เมื่อเห็นพ่อบ้านยังคงยืนอยู่ที่เดิมเซียวซู่ซู่ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆก่อนที่นางจะเลิกตาขึ้นมองและเห็นเซียวเอินกำลังส่งสายตาบางอย่างไปให้กับพ่อบ้านในใจของนางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ยังมีเื่อะไรอีกหรือไม่?”
นางประพฤติตัวดีกับคนรับใช้มาโดยตลอด
แน่นอนว่าตอนนี้นางเองก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา เพราะนางแค่รู้สึกเกลียดชังแต่เพียงเหลยอวี๊เฟิงผู้นั้น เพราะว่าการมีตัวตนของเขาเกี่ยวข้องกับม่อเวิ่นเฉิน
“คุณหนูเล็ก คนที่เ้าสำนักเหลยอยากพบก็คือท่าน” สุดท้ายพ่อบ้านก็ได้เอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยเสียงที่แ่เบาชั่วขณะหนึ่งเขาไม่กล้าที่จะหันไปสบตากับเซียวซู่ซู่เพราะว่านี่เป็ครั้งแรกที่คุณหนูเล็กพูดจาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์กับพวกเขา
เซียวซู่ซู่กัดริมฝีปากของตนอย่างแรงนางมิได้ตอบรับโดยทันที ในใจที่แต่เดิมกำลังว้าวุ่นของนางเวลานี้ก็ยิ่งไม่อาจสงบลงได้
นางไม่รู้ว่าเหลยอวี๊เฟิงผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่นางกลัวว่าเขาจะเหมือนกับฮวาเชียนจือเห็นว่านางแตกต่างจากคนทั่วไปและก็เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับชีวิตในตอนนี้ของตน
“น้องเล็ก”เซียวเอินคิดไม่ถึงว่าเซียวซู่ซู่เองก็จะมีเวลาที่ลังเลเช่นนี้เหมือนกัน
ตอนแรกที่องค์ชายเก้าป๋ายหลี่ม่อแห่งแคว้นอ้าวอวิ๋นประพฤติตัวเหยียดหยามนางวางแผนให้นางไปร่วมงานชมดอกฉยงฮวา ก็ไม่เห็นนางจะมีท่าทางว้าวุ่นใจแม้แต่น้อย
เช่นนั้นทำไมเ้าสำนักเหลยผู้นี้ถึงทำให้นางเหม่อลอย ควบคุมสติตัวเองไม่อยู่เช่นนี้ได้
น้องสาวของเขาสลบไม่ได้สติถึงสิบห้าปีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ข้างกายของเขาตลอด ไม่เคยพรากจากกัน ถ้าว่ากันตามหลักแล้วนางน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเหลยอวี๊เฟิง เช่นนั้นทำไมนางถึงได้มีท่าทีเช่นนี้กัน เสมือนว่ากำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง
เสียงเรียกของเซียวเอินทำให้อารมณ์ที่ปั่นป่วนของเซียวซู่ซู่สงบลง นางรีบควบคุมอารมณ์และสีหน้าของตนก่อนที่ใบหน้าจะมีรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น
“โอ้ะ อยากเจอข้า” จากนั้นนางก็พยักหน้า “เ้าให้เขารอสักครู่ ข้าขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อน” นางพูดพลางหมุนตัวเดินกลับไปทางห้องพักของตนเอง
เซียวซู่ซู่มองใบหน้างดงามของตนที่สะท้อนผ่านกระจกนางแหงนหน้าขึ้นพลางคิดว่าใบหน้าเช่นนี้ไม่มีทางทำให้ใครโยงนางให้ไปเกี่ยวข้องกับซูฉีฉีได้เพราะฉะนั้นนางบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องกลัว
ทว่าดวงตากลมโตที่สะท้อนผ่านกระจกนั้นกลับฉายภาพเหมือนแววตาที่กำลังลังเลของซูฉีฉี ชั่วขณะหนึ่งเซียวซู่ซู่ก็รู้สึกหนักอึ้งในหัวใจเหมือนมีทองคำนับพันก้อนกำลังทับนางเอาไว้
ในหัวสมองของนางก็รู้สึกตึงเครียดเป็อย่างมากเช่นกัน
กระทั่งทรวงอกยังรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมันกำลังจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆทำให้นางรู้สึกเ็ปจนไม่สามารถหายใจออกมาได้
เพียงชั่วพริบตานางก็จมอยู่ในความมืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงสว่างนางรีบยกมือขึ้นจับโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อประคองตนเองเอาไว้ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆดวงตาที่งดงามไร้ชีวิตชีวา ริมฝีปากแดงค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเขียวคล้ำ
ตอนนี้ในสมองของนางฉายภาพที่นางกำลังรู้สึกขาดอากาศหายใจและกำลังสิ้นชีวิตในวันนั้นซ้ำไปมา ตอนนี้นางมีเพียงความหวาดกลัวความเ็ปและความไม่อาจทำใจยอมรับได้เท่านั้น สีหน้าของนางเป็สีเขียวคล้ำ
“น้องเล็ก เ้าเป็อะไรไป?” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เซียวเอินได้เดินมาอยู่ข้างกายนางแล้วเขาเอ่ยถามนางอย่างระมัดระวังพลางยกมือขึ้นตบบนไหล่ของนางเบาๆสีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ ดูเหมือนว่าเหลยอวี๊เฟิงผู้นี้จะมีผลกระทบต่อน้องสาวของตนเป็อย่างมาก
สมองของเซียวซู่ซู่สว่างวาบขึ้นในพริบตาก่อนที่นางจะรีบปิดเปลือกตาลงเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ นางหันไปมองตนเองในกระจกก่อนจะยกมือขึ้นตบเบาๆลงที่แก้มของตน นางรู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของตนเย็นะเืชาจนไร้ซึ่งความรู้สึก
คนที่นางจะต้องไปพบก็คือเหลยอวี๊เฟิงยังไม่ใช่ม่อเวิ่นเฉินนางก็มีสภาพเป็เช่นนี้เสียแล้ว ถ้าหากวันนี้คนที่มาคือม่อเวิ่นเฉินนางจะเป็เช่นไร หากนางยังเป็เช่นนี้อยู่ ไหนเลยจะสามารถล้างแค้นได้
นางลอบกำมือของตนไว้แน่น หากนางคิดจะหลุดพ้นจากปมในใจเ่าั้นางก็ต้องไปเผชิญหน้ากับเหลยอวี๊เฟิงและรู้ให้ได้ว่าที่เขามาหานางในวันนี้มีจุดประสงค์อันใดกันแน่
เซียวมี่กำลังจะไม่มีอำนาจการทหารแล้วและสกุลเซียวก็ใกล้ที่จะไร้ซึ่งอำนาจอีก เขาเลือกที่จะมาปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้ทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังมีแผนการร้ายอะไรบางอย่าง
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็อะไร คาดว่าเป็เพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่เพียงพอ” เซียวซู่ซู่กลับมาเป็ปกติอีกครั้งพลางมองไปที่กระจกขณะหวีผมยาวสลวยของตนนางยังคงรวบผมขึ้นง่ายๆ ด้วยผ้าผืนหนึ่ง ดูเรียบง่ายและไม่โดดเด่น แต่กลับดูงดงามเป็อย่างยิ่ง
ความงามเช่นนั้นคือความงามโดยธรรมชาติมิได้สะดุดสายตาแต่กลับทำให้คนยากที่จะลืมเลือน ท่ามกลางผู้คนก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงตัวตนของนางในทันที
เซียวซู่ซู่จัดเสื้อผ้าอีกครั้งจึงค่อยลุกขึ้นพร้อมใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม “เสร็จแล้ว ไม่ควรจะให้แขกรอนานจนเกินไป พวกเราไปกันเถิด”
บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองอีกครั้งน้องสาวคนนี้ของเขาทำให้คนไม่อาจคาดเดาได้เสมอ
ในห้องโถงใหญ่เหลยอวี๊เฟิงสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีม่วง โครงหน้าคมคายหล่อเหลาสีหน้าราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ ขณะนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสูงสง่าเหนือผู้คน สมกับที่เป็เ้าสำนักเหลย
เหลยอวี๊เฟิงที่เป็เช่นนี้เซียวซู่ซู่ถือว่าเป็ครั้งแรกที่ได้เห็น นางนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าสีหน้าอ่อนโยนแต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม “เ้าสำนักเหลยมาหาถึงที่นี่มิได้ออกไปต้อนรับ ถือว่าข้าเสียมารยาทยิ่งแล้ว”
เหลยอวี๊เฟิงนั้นได้เห็นเซียวซู่ซู่ค่อยๆก้าวเดินมาแต่แรกแล้ว เวลานี้เห็นนางมีทีท่าทีเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “คุณหนูเล็กสกุลเซียว เกรงใจเกินไปแล้ว” พลางยืนขึ้นเช่นกัน ท่าทางของเขาถือว่ามีมารยาทและสำรวมตัวเป็อย่างดี มิได้ตั้งใจจะเบ่งอำนาจของตนในคราวที่ผู้อื่นกำลังเดือดร้อน
เซียวซู่ซู่ผายมือเป็ความหมายให้เหลยอวี๊เฟิงนั่งลงก่อนที่นางจะเดินไปนั่งในตำแหน่งของเ้าบ้านพลางสั่งให้คนรับใช้นำน้ำชามาต้อนรับ
เซียวเอินนั้นมิได้เดินตามเซียวซู่ซู่เข้ามาแม้เซียวซู่ซู่จะไม่ถือ แต่ว่าคนสกุลเซียวนั้นก็ถือเื่ฐานะของบุรุษเพราะฉะนั้นเขาจึงยืนอยู่หน้าห้องโถงเท่านั้น ทว่าทุกการกระทำที่เกิดขึ้นข้างในเขาก็สามารถเห็นและได้ยินอย่างชัดเจน
เขาเองก็ไม่วางใจที่จะให้เซียวซู่ซู่ไปพบกับเหลยอวี๊เฟิงแต่เพียงผู้เดียว ไม่รู้ถึงสาเหตุที่คนผู้นี้มาอย่างชัดเจนเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องระวังเอาไว้ก่อน พ่อบ้านเองก็ยืนอยู่ขอบประตูด้านนอกห้องโถงใหญ่เช่นกันเพื่อเฝ้ารอฟังคำสั่งของเซียวซู่ซู่
ที่ขอบประตูยังมีองครักษ์อีกสองคนที่ยืนนิ่งเหมือนขอนไม้อยู่ตรงนั้น คอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยตลอดเวลา
สถานการณ์เช่นนี้ในจวนสกุลเซียวที่ใหญ่โตนั้นหาใช่เื่ที่น่าประหลาดใจเลยทำให้เหลยอวี๊เฟิงมิได้รับรู้ถึงความผิดปกติใดๆ เขาเองก็นั่งลงพร้อมกับเซียวซู่ซู่และยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง
จากนั้นก็พยักหน้ายิ้มๆ “ชาดี ชาดี” และเซียวซู่ซู่ก็ทำเพียงยิ้มตอบอย่างมีมารยาทเท่านั้นมิได้เอ่ยอะไรออกมา นางกำลังรอให้เหลยอวี๊เฟิงเอ่ยออกมาเอง
อย่างไรเสียเขาเองก็เดินทางมาหานางถึงที่สกุลเซียวหาได้มีความคิดจะไปข้องเกี่ยวกับเขาไม่ เซียวซู่ซู่ต่อให้คิดจะไปพึ่งพาใครก็จะไม่พึ่งพาเขาเหลยอวี๊เฟิงอย่างแน่นอน
ความอคติในใจของนางยังคงอยู่ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา นางยังคงมีท่าทีนอบน้อมมารยาทงดงาม
ชั่วขณะหนึ่งภายในห้องโถงก็เงียบสงบเป็อย่างมากแต่กลับไม่ได้มีบรรยากาศที่อึดอัดเพราะว่าคนอย่างเหลยอวี๊เฟิงนั้นไม่มีทางให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็อันขาด
เขาลิ้มรสน้ำชาอีกครั้งก่อนจะวางถ้วยชาลงเขาแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางสบายๆ คิ้วคมเลิกขึ้นเบาๆ แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยขณะจ้องมองไปทางเซียวซู่ซู่ “ฝีมือการดีดพิณของคุณหนูเล็กสกุลเซียวถือว่าเป็สุดยอดในหนานเจียงเช่นนั่นไม่ทราบว่าคุณหนูเล็กสกุลเซียวได้มีการศึกษาเกี่ยวกับพิณหรือว่ามีความสนใจเกี่ยวกับพิณหรือไม่?”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก
ตอนนี้เซียวเอินที่อยู่ด้านนอกห้องโถงเองก็ถึงจะเข้าใจว่าผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็ผู้ทรงอำนาจหรือเทพพิทักษ์ของหนานเจียงได้เดินทางมาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะมาคุยเื่ฝีมือการดีดพิณกับเซียวซู่ซู่ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
เดิมคิดว่าเขามาเพราะเื่ที่เซียวมี่ลาออกจากตำแหน่ง ทว่าเมื่อคิดดูอีกครั้ง ขอเพียงเขารู้สึกสนใจในตัวเซียวซู่ซู่ใน่เวลาอันสั้นนี้สกุลเซียวคงจะไม่ประสบต่อภัยอันตรายใดๆ
ฮวาหรูเสวี่ยนั้นเรียกได้ว่ามีความเกรงใจต่อเ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเหลยผู้นี้เป็อย่างมาก
เซียวซู่ซู่ถือถ้วยชาในมือเอาไว้หลวมๆเดิมนางคิดว่าจะนิ่งเงียบต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่าเหลยอวี๊เฟิงจะเอ่ยขึ้นมาก่อน ทว่าเมื่อได้ยินคำว่าฝีมือพิณมุมปากของนางก็กระดกขึ้น ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
ปีนั้นคนผู้นี้มิใช่พนันกับม่อเวิ่นเฉินเพียงเพราะเจียวเหว่ยหรอกหรือ
นางลอบกัดฟันของตนแน่นขณะที่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “การดีดพิณนั้นมีไว้เพื่อระบายอารมณ์ผ่านทางเครื่องดนตรีเท่านั้นฝีมือการดีดพิณจะดีหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับตัวพิณแต่ขึ้นอยู่กับคนที่กำลังบรรเลงมันเพราะฉะนั้นสำหรับตัวพิณข้าไม่เคยให้ความใส่ใจกับมัน”
นางพูดออกมาอย่างรวบรัดและชัดเจน มิได้อ้อมค้อมหรือยืดเยื้อแม้แต่น้อย
จากนั้นดวงตาที่ใสกระจ่างดุจน้ำของเซียวซู่ซู่ก็จ้องมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเหลยอวี๊เฟิง
เหลยอวี๊เฟิงประสานสายตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นโทสะที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นของเขาก็ได้มลายหายไป เป็ความจริงสิ่งที่เซียวซู่ซู่เอ่ยขึ้นนั้นถูกต้อง แต่ว่าเขากลับลุ่มหลงในตัวพิณมิเคยมีความสนใจในฝีมือการดีดพิณมาก่อน