รับประทานอาหารเสร็จกริ่งทำงานก็ดังขึ้นพอดี
คุณตาไปต้อนวัว คุณยายไปให้อาหารหมู ส่วนคุณปู่จ้าวคิดจะไปย่านที่ชาวบ้านไปรวมตัวกันเยอะๆ เผื่อมีใครไม่สบายจะได้ช่วยรักษาให้ได้
เซี่ยโม่มองน้องชายที่ยังคงหลับสนิท ก่อนจะหันไปพูดกับเหล่าจ้าวว่า “คุณปู่จ้าว เดี๋ยวฉันไปด้วยค่ะ”
“เฉินเฟิงอยู่บ้านคนเดียวจะไม่เป็อะไรเหรอ”
เธอส่ายศีรษะ “ไม่เป็ไรค่ะ เขาอยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ อีกอย่างฉันไปแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมา”
เมื่อคืนพอเหล้าเข้าปากเหล่าจ้าวก็ลืมแผนที่วางเอาไว้จนหมดสิ้น เดิมทีเขาคิดจะทดสอบเด็กสาวเื่สมุนไพรสักหน่อย
รุ่งเช้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เลยตื่นขึ้นมา แต่พอคิดจะทดสอบเด็กสาว อีกฝ่ายกลับพาน้องชายออกจากบ้านไปเสียแล้ว
หากเขาไปถึงจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกัน ผู้ใหญ่บ้านแนะนำเขาให้ชาวบ้านทุกคนรู้จักเมื่อใด เขาต้องวิ่งวุ่นกับการรักษาเป็แน่ ไหนจะต้องย้ายของจากบ้านเก่ามาบ้านใหม่อีก การทดสอบเด็กสาวคงต้องทำระหว่างทาง
“โม่โม่ หลังจากนี้ฉันน่าจะยุ่ง ฉันเลยคิดว่าจะถามสักสองสามคำถามเพื่อทดสอบเธอเดี๋ยวนี้เลย”
เซี่ยโม่ตอบอย่างมั่นใจ “เชิญทดสอบได้เลยค่ะ”
เหล่าจ้าวถามคำถามสามสี่คำถาม ซึ่งเซี่ยโม่ก็ตอบคำถามได้หมด ทั้งยังตอบได้ดีมากอีกด้วย
ยิ่งฟังชายชราก็ยิ่งรู้สึกพอใจ “โม่โม่ เราอยากเรียนวิชาแพทย์ไหม”
เซี่ยโม่อยากเรียนวิชาแพทย์เช่นกัน เพราะไม่ว่าในอนาคตเธอจะประกอบอาชีพใด ความรู้นี้ก็จะติดตัวเธอไปตลอด
เธอพยักหน้า “อยากค่ะ”
เหล่าจ้าวเองก็ดีใจเช่นกัน ได้คนจิตใจดีทั้งยังความจำเป็เลิศ มาเป็ลูกศิษย์ ต่อไปแพทย์แผนโบราณต้องรุ่งเรืองยิ่งกว่านี้แน่
“งั้นฉันก็จะรับเธอเป็ศิษย์ เธอคิดว่ายังไง”
เซี่ยโม่ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนหน้านี้เธอแค่อยากเรียนเื่สมุนไพรกับชายชรา จะได้เก็บสมุนไพรบนเขาเอาไปขาย และจะได้ใช้โอกาสนี้หยิบของออกมาจากในโกดังสินค้าเท่านั้น
แต่หากชายชรารับเธอเป็ลูกศิษย์ เธอก็จะได้ชื่อว่าเป็ลูกศิษย์ของอีกฝ่าย ถ้าต่อไปเธอไม่เป็หมอ ชายชราจะผิดหวังหรือไม่
เธอต้องพูดให้ชัดเจน หากในอนาคตเธอไม่เป็หมอ คนตรงหน้าจะได้ไม่เสียใจ
คิดได้ดังนั้นจึงเปิดอกคุยกับอีกฝ่าย “คุณปู่จ้าว ฉันก็อยากเรียนนะคะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าต่อไปฉันจะเป็หมอไหม ฉันอาจจะทำงานอย่างอื่น ถ้าเป็แบบนั้น คุณอย่าผิดหวังนะคะ”
เหล่าจ้าวรู้สึกเสียดายเมื่อได้ฟัง แต่ก็ยังยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ไม่เป็ไร เธอมีศิษย์พี่อยู่แล้วตั้งสองคน ซึ่งก็เป็หมอกันทั้งสองคน ในอนาคตหากเธอไม่อยากเป็หมอก็ไม่เป็ไร”
ตาเธอเบิกโต ถามอย่างสงสัย “คุณปู่จ้าว ฉันมีศิษย์พี่ด้วยเหรอคะ แล้วทำไมเขาถึงไม่อยู่กับคุณละคะ”
เหล่าจ้าวมีท่าทีลังเล ก่อนจะเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก “พวกเขาทั้งสองคนเป็ลูกชายแท้ๆ ของฉันเอง แต่ตอนนี้อยู่กับพ่อของฉันที่ต่างประเทศ
ตอนนั้นภรรยาของฉันป่วยหนัก ฉันต้องอยู่เป็เพื่อนเธอ ไม่อย่างนั้นป่านนี้พวกเราคงจะได้อยู่ด้วยกันไปแล้ว น่าเสียดายที่ไม่นานภรรยาฉันก็จากไป” พูดจบดวงตาของคุณปู่จ้าวก็แดงก่ำ
เธอทราบดี ยุคนี้ใครที่มีญาติหรือพี่น้องอยู่ต่างประเทศมักจะโดนเพ่งเล็งเป็พิเศษ
คงเพราะอาศัยจุดนี้ คนพวกนั้นก็เลยทำให้ร้านยาของชายชราถูกปิด ทั้งยังยึดเอาข้าวของและเงินทองภายในบ้านของคุณปู่จ้าวไปจนหมด
เมื่อเห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่ เธอกระซิบเสียงเบากับชายชราว่า “คุณปู่จ้าวคะ ต่อไปจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน คุณทวดกับศิษย์พี่จะได้กลับมาอยู่กับคุณแน่นอนค่ะ”
“ฉันจะมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นใช่ไหม” เหล่าจ้าวพึมพำอย่างคาดหวัง
“แน่นอนค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจ
เหล่าจ้าวเชื่อที่เด็กสาวบอก “ขอให้เป็แบบที่เธอพูด เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ สมควรเรียกฉันว่าอาจารย์ได้แล้ว”
เธอยิ้มแหย “คุณปู่จ้าวคะ ฉันยังไม่ได้คารวะคุณเป็อาจารย์เลย งั้นเอาแบบนี้ ตอนเที่ยงเดี๋ยวฉันทำอาหารให้คุณกิน คารวะคุณเสร็จค่อยเปลี่ยนคำเรียก”
“ได้ ทำอาหารอร่อยๆ ให้ฉันสองอย่างก็พอ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ!” เด็กสาวพยักหน้า
เมื่อทั้งสองคนเดินไปถึงจุดที่ชาวบ้านกำลังทำงาน ผู้ใหญ่บ้านกำลังพูดอะไรบางอย่างกับชาวบ้านอยู่บนแท่นยกสูงพอดี
ครั้นเห็นเซี่ยโม่กับหมอจ้าวเดินมา ผู้ใหญ่บ้านประกาศต่อชาวบ้านทุกคนว่า “เดี๋ยวฉันจะแนะนำใครคนหนึ่งให้ทุกคนรู้จัก คนคนนี้เป็หมอจากตำบลที่ฉันเกลี้ยกล่อมให้มาเป็หมอที่นี่ ทุกคนให้การต้อนรับหมอจ้าวด้วย”
ทุกคนรู้ดีว่าหมอเป็อาชีพที่นับวันจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหมอแพทย์แผนโบราณที่จะได้รับความสำคัญอย่างมากจากผู้คน
ทุกคนมองไปยังหมอจ้าว บุคคลนี้หน้าตาซื่อตรงยุติธรรม หนวดเคราสีดอกเลา ดูเป็หมอที่น่านับถือ
ชาวบ้านทุกคนพูดต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง “ยินดีต้อนรับคุณหมอจ้าว”
สาวใหญ่ซึ่งเป็เพื่อนบ้านของบ้านอู๋ยืนอยู่ในกลุ่มคนด้วยเช่นกัน เธอจำได้ทันทีว่าหมอท่านนี้คือคนเดียวกับแขกที่บ้านอู๋ หมู่บ้านขาดหมอมานานปี เธอได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านพยายามส่งเื่ขอตัวหมอกับข้างบนมานานแล้ว
หลายวันมานี้จึงวางแผนไว้ หากหมอคนใหม่มาเมื่อไร เธอจะให้ลูกสาวฝากตัวเป็ศิษย์
พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องพึ่งเด็กเซี่ยโม่นั่นแล้ว ลูกสาวเธอสามารถขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรขายได้เหมือนกัน
แล้วค่อยให้ลูกสาวสอนเธอ จากนั้นพวกเธอสองแม่ลูกก็จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน จะเก็บให้หมดไม่มีเหลือ ดูสิว่าเด็กนั่นจะยังมีสมุนไพรให้เก็บไปขายได้อีกไหม
แต่พอมีหมอจะมาประจำที่หมู่บ้าน กลับกลายเป็คนเดียวกับแขกบ้านอู๋เมื่อคืนนี้
ความผิดหวังเข้าจู่โจมเธอ มือและเท้าพลันเย็นเฉียบ
เวลานี้เอง ผู้ใหญ่บ้านะโเรียกเหล่าจ้าวให้ขึ้นมาบนแท่นยกสูง “คุณหมอจ้าว ขึ้นมาพูดอะไรกับชาวบ้านสักหน่อย”
เหล่าจ้าวเปิดร้านยามาหลายปี จะผู้คนแบบใด สถานการณ์แบบไหนล้วนเคยประสบมาหมดแล้ว
เขาทราบดีว่า ที่ผู้ใหญ่บ้านให้ขึ้นไปพูดกับชาวบ้าน เพราะอยากแนะนำเขาอย่างเป็ทางการ
ชายชราเดินขึ้นไปบนแท่นยกสูงอย่างไม่ลังเล กล่าวกับชาวบ้านทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปทุกคนเรียกฉันว่าหมอจ้าวก็พอ จะมีเงินหรือไม่มีเงิน ขอแค่เชื่อใจฉันก็สามารถมาให้ฉันรักษาได้ ฉันจะรักษาทุกคนอย่างเต็มที่ ค่ารักษาฉันไม่คิด ฉันคิดแค่ค่ายาเท่านั้น แต่ถ้าไม่เชื่อใจฉัน ฉันก็จะเขียนใบสั่งยาแล้วทุกคนค่อยเข้าไปซื้อในตัวตำบลเองก็ได้”
ชาวบ้านทุกคนต่างปรบมือชื่นชมด้วยความซาบซึ้งใจ พร้อมทั้งเทิดทูนในใจว่า คุณหมอคนนี้ช่างเป็คนดีเหลือเกิน
คุณหมอจ้าวยกมือเพื่อให้ทุกคนเงียบ
“ฉันยังมีอีกหนึ่งเื่ที่อยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบ ฉันรับหลานสาวบ้านอู๋ เซี่ยโม่เป็ลูกศิษย์แล้ว หวังว่าต่อไปทุกคนจะช่วยฉันดูแลเด็กคนนี้ด้วย”
ตอนที่ชาวบ้านทุกคนเห็นคุณหมอคนใหม่เดินมากับเซี่ยโม่ ทุกคนไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าคุณหมอคงเห็นแก่หน้าเหล่าอู๋ ที่ไหนได้ ที่แท้ทั้งสองคืออาจารย์และลูกศิษย์กันนี่เอง
ชาวบ้านทุกคนต่างรับปากเป็มั่นเป็เหมาะ “หมอจ้าว คุณวางใจได้เลย พวกเรารู้ว่าควรต้องทำยังไง”
สาวใหญ่ข้างบ้านที่ตอนแรกโกรธจัดเป็ฟืนเป็ไฟ ตอนนี้พอได้ยินว่าคุณหมอคนใหม่รับเซี่ยโม่เป็ลูกศิษย์ก็แทบจะกระอักเืออกมา
แล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ หรือว่าที่เด็กนั่นรู้เื่สมุนไพรเป็เพราะได้หมอจ้าวสอนให้?
เด็กคนนี้ไปรู้จักกับหมอจ้าวได้อย่างไร? ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งโมโห
พูดจบเหล่าจ้าวก็เดินลงจากแท่น ต่อมาผู้ใหญ่บ้านก็การประกาศแบ่งหน้าที่ให้แก่ชาวบ้านทุกคน
ครั้นสาวใหญ่เพื่อนบ้านได้ยินว่า ทุกวันหลังจากนี้เธอมีหน้าที่ล้างคอกหมู เธอก็แทบจะบ้าตาย
“ผู้ใหญ่บ้าน ทำไมฉันต้องไปล้างคอกหมูด้วย ก่อนหน้านี้เป็หน้าที่ของคนที่ให้อาหารหมูไม่ใช่เหรอ”
“เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าทำไม!”
เว้นจังหวะครู่หนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านค่อยพูดต่อ “เมื่อวานหมู่บ้านเราได้หมูเพิ่มมาหลายตัว คนที่ทำหน้าที่ให้อาหารหมูยุ่งกันจะตายอยู่แล้ว ไม่ว่าหน้าที่ไหนก็ต้องมีคนทำ หากเธอไม่อยากทำก็กลับบ้านไป!”
เธอมีหรือจะกล้า แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว แม้ในใจจะรู้ดีว่าเธอกำลังถูกบังคับให้สวมรองเท้าคู่เล็ก[1]อยู่
---------------------------------------------
[1] ถูกบังคับให้สวมรองเท้าคู่เล็ก หมายถึง ถูกผู้มีอำนาจใช้อำนาจกลั่นแกล้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้