรากฐานสำเร็จ พลังจึงคงที่กว่าผู้ฝึกตนที่เพิ่งขึ้นระดับนี้สำเร็จมากนัก
“เอาเถอะ ในเมื่อเ้าตัดสินใจแล้ว พ่อก็จะไม่พูดอีก วันนี้ลูกกลับไปพักผ่อนก่อน ไว้พรุ่งนี้พ่อจะสอนเ้าวาดอักขระยันต์ขั้นสามอย่างเป็ทางการ” ในเมื่อบุตรชายตัดสินใจแล้ว เหลิ่วเหอย่อมไม่ถามมากเช่นกัน
“ขอบคุณท่านพ่อ!”
.........
หนึ่งเดือนให้หลัง
หลิ่วเหอมองอักขระยันต์ขั้นสามที่บุตรชายวาดออกมาก็พยักหน้าหลายหนเยี่ยงคนแก่ที่วางใจ
“ดี ฉีเอ๋อร์มีพร์เหนือผู้คนจริงๆ หนอ นี่เพิ่งหนึ่งเดือน สามารถวาดยันต์อัคคีได้ดีเสียแล้ว!”
ได้ยินคำชมของบิดา หลิ่วเทียนฉีก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย
“ท่านพ่อชมเกินไปแล้ว ลูกร่ำเรียนอักขระยันต์ขั้นสามกับท่านมาหนึ่งเดือน เพิ่งเรียนวิธีวาดอักขระยันต์เป็แค่ห้าชนิดเท่านั้น น่าอับอายเสียจริง!” พูดถึงตรงนี้ หลิ่วเทียนฉีเริ่มคิดว่าตนอาจสู้ผู้อื่นไม่ได้
ก่อนหน้านี้สามเดือน เขาเรียนอักขระยันต์ขั้นหนึ่งสำเร็จ ครึ่งปีต่อมาเรียนอักขระยันต์ขั้นสองสำเร็จ แต่ครั้งนี้เรียนอักขระยันต์ขั้นสาม เขารู้สึกได้ว่าอักขระยันต์มีความซับซ้อนกว่าขั้นหนึ่งและขั้นสองมากนัก เรียนรู้ก็ยากยิ่ง
“เฮ้อ ลูกอย่าดูแคลนตนเองสิ หนึ่งเดือนเรียนวาดอักขระยันต์ขั้นสามได้ห้าชนิดก็เป็เื่ที่ยอดเยี่ยมแล้ว คิดถึงตอนที่พ่อร่ำเรียนอักขระยันต์ขั้นสาม พ่อยังไม่มีพร์เท่าลูกเช่นนี้เลย พ่อใช้เวลาตั้งยี่สิบปีเต็มถึงเรียนอักขระยันต์ขั้นสามห้าร้อยยี่สิบชนิดสำเร็จ!” พูดถึงตรงนี้หลิ่วเหอก็ถอนหายใจเบาๆ
“ยี่ ยี่สิบปี?” หลิ่วเทียนฉีได้ยินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางคิด ‘คงไม่กระมัง ยันต์ขั้นสามต้องใช้เวลายี่สิบปีเชียวหรือ?’
“ฮ่าๆ ลูกไม่ต้องกังวลหรอก ด้วยพร์ของลูก อย่างน้อยสามปีถึงห้าปี อย่างมากเจ็ดแปดปีก็เรียนอักขระยันต์ขั้นสามสำเร็จ” หลิ่วเหอเห็นท่าทางหนักใจของลูกชายก็ยิ้มพลางเอ่ยบอก
“ขอบคุณท่านพ่อที่ปลอบ ลูกจะขยันเรียนยิ่งขึ้น”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องคิดมาก พร์ด้านยันต์ของเ้าเหนือกว่าพี่สามของเ้าไกลโพ้น พี่สามของเ้าน่ะอยู่ระดับสร้างรากฐานมาหนึ่งปีกว่าแล้ว เรียนอักขระยันต์ขั้นสามยังทุลักทุเลอยู่เลย ก้าวหน้าเชื่องช้ายิ่ง ไม่เร็วน่าอัศจรรย์เช่นลูกพ่อหรอก!”
ได้ยินเช่นนี้ หลิ่วเทียนฉีก็พยักหน้ารับรัวๆ “ผู้ใช้ยันต์ขั้นสามไม่ใช่จะสำเร็จง่ายดายปานนั้น จุดนี้ลูกคงเข้าใจ”
หากวิชายันต์ขั้นสามร่ำเรียนกันง่าย ตอนนี้คงมีผู้ใช้ยันต์ขั้นสามอยู่ทุกหนทุกแห่งแล้วกระมัง? หากเป็เช่นนั้นจริง คงไม่หาผู้ใช้ยันต์ขั้นสามพบยากเฉกเช่นทุกวันนี้ และผู้ใช้ยันต์ขั้นสี่ก็คงไม่มีค่าปานนั้น
“อืม ลูกเข้าใจก็ดี!”